วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 09, 2568

ถ้ายกเลิก MOU 43 และ 44 ไทยจะเจอความเสี่ยงอะไรบ้าง?

  • บันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับ MOU 43 และ MOU 44 เป็นเพียงข้อตกลงที่กำหนดแนวทางให้เจ้าหน้าที่ไทยและกัมพูชาใช้ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกที่มีอยู่แล้ว และเพื่อเจรจาแบ่งเขตทางทะเลกับพัฒนาร่วมในพื้นที่ทับซ้อนเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดน หรือเปลี่ยนแปลงเขตแดนใดๆ เลยแม้แต่น้อย
  • การยกเลิก MOU จะส่งผลเสียต่อประเทศไทยในหลายมิติ ทั้งการสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ ขาดเครื่องมือทางกฎหมายในการเจรจาซึ่งอาจนำไปสู่การแทรกแซงจากบุคคลที่สาม และอาจทำให้ความคืบหน้าในการปักปันเขตแดนที่ทำมาร่วมกันกว่า 25 ปีต้องสูญเปล่า
  • หากยกเลิก MOU 44 ไทยจะขาดเกราะป้องกันทางกฎหมาย อาจถูกบริษัทพลังงานต่างชาติที่ได้รับสัมปทานในพื้นที่ทับซ้อนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางพลังงาน โอกาสในการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชาฉบับปี 2000 (พ.ศ.2543 หรือ MOU 43) และ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันระหว่างไทยและกัมพูชาฉบับปี 2001 (พ.ศ. 2544 หรือ MOU 44) กำลังจะผ่านบททดสอบครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากมีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกดังขึ้นมาอีก จนกระทั่งรัฐบาลใหม่ของไทยมีนโยบายจะขอประชามติจากประชาชนพร้อมกับรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งครั้งใหม่ในปีหน้า

ก่อนอื่น สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจเป็นพื้นฐาน คือ บันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับนั้นเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ที่มีเอาไว้ให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องใช้เป็นเครื่องมือและแนวทางในการทำงานร่วมกับกัมพูชาในการ ‘สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก’ และ ‘เจรจาเพื่อแบ่งเขตทางทะเลและร่วมมือในการพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ท้องทะเลอ่าวไทย’ ไม่ได้เป็นสิ่งซึ่งมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปในวงกว้างโดยตรง

และประการสำคัญ เอกสารทั้งสองฉบับนี้ยังไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวข้องกับเขตแดนทางทั้งบกและทางทะเลเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่ต้องตระหนักร่วมกันคือ MOU 43 ไม่ได้บอกให้ไปทำอะไรใหม่เลย แต่เป็นเสมือนเครื่องนำทางให้ไปสำรวจเส้นเขตแดนและหลักเขตแดนเดิมที่ทั้งสองฝ่ายได้เคยจัดทำกันเอาไว้แล้วภายใต้สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ปี 1904 และ 1907 ดังที่ปรากฏอยู่ในแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทั้ง 7 ระวาง และบันทึกปากคำการปักหลักเขตแดน (Proces-verbaux) และแผนผังประกอบตำแหน่งหลักเขต (Planche d’indications tophographiques) ที่แนบมาด้วยกันเท่านั้น

ส่วน MOU 44 ก็เพียงแต่บอกว่า ให้เจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองประเทศไปทำการ ‘เจรจา’ ใน 2 เรื่องสำคัญ คือ

1. เรื่องการแบ่งเขต ทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะระหว่างเขตที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิอยู่ในพื้นที่ต้องแบ่งเขตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งใช้บังคับ - คือพื้นที่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ

2. เกี่ยวกับเงื่อนไขที่ต้องตกลงร่วมกันของสนธิสัญญาการพัฒนาร่วมเพื่อแบ่งปันค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ของการแสวงผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ที่พัฒนาร่วม - คือพื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ

สิ่งที่จะต้องจำให้เป็นมั่นเหมาะคือ บันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับไม่ได้ทำให้ ‘เสียดินแดน’ แต่อย่างใด ตรงกันข้าม MOU 43 เขียนเอาไว้ในอารัมภบทว่า

“เชื่อว่าการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาจะช่วยระงับความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่เกิดจากปัญหาเขตแดน และจะกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเอื้ออำนวยต่อการเดินทางและความร่วมมือของประชาชนของสองประเทศทั้งสองตามแนวชายแดน”

ในขณะที่ MOU 44 ก็กล่าวในอารัมภบทเช่นกัน

“โดยตระหนักว่าผลจากการอ้างสิทธิของทั้งสองประเทศในเรื่องทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และ เขตเศรษฐกิจจำเพาะในอ่าวไทย นั้นก่อให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกัน”

และ

“พิจารณาว่าเป็นผลประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศที่จะตกลงกันบนพื้นฐานที่ยอมรับร่วมกันได้โดยเร็ว สำหรับการแสวงประโยชน์ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

รวมความแล้ว การดำรงอยู่ของ ‘บันทึกความเข้าใจ’ ทั้งสองฉบับ คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศและจะช่วยระงับความขัดแย้งที่มีต่อกัน ไม่น่าจะก่อให้เกิดผลเสียหายกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งเข้าใจหรือตีความไปเช่นนั้นเป็นแน่แท้

