อย่างนี้ก็มี กระบวนนิติสงครามล้างผลาญเยาวชนไทย ตำรวจ สน.หนึ่งไปอุ้มผู้ถูกกล่าวหาความผิด ม.๑๑๒ จากอีก สน.หนึ่ง ด้วยการออก ‘หมายจับ’ โดยไม่มี ‘หมายเรียก’ ขณะผู้ถูกกล่าวหานั้นเดินทางไปรับทราบข้อหาในอีกคดี
ผู้พิพากษาชื่อ พีระศักดิ์ ใจเสงี่ยม สามารถบิดเบือนหลักเกณฑ์ทางกฎหมายได้เอง เพียงจั่วหัวหมายจับนั้นว่า “ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” การละเมิดหรือวางตนอยู่เหนือกฎหมายนี้ ควรที่จะได้มีการวิจารณ์ทางหลักการ ในชุมชนกฎหมายนานาชาติต่อไป
ประจวบกับในระหว่างงานรำลึกวีรชน ๖ ตุลา ครบ ๔๕ ปี ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตนักกิจกรรม ๖ ตุลา ๑๙ ผู้หนึ่งได้ปราศรัยว่า “เราจะนำตัวผู้บงการเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะทำสำเร็จปีนี้ ปีหน้า หรืออีก ๔๕ ปี”
ควรที่จะผนวกสำนวนถึงการ ‘กระทำในนามกษัตริย์’ อันเป็นการประทุษร้าย ทำให้บาดเจ็บหรือเดือดร้อน หรือถึงตาย หรือสูญเสียเสรีภาพและอิสรภาพ ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๒๑ นี้โดยน้ำมือเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหน่วยควบคุมฝูงชน หรือผู้พิพากษา
สืบเนื่องมาแต่การจับกุม น.ส.เบนจา อะปัญ สมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เมื่อวันที่ ๗ ตุลา โดยตำรวจจาก สน.ทองหล่อนำหมายของศาลอาญาใต้ไปแสดง แต่เบญจาประกาศ ‘อารยะขัดขืน’ นั่งเฉยไม่ยอมลุกให้ตำรวจจับกุม
จึงมีตำรวจหญิงสองคน ‘อุ้ม’ จริงๆ จากหน้า สน.ลุมพินีเอาตัวไปยัง สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ต่อกษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ซึ่งศาลไม่ค่อยจะวิเคราะห์ให้กระจ่างทั้งในทางหลักกฎหมาย อารยธรรม ทางปฏิบัติสากล และข้อเท็จจริงในการกระทำของผู้ถุกกล่าวหา ว่าต้องตรงกับความผิดแล้วหรือไม่ มักจะมีการเกี่ยวเนื่องเพียงพาดพิงอันคล้ายคลึง หรือ “น่าเชื่อได้”
มีตัวอย่างถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ หรือผู้พิพากษา ตีความพฤติกรรม แม้กระทั่งอ้างว่า ‘เจตนาเบื้องลึก’ ก็เคยมี ให้ไปเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ให้จงได้ หลักนิติธรรมไปขึ้นอยู่กับความคิดคำนึงของบุคคลเท่านั้น
ข้อสังเกตุของ นรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความสิทธิมนุษยชนผู้หนึ่ง เล่าถึงคดี ม.๑๑๒ ต่อเยาวชนวัย ๒๐ ปีรายหนึ่ง ซึ่งเขาเดินทางไปเตรียมสืบพยานที่จังหวัดจันทบุรี จำเลยถูกกล่าวหาว่า “วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง”
นั่น “ในทางข้อเท็จจริงไม่มีอะไรสลับซับซ้อน” แต่ว่า “มีบางส่วนพาดพิงในหลวงรัชกาลที่ ๙” อันเป็นประเด็นข้อกฎหมาย ที่เขาตั้งข้อสงสัยว่า “มาตรา ๑๑๒ คุ้มครองถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วหรือไม่”
เขาจึงตีแผ่หลักเกณฑ์ในทางวิชาการ จากอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายหลายคน เริ่มด้วย สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกคณะนิติราษฎร์ อธิบายไว้ว่า “บุคคลที่พึงจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๑๒ หมายถึง”
ผู้ซึ่ง “ยังมีสภาพบุคคล และดำรงตำแหน่ง ๔ ตำแหน่ง ในเวลาที่กฎหมายบังคับใช้อยู่ ได้แก่พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ขยับไปถึง ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ และ จิตติ ติงศภัทิย์ ก็อธิบายคล้ายคลึงกัน
“พระมหากษัตริย์ หมายถึงองค์ที่ทรงครองราชย์อยู่ขณะที่มีการกระทำความผิด มิใช่พระมหากษัตริย์ที่ทรงสละราชบัลลังก์แล้ว หรือพระมหากษัตริย์ในอดีต” อาจารย์ทั้งสองชี้ด้วยว่า “หาไม่แล้วก็จะทำให้ความผิดฐานนี้หาขอบเขตอันเป็นองค์ประกอบความผิดมิได้”
ขยับต่ออีกถึง หยุด แสงอุทัย ปรมาจารย์ทางด้านกฎหมายของไทย อ้างถึงกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.๑๒๗ มาตรา ๙๘ เกี่ยวกับความผิดที่กระทำทางวาจา “ความว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นั้นต้องหมายถึงกษัตริย์ไทย “พระองค์ปัจจุบันตามรัฐธรรมนูญ
และที่ยังดำรงอยู่ในราชสมบัติ ไม่ใช่ที่สวรรคตหรือสละราชสมบัติไปแล้ว” ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ม.๑๑๒ มิควรเอาไปปรับใช้กับบุรพกษัตริย์ไทยในอดีต ดังเช่น ส.ศิวรักษ์ เคยต้องคดีหมิ่นกษัตริย์ในประวัติศาสตร์ ย้อนไปครั้งต้นรัตนโกสินทร์และอยุธยา
นี่แม้ว่ารัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคตไปแล้วไม่นาน ไม่ถึงร้อยปี พสกนิกรผู้จงรักภักดียังระลึกถึงเกือบทุกเมื่อเชื่อวัน จนบางครั้งมองเห็นพระพักตร์บนก้อนเมฆบ้าง ในกลุ่มควันบ้าง ก็ไม่พ้นข้อเท็จจริงที่ว่ามิได้ทรงครองราชย์ขณะนี้ จะให้ ร.๑๐ เป็นร่างทรง ร.๙ ก็กระไรอยู่
ทนายนรเศรษฐ์ให้ความเห็นส่วนตน “ต้องแยกแยะให้ออก...หากไม่มีกฎหมายเขียนไว้เป็นความผิดก็ไม่ควรจะไปลงโทษเขา” แม้จะคิดว่าการกระทำต่อกษัตริย์ในสัมปรายภพก็ยังมิบังควร “ก็ต้องไปแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายผ่านทางกระบวนการนิติบัญญัติ”
ไม่เช่นนั้นจะเป็นการออกคำสั่งของหัวหน้ามาเฟียและพวกหัวไม้ ไร้ขื่อแปของความยุติธรรม
(https://www.facebook.com/ronsan.huadong/posts/4402422236517737, https://www.facebook.com/thanap.../posts/4674468409286628... และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_6664299)