
น้ำยาชนชั้นนำไทย
เรื่อง: สมชาย ปรีชาศิลปกุล
ภาพประกอบ: จิราภรณ์ บุญเย็น
101
7 Oct 2025
ชนชั้นนำมีบทบาทในการกำหนดทิศทางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยอย่างมาก การศึกษาและกรอบแนวคิดที่สำคัญล้วนแต่ชี้ให้เห็นบทบาทของชนชั้นนำในแง่มุมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะพิจารณาในกรอบคิดแบบรัฐพันลึก (Eugénie Mérieau), สถาบันกษัตริย์เชิงเครือข่าย (Duncan McCargo), ระบอบประชาธิปไตยสองใบอนุญาต (ปิยบุตร แสงกนกกุล) หรือเครือข่ายในหลวง (อาสา คำภา) เป็นต้น
การพิจารณาถึงบทบาทของชนชั้นนำไทย (ในความหมายอย่างกว้าง) ก็เป็นที่ยอมรับร่วมกันว่าไม่ได้มีลักษณะที่หยุดนิ่ง เป็นทางการ มีลำดับขั้นบังคับบัญชาอันแน่นอน ตรงกันข้าม การแสดงบทบาทของชนชั้นนำไทยกลับมีลักษณะที่เคลื่อนไหว ไม่เป็นทางการ และไม่มีศูนย์กลางทางอำนาจอย่างชัดเจน (ที่แสดงตนออกมา)
เฉกเช่นผู้สนใจสถานการณ์ทางสังคมการเมือง ผู้เขียนไม่ปฏิเสธบทบาทของชนชั้นนำในการเมืองไทย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าชนชั้นนำไทยจะดำรงอยู่ในสถานะที่เข้มแข็ง เด็ดขาด อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยตลอด เฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างไพศาลในรอบทศวรรษที่ผ่านมา สังคมมีการเคลื่อนไหว การแสดงออก การรณรงค์ ในทิศทางที่แตกต่างไปจากเดิม ส่งผลให้ชนชั้นนำไทยต้องตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
บทบาทในสามแง่มุมของชนชั้นไทยที่อยากชวนพิจารณา มีดังนี้
หนึ่ง ในพื้นที่การเมืองเชิงวัฒนธรรม
อาจกล่าวได้ว่าพื้นที่การเมืองเชิงวัฒนธรรมเป็นพื้นที่ที่ชนชั้นนำไทยไม่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากนัก การแสดงออกของผู้คนต่อสถาบันจารีต ความเชื่อถือต่อองค์กรต่างๆ ที่เคยมีความศักดิ์สิทธิ์ถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน อันเป็นการสะท้อนให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกต่อสถาบันทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
แม้ว่าจะได้พยายามใช้ระบบการศึกษา สื่อมวลชน พิธีกรรม มาเป็นเครื่องมือในการจัดการกับมุมมองของผู้คนที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ แต่เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ที่ยิ่งทวีความก้าวหน้า ทำให้การกล่อมเกลาผู้คนด้วยวิธีการแบบเดิมดูจะยากประสบความสำเร็จต่อการฝังหัวผู้คนให้กลับไปเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์แบบที่เคยเป็นมา
ความล้มเหลวในพื้นที่การเมืองวัฒนธรรมนับเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะเป็นรากฐานต่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป
สอง ในพื้นที่การเมืองบนท้องถนน
นับจากการลงสู่ท้องถนนของกลุ่มเยาวชนในช่วง พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา การเคลื่อนไหวบนท้องถนนเป็นอย่างคึกคักและกระจายตัวออกไปอย่างกว้างขวางในหลายจังหวัด การจัดการชุมนุมคือกลไกสำคัญในการแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจต่อระเบียบการเมืองที่เป็นอยู่
