
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
9 hours ago
·
เมื่อวันที่ 26 ก.ย. และ 30 ก.ย. 2568 ที่เรือนจำกลางคลองเปรม ทนายความเข้าเยี่ยม “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ นักพัฒนาชุมชนวัย 40 ปี ผู้ถูกคุมขังในระหว่างฎีกาในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันขัดขวางขบวนเสด็จ ระหว่างเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563
.
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จากที่เคยยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา เป็นเห็นว่าจำเลยทั้งห้ามีความผิดตามฟ้อง โดยพิพากษาลงโทษบทหนักที่สุด ตามมาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี และให้เพิ่มโทษของจำเลยที่ 1 (เอกชัย หงส์กังวาน) 1 ใน 3 เนื่องจากเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 21 ปี 4 เดือน
.
หลังจากนั้นศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งหมดระหว่างฎีกาเรื่อยมา โดยเห็นว่าหากปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยทั้งห้าอาจจะหลบหนี ทำให้จำเลยทั้งหมดถูกคุมขังต่อไปในเรือนจำคลองเปรมเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือนแล้ว
.

.
การถูกคุมขังในครั้งนี้ ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะเนิ่นยาวออกไปเพียงใด ตันเล่าว่าผลกระทบมากที่สุดสำหรับเขา คงเป็นเรื่องงานพัฒนาชุมชนเมืองที่ทำอยู่ ซึ่งเขามีหน้าที่เป็นผู้จัดการโครงการ แต่ตอนนี้ไม่สามารถไปทำหน้าที่นี้ต่อได้แล้ว
.
“เราเป็น Project manager ของโครงการ ทำงานกับชุมชนที่ไม่จดทะเบียนในกรุงเทพฯ เกี่ยวข้องกับผู้คนนับพัน เกี่ยวข้องกับงบประมาณสิบกว่าล้าน แล้วก็ทำให้พนักงานในองค์กรเสียขวัญกำลังใจ เพราะเราเพิ่งสร้างองค์กรด้วย เราแก้ปัญหาด้วยการเปลี่ยนตัว Project manager เพื่อไม่ให้มันกระทบกับงาน”
.
ด้านครอบครัวก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน เพราะเขาอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว ลงหลักปักฐาน วางแผนชีวิตระยะยาว ทั้งเรื่องสุขภาพ การเก็บเงิน แต่ภาระทุกอย่างตอนนี้อาจไปตกอยู่ที่ภรรยา ซึ่งมีโรคประจำตัวอยู่ หากมีความเครียดมากเกินไป มักจะมีอาการปวดตามตัวและข้อ พอเขาต้องมาอยู่ในนี้ ไม่สามารถทำงานได้ ก็ไม่มีเงินเดือนมาช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัว ทำให้เขากังวลในเรื่องนี้ด้วย
.
“พอเราล้มคนนึง ก็มีผลกระทบกับคนเยอะมาก ครอบครัว 4 คน น้อง ๆ ในทีม รวมถึงชาวบ้านนับพันชีวิต”
.
เมื่อถามถึงจุดเริ่มต้นในการทำงานในองค์กรภาคประชาสังคมของเขา ตันเล่าให้ฟังว่า เขาสนใจงานพัฒนาชุมชนมาตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว เนื่องจากพ่อทำงานสายพัฒนามาตลอด
.
“เราติดตามพ่อไป ก็เลยเห็นว่ามีคนเข้าไม่ถึงสิทธิเยอะมาก คนกรุงเทพฯ ที่แท้จริงน่าสงสาร คนที่อพยพมาก็น่าสงสาร เราเองก็เติบโตมาในชุมชนแออัดที่รวมผู้คนจากทุกที่ เป็นชุมชนขนาด 1,500 หลังคาเรือน เยอะมากนะเมื่อเทียบกับชุมชนทั่วไป เราเลยรู้ดีว่ามันเป็นยังไงและตั้งใจจะให้ความช่วยเหลือพวกเขามานับแต่นั้น เราเรียนไม่เก่ง ไม่จบปริญญาด้วยซ้ำ แต่เราคิดว่า งานแบบนี้ประสบการณ์สำคัญกว่า
.
“เราเรียนรู้งานจากประสบการณ์ตรง ไปหาชุมชนที่คล้ายเรา คลุกคลี เก็บข้อมูล เพื่อดูว่าเขามีปัญหาอะไรบ้าง พอเห็นว่าหลาย ๆ ชุมชนมีปัญหาคล้ายกัน เลยค่อย ๆ ออกแบบ เราถนัดอะไรก็ไปทำแบบนั้น
.