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีกระแสเรียกร้อง พร้อมทั้งแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการแสวงหาประชามติเพื่อตัดสินใจยกเลิกมันอยู่ในขณะนี้ ก็สมควรที่จะต้องพิจารณา ‘ความเสี่ยง’ ที่อาจจะเกิดผลกระทบในทางที่ไม่เป็นคุณกับผลประโยชน์แห่งชาติดังต่อไปนี้

ความเสี่ยงของการยกเลิก MOU 43 และ 44

ประเทศไทยเสี่ยงที่จะสูญเสียความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ

เนื่องจากบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับมีสภาพเป็น ‘หนังสือสัญญาระหว่างประเทศ’ ที่อ้างอิงถึงหลักการและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การขอบอกเลิกเพิกถอนโดยไม่มีเหตุอันสมควรย่อมขาดความชอบธรรมและกระทบต่อชื่อเสียงของไทยในเวทีระหว่างประเทศอย่างแน่นอน แม้จะมีการอ้างเหตุแห่งการปะทะกันตามแนวชายแดนอย่างรุนแรงเมื่อเดือนพฤษภาคมและกรกฎาคมที่ผ่านมา จนเกิดความเสียหายมากมายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั้งสองฝ่าย แต่เหตุการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนและการปะทะกันด้วยอาวุธเช่นนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการบังคับใช้หนังสือสัญญาดังกล่าว เพราะปรากฎว่ามีการเรียกประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee: JBC) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา อีกทั้งคณะกรรมาธิการได้รับทราบและรับรองรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า การบังคับใช้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวยังสามารถทำได้อยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และเหตุปะทะกันตามแนวชายแดนมีสาเหตุมาจากหลายประการไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมีหรือไม่มีอยู่ของ MOU โดยตรง และหากพิจารณากันอย่างถ่องแท้แล้ว อาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ MOU 43 เลยด้วยซ้ำไป

ไม่มีเครื่องมือมาแทน MOU 43 และ 44

เนื่องจากผู้ที่คัดค้าน MOU 43 และ MOU 44 ไม่ได้นำเสนอสิ่งทดแทนที่ทำให้เชื่อได้ว่ามีประสิทธิภาพหรือดีกว่าเดิม จึงทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะขาดเครื่องมือทางกฎหมายอันจะเป็นกรอบในการเจรจาเรื่องเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเล เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยความมั่นคงของไทยทั้งหมดจะขาดหลักอ้างอิงในการทำงานกับประเทศคู่กรณี คือกัมพูชา ก็อาจจะเป็นการเปิดช่องให้ต้องแสวงหาแนวทางอื่นในการจัดการเขตแดนระหว่างสองประเทศ

เมื่อ MOU ทั้งสองฉบับเป็นเครื่องมือในระดับทวิภาคีมีอันต้องบอกถูกบอกเลิกเพิกถอนไป ก็เหลือทางเลือกในการจัดการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนอีกเพียงทางเดียวคือ ต้องหาบุคคลที่สาม ซึ่งอาจเป็นประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ หรือ กลไกระหว่างประเทศอื่นใด เข้ามาไกล่เกลี่ยหรือตัดสินชี้ขาด ทั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นแนวทางสันติและหลายประเทศในโลกนี้นิยมใช้บริการ แต่ประชาชนไทยจำนวนหนึ่งไม่ปรารถนา เห็นทีว่าคงต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปโดยปริยาย

ความคืบหน้า 25 ปี เรื่องการปักปันเขตแดนอาจสูญเปล่า

ที่ประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม JBC ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ได้ผลคือ

“รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Technical Sub-Committee: JTSC) ครั้งที่ 4 (14 กรกฎาคม 2567) ณ เมืองเสียมราฐ (เสียมเรียบ) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก (จากทั้งหมด 74) และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน”

ซึ่งนั่นคือผลงานสำคัญ ที่ไม่เพียงบ่งบอกถึงคุณประโยชน์ของ MOU 43 เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการแก้ไขปัญหาเส้นเขตแดนและหลักเขตได้เดินทางมาจุดสำคัญยิ่ง เพราะการค้นพบหลักเขตเดิมและเห็นพ้องกันในตำแหน่งที่ถูกต้องของมัน ย่อมเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้สามารถดำเนินงานต่อไปจนประสบความสำเร็จในที่สุด

ที่ชัดเจนที่สุดในขั้นตอนนี้คือ กรรมาธิการให้ความเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR ซึ่งเป็นเทคนิคการวัดระยะและสร้างแบบจำลอง 3 มิติของพื้นที่เพื่อประกอบในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศอันจะทำให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญค้นหาแนวเส้นเขตแดนได้ง่ายและแม่นยำมากขึ้น แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะไม่ได้ใหม่มากนักและฝ่ายกัมพูชาก็คุ้นเคยกับมันอยู่ไม่น้อยในงานทางด้านโบราณคดี แต่กว่าที่จะทำให้เกิดการยอมรับร่วมกันถึงประโยชน์ของมันในงานแผนที่และเส้นเขตแดนก็ใช้เวลามากพอสมควร การเดินทางมาถึงจุดนี้ได้จึงถือว่ามีความหมายต่องานเขตแดนเป็นอย่างยิ่ง