ในระยะเริ่มต้น การรับมือของชนชั้นนำต่อการชุมนุมดำเนินไปด้วยการใช้กฎหมายและกำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ผู้นำรัฐบาลประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่ให้มีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับการชุมนุมที่มีเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปสถาบัน
ท่าทีของหน่วยงานรัฐในลักษณะดังกล่าวดูจะสร้างความยุ่งยากให้เกิดขึ้น กระทั่งทางฝ่ายรัฐได้เรียนรู้และหันมาใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการรับมือกับการชุมนุมมากขึ้น โดยเปิดให้มีการชุมนุมและทางเจ้าหน้าที่รัฐก็จะใช้กระบวนการยุติธรรมจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องในภายหลัง กล่าวได้ว่าท่าทีเช่นนี้คือรูปแบบการใช้กฎหมายกดปราบ (legal repression) อันมีผลทำให้บุคคลที่มีบทบาทต้องเผชิญกับความยุ่งยากอย่างมากในการดำเนินชีวิต ยิ่งในคดีที่เกี่ยวพันกับเบื้องสูงก็จะยิ่งมีความยุ่งยากเป็นทวีคูณ ไม่ว่าการประกันตัว การตัดสิน การลงโทษ
แม้อาจกล่าวได้ว่าชนชั้นนำประสบความสำเร็จต่อการควบคุมพื้นที่การเมืองบนท้องถนน แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายไปด้วยเช่นกัน องค์กรในกระบวนการยุติธรรมถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรงและต่อเนื่องสืบมาแม้กระทั่งในปัจจุบัน ทำให้สภาพของชนชั้นนำตกอยู่ในภาวะที่ ‘มีอำนาจ แต่ไม่มีความชอบธรรม’
สาม ในพื้นที่การเมืองในระบบรัฐสภา
แม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะพยายามออกแบบให้สถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ภายใต้กำกับขององค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่า สว. หรือองค์กรอิสระ แต่การเลือกตั้งก็กลายเป็นช่องทางหนึ่งที่ชนชั้นนำไทยเข้ามากำกับได้ไม่มาก ผลของการเลือกตั้งแม้กระทั่งในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2566 ก็แสดงให้เห็นว่าความพยายามจะกำกับการเมืองผ่านระบบเลือกตั้งโดยตรงไม่ใช่สิ่งที่กระทำได้โดยง่าย
ตราบเท่าที่ยังยอมรับระบบการเลือกตั้งและสถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งให้เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองไทย นักการเมืองและพรรคการเมืองก็จะยังมีบทบาทอยู่ต่อไป เมื่อชนชั้นนำไม่อาจพึ่งพาพรรคการเมืองใดได้ก็จะต้องผลัดเปลี่ยน ‘เบี้ย’ ของตนเองไปเรื่อยๆ
ขณะที่ใช้อำนาจทางกฎหมายยุบพรรคการเมืองที่เป็นศัตรูกับชนชั้นนำ แต่ตัวเลือกของชนชั้นนำก็ดูจะมีจำกัดลงไปทุกที ยิ่งล้มเหลวในการสร้างพรรคการเมืองของตนก็ยิ่งต้องทำให้ใช้จมูกของพรรคการเมืองมาหายใจแทนตนมากยิ่งขึ้น อย่าลืมว่าพรรคการเมืองหรือนักการเมืองก็ต้องชั่งน้ำหนักและไตร่ตรองระหว่างการเลือกตั้งกับการมีชีวิตทางการเมืองดำรงอยู่ต่อไปเช่นกัน
จะใช้บุคคลหรือองค์กรนอกพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาก็รังแต่จะทำให้กระแสการต่อต้านชนชั้นนำขยายตัว อันยิ่งจะกร่อนเซาะความชอบธรรมของชนชั้นนำให้ลดน้อยลง
บทบาทและอำนาจนำทั้งสามด้านของชนชั้นนำไม่ได้แยกออกจากกัน แต่ละส่วนต่างส่งผลกระทบต่อกันและกัน แต่จะสัมพันธ์กันอย่างไร ในช่วงจังหวะแบบไหน เป็นเรื่องที่พ้นไปจากความสามารถของผู้เขียนที่จะอธิบาย ณ ที่นี้