“8 ปีหลัง เราเริ่มชัดเจนแล้วว่าจะทำอะไร ที่ไหน ยังไง 3 ปีหลัง ก็เริ่มปักหลักทำงานในกรุงเทพฯ เพราะต้องการเห็นผลการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เลยไม่ได้ตะลอนช่วยพื้นที่ที่มีปัญหาตามต่างจังหวัดเหมือนก่อนหน้านั้น”
.
ตันเปิดเผยว่าก่อนเข้ามาอยู่ในเรือนจำ เขาและทีมงานกำลังเขียนหลักสูตรพัฒนาชุมชนอย่างมีส่วนร่วม กับหลักสูตรอาสาสมัครที่มีหัวใจ ปัจจุบันกำลังค้นหารูปแบบและเก็บข้อมูลกันอยู่
.
เขาบอกว่าสิ่งที่ชอบที่สุดในการทำงานกับชุมชนและกลุ่มเปราะบาง คงเป็นการทำให้พวกเขาตระหนักในสิทธิของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะเรียกร้อง-ปกป้องมัน
.
“การได้ทำงานกับกลุ่มคนที่เปราะบางหลากหลาย อย่างเด็กและเยาวชนที่เผชิญกับความเหลื่อมล้ำ และได้ใช้ความรู้ที่เรามีไปช่วยแก้ปัญหาในชุมชนของตัวเอง เสริมความมั่นใจให้เขากล้าเรียกร้องสิทธิของตัวเอง กำหนดทิศทางของตนเอง และเข้าถึงสิทธิของตนเองได้
.
“สิ่งสำคัญคือเราคิดว่า การประเมินว่ามันจะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก คือต้องลองทำไปก่อน เราเคยถกเถียงกันว่าถ้าจะแก้ปัญหาปากท้องต้องแก้จากตรงไหน ล่างขึ้นบนหรือบนลงล่าง แต่สุดท้ายมันก็ต้องทำไปพร้อมกัน นอกจากจะแก้ปัญหาให้ตัวคนตรง ๆ แล้ว ก็ต้องมุ่งไปทางหัว พยายามเปลี่ยนแปลงนโยบายด้วย”
.

.
เมื่อถามถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำหลังถูกคุมขัง ตันเล่าว่า ในนี้เขาได้เห็นปัญหามากมาย “พออยู่ในเรือนจำ เราก็เห็นปัญหาหลายอย่างนะ ข้างในมีคนน่าสงสารเยอะมาก”
.
ทนายแซวว่าไม่ใช่อยู่ไปสักพัก แล้วทำให้คิดอยากหาโปรเจคมาช่วยเหลือคนในเรือนจำ ก่อนตันตอบรับว่า “ใช่! เราคิดตลอดว่าจะหาอะไรมาทำโครงการกับคนข้างใน
.
“ปัญหาที่เห็นอันดับแรกเลยคือการต่อสู้คดีของผู้ต้องขัง บางคนถูกตัดสินจากศาลชั้นต้นแล้ว ก็เข้าใจไปเองว่าคดีสิ้นสุดแล้ว ยอมติดคุกจนหมดเวลายื่นอุทธรณ์ไปเอง คือเขาไม่รู้ว่าเขามีสิทธิอะไรบ้าง จะยื่นอุทธรณ์ขอสู้คดีต่อหรือขอลดโทษยังไง เขาเข้าใจว่าเขาหมดทางสู้กันไปแล้ว
.
“พอเจอเราที่มีทนายมาเยี่ยม มาคุยเรื่องคดีต่าง ๆ เขาก็เพิ่งรู้ว่าเขาเองก็มีทางสู้ แต่ไม่ทันแล้ว มันหมดเวลายื่นแล้ว อีกเรื่องคือการติดต่อคนข้างนอก ถ้าไม่มีความรู้ เขาจะติดต่อคนข้างนอกไม่ได้เลย อย่าง Domi Mail นี่ถ้าญาติไม่มาเยี่ยม ก็ไม่รู้ พอโดนย้ายเรือนจำอีกก็ลำบาก กว่าสิ่งของกับบุ๊คแบงค์จะตามมา คนก็เสียศูนย์ไปแล้ว เราก็คิดว่าเราจะแก้ยังไง จะสื่อสารแบบไหน ตอนนี้เหมือนสะสม Passion ไปเรื่อย ๆ วางแผนชีวิตใหม่ไปเรื่อย ๆ
.
“มันก็มีความเครียดขึ้นมาเป็นระยะ เราก็พยายามหาวิธีคลายเครียด พูดคุยกับผู้คน อ่านหนังสือ ทำทุกวันให้มีความหมาย ตอบจดหมายจากคนที่รัก คุยเรื่องดี ๆ กินอาหารที่อยากกิน
.