คำถามสำคัญที่ในที่นี้คือ หากยกเลิก MOU 43 ไปแล้ว ผลงานร่วมกันดังกล่าวข้างต้น คือหลักเขตที่ค้นหาเจอและเทคนิคใหม่ที่เห็นชอบร่วมกัน จะถือว่าสูญเปล่าไปเพราะเหตุแห่งการเพิกถอนหรือไม่ ตามหลักทั่วไปแล้วหากการเพิกถอนหนังสือสัญญาซึ่งคู่กรณีให้ความยินยอมและเห็นพ้องด้วยกันนั้น จะไม่ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้หนังสือสัญญาต้องสูญเปล่าไปแต่อย่างใด แต่ความเสี่ยงในกรณีนี้คือ ไม่มีใครให้หลักประกันได้เลยว่าเมื่อประเทศไทยบอกเลิกเพิกถอน MOU 43 แล้วฝ่ายกัมพูชาจะให้ความยินยอมหรือมาเปิดเจรจากันใหม่เพื่อรับรองผลของสิ่งที่ได้ทำร่วมกันมา หาไม่แล้วสิ่งที่ทำกันมา 25 ปีก็จะสูญเปล่า และประเทศไทยก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะอาจจะขัดแย้งหรือพิพาทในเรื่องเส้นเขตแดนและหลักเขตกับกัมพูชาได้ง่ายๆ

สูญเสียความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจ

ทั้งไทยและกัมพูชาได้ให้สัมปทานในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปในอ่าวไทยทับซ้อนกันเอาไว้เป็นจำนวนมากนับแต่ได้มีการประกาศเขตไหล่ทวีปเป็นต้นมา ปัจจุบันสถานะของสัมปทานเหล่านั้นคืออยู่ในภาวะระงับกิจกรรม (moratorium) อันเนื่องมาจากรัฐผู้ให้สัมปทานทั้งไทยและกัมพูชายังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่เพื่อดำเนินการได้ เพราะเหตุที่ยังเป็นพื้นที่พิพาทเพราะทั้งสองประเทศอ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ ความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญหากมีการเพิกถอน MOU 44 คือ บริษัทผู้รับสัมปทานซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานจากต่างประเทศอาจจะใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องร้องเพื่อให้มีการบังคับใช้สัมปทานนั้นหรือเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายและโอกาสทางธุรกิจอันเกิดจากเหตุที่ประเทศไทยไม่อาจจะปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ได้

อนึ่ง สถานะของ MOU 44 ตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ถือเป็นมาตรการชั่วคราวที่ไทยและกัมพูชาตกลงกันเพื่อจัดการข้อพิพาทและแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันอยู่ จึงสามารถใช้เป็นหลักและเหตุผลทางกฎหมายในการให้ moratorium และป้องกันไม่ให้บริษัทเอกชนเหล่านั้นฟ้องร้องเอาได้ในปัจจุบัน ถ้าหากปราศจาก MOU 44 ก็จะทำให้ประเทศไทยขาดเครื่องมือทางกฎหมายในการปกป้องคุ้มครองตัวเอง

ความเสี่ยงในเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของไทยอีกด้วย กล่าวคือ ทำให้ความหวังและโอกาสที่ประเทศไทยจะพัฒนาแหล่งพลังงานจากปิโตรเลียมที่อยู่ในอ่าวไทยต้องตกอยู่ภาวะที่ไม่แน่นอนออกไปอีก ความมั่นคงทางพลังงานของไทยจะได้รับความกระทบกระเทือน เสถียรภาพราคาพลังงานของไทยก็จะมีปัญหา นั่นกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างแน่นอน

กล่าวโดยสรุป การยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 โดยไม่คำนึงถึงบริบททางกฎหมายและผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน อาจสร้างต้นทุนทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงให้กับประเทศไทยอย่างคาดไม่ถึง ทั้งในแง่การบั่นทอนความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ การสูญเสียกลไกการเจรจาทวิภาคีที่มีประสิทธิภาพ ความเสี่ยงที่จะต้องยอมรับการแทรกแซงจากบุคคลที่สาม ความไม่แน่นอนของผลลัพธ์ที่ได้จากการสำรวจหลักเขตแดนที่ผ่านมา ปัญหาทางกฎหมายและเศรษฐกิจจากสัมปทานพลังงานในพื้นที่ทับซ้อน ตลอดจนการเปิดช่องให้ความขัดแย้งชายแดนยกระดับได้ง่ายขึ้น ในภาพรวม การคงอยู่ของบันทึกความเข้าใจทั้งสองฉบับจึงมิใช่เพียงเรื่องเทคนิคทางกฎหมาย แต่เป็นกลไกสำคัญในการธำรงเสถียรภาพ ความร่วมมือ และผลประโยชน์แห่งชาติของไทยในระยะยาว

https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105763