การพิจารณาสถานะและบทบาทที่เป็นอยู่ในระดับที่กว้างและยาวขึ้นอาจทำให้สามารถประเมินความเข้มแข็งและอำนาจนำของชนชั้นไทยได้มากขึ้น การเข้าใจว่าชนชั้นไทยไม่ได้เข้มแข็งอย่างตายตัวแต่สามารถพลิกผันไปได้ในแต่ละช่วงจังหวะ จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้แต่ละฝ่ายในสังคมการเมืองสามารถกำหนดจุดยืนและแสดงบทบาทที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิม
ความผิดพลาดของนักการเมืองบางกลุ่มและพรรคการเมืองบางพรรคก็คือ การมองภาพชนชั้นนำไทยว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการชี้เป็นชี้ตายต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในหลายจังหวะก็เป็นการมองภาพนี้ใหญ่โตเกินความจริงไปมาก ความเข้าใจเช่นนี้จึงทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่พยายามทำอะไรมากไปกว่าการพยายามร้องขอความเห็นใจด้วยการเสนอตนว่าจะตอบแทนอะไรให้บ้าง โดยไม่สนใจต่อความคาดหวังของผู้คนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง จะตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้ต่อสาธารณะ จะเล่นลิ้นต่อคนที่เคยร่วมงาน จะทอดทิ้งเพื่อนร่วมทาง ก็ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ว่าตนเองจะถูกหลอกมาแล้วกี่ครั้งก็ตาม
ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถมองเห็นภาพของชนชั้นนำไทยได้อย่างใกล้เคียงกับความเป็นจริง จะเปลี่ยนหัวหน้าพรรค จะเปลี่ยนโลโก้พรรค จะเป็นฝ่ายรัฐบาล จะเป็นฝ่ายค้าน ก็จะไม่ได้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนกับพรรคการเมืองนั้นแต่อย่างใด
https://www.the101.world/thai-elite-politics/
เรื่อง: สมชาย ปรีชาศิลปกุล
ภาพประกอบ: จิราภรณ์ บุญเย็น
101
7 Oct 2025
ชนชั้นนำมีบทบาทในการกำหนดทิศทางความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยอย่างมาก การศึกษาและกรอบแนวคิดที่สำคัญล้วนแต่ชี้ให้เห็นบทบาทของชนชั้นนำในแง่มุมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะพิจารณาในกรอบคิดแบบรัฐพันลึก (Eugénie Mérieau), สถาบันกษัตริย์เชิงเครือข่าย (Duncan McCargo), ระบอบประชาธิปไตยสองใบอนุญาต (ปิยบุตร แสงกนกกุล) หรือเครือข่ายในหลวง (อาสา คำภา) เป็นต้น
การพิจารณาถึงบทบาทของชนชั้นนำไทย (ในความหมายอย่างกว้าง) ก็เป็นที่ยอมรับร่วมกันว่าไม่ได้มีลักษณะที่หยุดนิ่ง เป็นทางการ มีลำดับขั้นบังคับบัญชาอันแน่นอน ตรงกันข้าม การแสดงบทบาทของชนชั้นนำไทยกลับมีลักษณะที่เคลื่อนไหว ไม่เป็นทางการ และไม่มีศูนย์กลางทางอำนาจอย่างชัดเจน (ที่แสดงตนออกมา)
เฉกเช่นผู้สนใจสถานการณ์ทางสังคมการเมือง ผู้เขียนไม่ปฏิเสธบทบาทของชนชั้นนำในการเมืองไทย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าชนชั้นนำไทยจะดำรงอยู่ในสถานะที่เข้มแข็ง เด็ดขาด อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยตลอด เฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างไพศาลในรอบทศวรรษที่ผ่านมา สังคมมีการเคลื่อนไหว การแสดงออก การรณรงค์ ในทิศทางที่แตกต่างไปจากเดิม ส่งผลให้ชนชั้นนำไทยต้องตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
บทบาทในสามแง่มุมของชนชั้นไทยที่อยากชวนพิจารณา มีดังนี้
หนึ่ง ในพื้นที่การเมืองเชิงวัฒนธรรม