“ครั้งนี้เรารู้สึกเครียดน้อยกว่าครั้งที่แล้วมาก เพราะครั้งก่อนมันไม่รู้อะไรเลย เราได้อยู่เรือนจำครบเลยนะ ทั้งพิเศษกรุงเทพฯ บางขวาง แล้วล่าสุดคลองเปรม วันนี้เราเริ่มเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในคนที่เรารัก เชื่อมั่นในคนที่กำลังให้ความช่วยเหลือเราสูงกว่าครั้งแรก เพราะครั้งแรกเราไม่รู้การเคลื่อนไหวอะไรเลย
.
“การที่คนข้างนอกส่งความเคลื่อนไหวของเขาให้เรารู้ เช่น กิจกรรมที่จัดไปแล้ว อย่างยืนหยุดขังหน้าศาลอาญาที่ทนายเอารูปให้ดู หรืองานวิ่ง มันทำให้เรามีกำลังใจ ดีใจ และรู้สึกโชคดีที่เราไม่โดดเดี่ยว ชีวิตมีความหมายมากเลยครับ ขอบคุณจริง ๆ
.
“ฝากขอบคุณทุกคนด้วย”
.
ระหว่างที่พูดคุยกัน ตันไอเป็นระยะ เขารีบบอกว่า “ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย ไอตลอดคืนมา 3 วันแล้ว เขาเรียกว่า ‘ไข้คุก’ ถ้าไม่ได้เป็น จะมาไม่ถึง (หัวเราะ)
.
“อยากให้หายแล้วเพราะเกรงใจคนนอนข้าง ๆ ที่ไอทั้งคืน ที่นี่ขอยายาก มีแต่พาราฯ แล้วเขาไม่ค่อยให้ด้วย คิดว่าถึงจะเขียนคำร้องขอพบแพทย์ไป กว่าจะได้เจอหมอเราก็น่าจะหายแล้ว คิดว่าเป็นไข้ปกติเพราะไม่มีสัญญาณเลวร้ายอะไร มีตัวร้อนนิดหน่อยเพราะไอบ่อย แต่ไม่ได้ไข้ขึ้นสูงขนาดไม่สบายตัว”
.
ในการเยี่ยมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. เมื่อนำรูปกิจกรรม “Run2free วิ่งเพื่อเสรีภาพ” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.ย. ให้ตันดู เขายิ้มแย้มเมื่อเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนในภาพกิจกรรม เขาเล่าถึงเพื่อนบางคนด้วยความดีใจ และฝากขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้จัดและผู้เข้าร่วมกิจกรรมมา ณ ที่นี้ด้วย
.
“แค่เห็นรูปกิจกรรมก็ชื่นใจละ เราเชื่อว่าพวกเขาส่งใจให้เราอยู่เสมอ ขอบคุณทุกคนที่ร่วมส่งใจส่งพลังให้ผู้ต้องขังทางการเมืองด้วยนะ เดือนหน้า (13 ตุลา) ก็จะครบ 5 ปีที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว (คดีขวางขบวนเสด็จ)
.
“เราชัดมากเลยนะ เราเชื่อในพฤติการณ์ว่าไม่ได้ทำอะไรตามที่ถูกกล่าวหา เราได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ร้อยกว่าหน้าแล้ว รู้สึกว่าการรับฟังพยานหลักฐานฝั่งเราค่อนข้างน้อย ทั้งที่จำเลยทั้ง 5 คน ให้การครบถ้วนเต็มที่มาก คือมันไม่มีที่มาที่ไป ขนาดผู้พิพากษาที่มานั่งอ่านคำพิพากษาวันนั้นยังเหวอ
“แต่เรายังมีความหวัง และเชื่อว่าศาลฎีกาจะพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เพราะศาลชั้นต้นได้อธิบายพฤติการณ์ในวันเกิดเหตุอย่างครบถ้วนว่ามันเป็นแค่ความเข้าใจผิด ไม่เอนเอียง
.
“แต่ก็นะ มันก็อดกังวลไม่ได้ ในสภาพบ้านเมืองแบบนี้ ต่อให้เรามั่นใจแค่ไหนก็ไม่แน่นอน”
.

https://tlhr2014.com/archives/79086
https://www.facebook.com/photo?fbid=1212299010740567&set=a.656922399611567
"อย่าลืมฉัน อย่าลืมพวกเรา": เมื่อเพลงทำให้ผู้ต้องขัง ม.112 หลั่งน้ำตา
— TLHR / ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (@TLHR2014) October 7, 2025
.