อาจกล่าวได้ว่าพื้นที่การเมืองเชิงวัฒนธรรมเป็นพื้นที่ที่ชนชั้นนำไทยไม่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากนัก การแสดงออกของผู้คนต่อสถาบันจารีต ความเชื่อถือต่อองค์กรต่างๆ ที่เคยมีความศักดิ์สิทธิ์ถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวางในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน อันเป็นการสะท้อนให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกต่อสถาบันทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
แม้ว่าจะได้พยายามใช้ระบบการศึกษา สื่อมวลชน พิธีกรรม มาเป็นเครื่องมือในการจัดการกับมุมมองของผู้คนที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ แต่เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ที่ยิ่งทวีความก้าวหน้า ทำให้การกล่อมเกลาผู้คนด้วยวิธีการแบบเดิมดูจะยากประสบความสำเร็จต่อการฝังหัวผู้คนให้กลับไปเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์แบบที่เคยเป็นมา
ความล้มเหลวในพื้นที่การเมืองวัฒนธรรมนับเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะเป็นรากฐานต่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป
สอง ในพื้นที่การเมืองบนท้องถนน
นับจากการลงสู่ท้องถนนของกลุ่มเยาวชนในช่วง พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา การเคลื่อนไหวบนท้องถนนเป็นอย่างคึกคักและกระจายตัวออกไปอย่างกว้างขวางในหลายจังหวัด การจัดการชุมนุมคือกลไกสำคัญในการแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจต่อระเบียบการเมืองที่เป็นอยู่
ในระยะเริ่มต้น การรับมือของชนชั้นนำต่อการชุมนุมดำเนินไปด้วยการใช้กฎหมายและกำลังเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ผู้นำรัฐบาลประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่ให้มีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับการชุมนุมที่มีเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปสถาบัน
ท่าทีของหน่วยงานรัฐในลักษณะดังกล่าวดูจะสร้างความยุ่งยากให้เกิดขึ้น กระทั่งทางฝ่ายรัฐได้เรียนรู้และหันมาใช้กลไกทางกฎหมายเป็นเครื่องมือในการรับมือกับการชุมนุมมากขึ้น โดยเปิดให้มีการชุมนุมและทางเจ้าหน้าที่รัฐก็จะใช้กระบวนการยุติธรรมจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องในภายหลัง กล่าวได้ว่าท่าทีเช่นนี้คือรูปแบบการใช้กฎหมายกดปราบ (legal repression) อันมีผลทำให้บุคคลที่มีบทบาทต้องเผชิญกับความยุ่งยากอย่างมากในการดำเนินชีวิต ยิ่งในคดีที่เกี่ยวพันกับเบื้องสูงก็จะยิ่งมีความยุ่งยากเป็นทวีคูณ ไม่ว่าการประกันตัว การตัดสิน การลงโทษ
แม้อาจกล่าวได้ว่าชนชั้นนำประสบความสำเร็จต่อการควบคุมพื้นที่การเมืองบนท้องถนน แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายไปด้วยเช่นกัน องค์กรในกระบวนการยุติธรรมถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรงและต่อเนื่องสืบมาแม้กระทั่งในปัจจุบัน ทำให้สภาพของชนชั้นนำตกอยู่ในภาวะที่ ‘มีอำนาจ แต่ไม่มีความชอบธรรม’
สาม ในพื้นที่การเมืองในระบบรัฐสภา
แม้รัฐธรรมนูญ 2560 จะพยายามออกแบบให้สถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ภายใต้กำกับขององค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ว่า สว. หรือองค์กรอิสระ แต่การเลือกตั้งก็กลายเป็นช่องทางหนึ่งที่ชนชั้นนำไทยเข้ามากำกับได้ไม่มาก ผลของการเลือกตั้งแม้กระทั่งในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2566 ก็แสดงให้เห็นว่าความพยายามจะกำกับการเมืองผ่านระบบเลือกตั้งโดยตรงไม่ใช่สิ่งที่กระทำได้โดยง่าย
ตราบเท่าที่ยังยอมรับระบบการเลือกตั้งและสถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งให้เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองไทย นักการเมืองและพรรคการเมืองก็จะยังมีบทบาทอยู่ต่อไป เมื่อชนชั้นนำไม่อาจพึ่งพาพรรคการเมืองใดได้ก็จะต้องผลัดเปลี่ยน ‘เบี้ย’ ของตนเองไปเรื่อยๆ
ขณะที่ใช้อำนาจทางกฎหมายยุบพรรคการเมืองที่เป็นศัตรูกับชนชั้นนำ แต่ตัวเลือกของชนชั้นนำก็ดูจะมีจำกัดลงไปทุกที ยิ่งล้มเหลวในการสร้างพรรคการเมืองของตนก็ยิ่งต้องทำให้ใช้จมูกของพรรคการเมืองมาหายใจแทนตนมากยิ่งขึ้น อย่าลืมว่าพรรคการเมืองหรือนักการเมืองก็ต้องชั่งน้ำหนักและไตร่ตรองระหว่างการเลือกตั้งกับการมีชีวิตทางการเมืองดำรงอยู่ต่อไปเช่นกัน
จะใช้บุคคลหรือองค์กรนอกพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาก็รังแต่จะทำให้กระแสการต่อต้านชนชั้นนำขยายตัว อันยิ่งจะกร่อนเซาะความชอบธรรมของชนชั้นนำให้ลดน้อยลง
บทบาทและอำนาจนำทั้งสามด้านของชนชั้นนำไม่ได้แยกออกจากกัน แต่ละส่วนต่างส่งผลกระทบต่อกันและกัน แต่จะสัมพันธ์กันอย่างไร ในช่วงจังหวะแบบไหน เป็นเรื่องที่พ้นไปจากความสามารถของผู้เขียนที่จะอธิบาย ณ ที่นี้
การพิจารณาสถานะและบทบาทที่เป็นอยู่ในระดับที่กว้างและยาวขึ้นอาจทำให้สามารถประเมินความเข้มแข็งและอำนาจนำของชนชั้นไทยได้มากขึ้น การเข้าใจว่าชนชั้นไทยไม่ได้เข้มแข็งอย่างตายตัวแต่สามารถพลิกผันไปได้ในแต่ละช่วงจังหวะ จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้แต่ละฝ่ายในสังคมการเมืองสามารถกำหนดจุดยืนและแสดงบทบาทที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิม
ความผิดพลาดของนักการเมืองบางกลุ่มและพรรคการเมืองบางพรรคก็คือ การมองภาพชนชั้นนำไทยว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการชี้เป็นชี้ตายต่อความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในหลายจังหวะก็เป็นการมองภาพนี้ใหญ่โตเกินความจริงไปมาก ความเข้าใจเช่นนี้จึงทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่พยายามทำอะไรมากไปกว่าการพยายามร้องขอความเห็นใจด้วยการเสนอตนว่าจะตอบแทนอะไรให้บ้าง โดยไม่สนใจต่อความคาดหวังของผู้คนที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง จะตระบัดสัตย์ที่ให้ไว้ต่อสาธารณะ จะเล่นลิ้นต่อคนที่เคยร่วมงาน จะทอดทิ้งเพื่อนร่วมทาง ก็ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ว่าตนเองจะถูกหลอกมาแล้วกี่ครั้งก็ตาม
ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถมองเห็นภาพของชนชั้นนำไทยได้อย่างใกล้เคียงกับความเป็นจริง จะเปลี่ยนหัวหน้าพรรค จะเปลี่ยนโลโก้พรรค จะเป็นฝ่ายรัฐบาล จะเป็นฝ่ายค้าน ก็จะไม่ได้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนกับพรรคการเมืองนั้นแต่อย่างใด
https://www.the101.world/thai-elite-politics/