2 ต.ค. ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ทนายเยี่ยม "อาย" กันต์ฤทัย ผู้ต้องขัง ม.112 ถูกพิพากษา 8 ปีจากโพสต์เฟซบุ๊ก 8 ข้อความ ถูกคุมขังตั้งแต่ ส.ค. 2567
.
อายเล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังเพื่อนร่วมห้องย้ายไปแดนเด็ดขาด… pic.twitter.com/tPpvHF8AvF
.
2 ต.ค. ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ทนายเยี่ยม "อาย" กันต์ฤทัย ผู้ต้องขัง ม.112 ถูกพิพากษา 8 ปีจากโพสต์เฟซบุ๊ก 8 ข้อความ ถูกคุมขังตั้งแต่ ส.ค. 2567
.
.
อายเล่าถึงชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังเพื่อนร่วมห้องย้ายไปแดนเด็ดขาด ต้องปรับตัวกับคนใหม่ แต่ยังคงช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
.
.
เธอประทับใจมากกับเพลง "อาย...เสียงแม่หลังกำแพง" บนยูทูป และกิจกรรม Run2free เมื่ออ่านเนื้อเพลงตอนพูดถึงลูกชาย น้ำตาไหลพราก รู้สึกว่ายังมีคนจำและให้กำลังใจผู้ต้องขังการเมือง
.
.
อายฝากให้คนเขียนจดหมายหาบ้าง "เพื่อให้รู้สึกว่ายังนึกถึงกัน"
อ่านบันทึกเยี่ยมของอายบนเว็บไซต์:
กิจกรรม #ยืนหยุดขัง หน้าศาลอาญารัชดา#นิรโทษกรรมประชาชน#หยุดคุมขัง#ม็อบ7ตุลา68 pic.twitter.com/mFrudgyduQ
— แอคหมาหมา (@RH1LNHmKAlpssL2) October 7, 2025
15 hours ago
·
ลูกความขอพยานหลักฐานในคดีไปอ่านในเรือนจำ หลักฐานมีทั้งเอกสารและคลิป
.
- เอกสารส่งเข้าเรือนจำได้ แต่ปัญหาคือเอกสารหลายแฟ้มในเรือนจำแทบไม่มีที่เก็บสำหรับผู้ต้องขัง
- ยิ่งพยานหลักฐานที่เป็นคลิปและใช้เปิดระหว่างสืบพยานตลอด ไม่ต้องพูดถึงเลยจะเอาคอมที่ไหนเปิดดู / ทนายความเองจะเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พวกนี้เข้าเรือนจำไปเปิดดูกับลูกความก็ไม่สามารถทำได้นะ
.
กระบวนการยุติธรรมให้โอกาสในการต่อสู้คดีต่อในชั้นฎีกา สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่ศาลมัดมือมัดเท้าคู่ความไว้โดยไม่ให้สิทธิในการประกันตัวทั้งที่เขาไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
.
นี่คือความเท่าเทียม คือโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเต็มทีจริงเหรอ
.
โทษ 16 ปี ในมุมมองศาลคือ อัตราโทษสูงเกรงว่าจะหลบหนี แต่ในมุมมองเราคือ ศาลควรจะยิ่งให้โอกาสเขาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ที่สุด แต่....
·
ลูกความขอพยานหลักฐานในคดีไปอ่านในเรือนจำ หลักฐานมีทั้งเอกสารและคลิป
.
- เอกสารส่งเข้าเรือนจำได้ แต่ปัญหาคือเอกสารหลายแฟ้มในเรือนจำแทบไม่มีที่เก็บสำหรับผู้ต้องขัง
- ยิ่งพยานหลักฐานที่เป็นคลิปและใช้เปิดระหว่างสืบพยานตลอด ไม่ต้องพูดถึงเลยจะเอาคอมที่ไหนเปิดดู / ทนายความเองจะเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พวกนี้เข้าเรือนจำไปเปิดดูกับลูกความก็ไม่สามารถทำได้นะ
.
กระบวนการยุติธรรมให้โอกาสในการต่อสู้คดีต่อในชั้นฎีกา สันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่ศาลมัดมือมัดเท้าคู่ความไว้โดยไม่ให้สิทธิในการประกันตัวทั้งที่เขาไม่มีพฤติการณ์หลบหนี
.
นี่คือความเท่าเทียม คือโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเต็มทีจริงเหรอ
.
โทษ 16 ปี ในมุมมองศาลคือ อัตราโทษสูงเกรงว่าจะหลบหนี แต่ในมุมมองเราคือ ศาลควรจะยิ่งให้โอกาสเขาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ที่สุด แต่....