วันอาทิตย์, ตุลาคม 05, 2568

วิเคราะห์จุดยืน "จีน" เลือกกัมพูชาเหนือไทยหรือไม่ หลังนิวยอร์กไทมส์เผยจีนส่งอาวุธให้ก่อนเกิดข้อพิพาทชายแดน


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

วิเคราะห์จุดยืน "จีน" เลือกกัมพูชาเหนือไทยหรือไม่ หลังนิวยอร์กไทมส์เผยจีนส่งอาวุธให้ก่อนเกิดข้อพิพาทชายแดน

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
4 ตุลาคม 2025

นับตั้งแต่ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้ามืดของวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้เกิดความเคลื่อนไหวทางการทูตที่ส่งแรงสั่นสะเทือนในระดับนานาชาติอยู่ 2-3 ครั้ง

ครั้งแรกคือเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศใช้นโยบายภาษีนำเข้ากดดันทั้งสองประเทศให้หันหน้าเข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยผู้นำสหรัฐฯ โพสต์ผ่านบัญชีทรูธโซเชียลเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ขู่ว่าจะไม่ตกลงทางการค้าใด ๆ กับไทย และกัมพูชา หากยังสู้รบกันอยู่

การเข้ามามีบทบาทของผู้นำสหรัฐฯ นำมาสู่การเกิดขึ้นของเวทีเจรจาเพื่อหาข้อตกลงหยุดยิงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค. โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นผู้ประสานงานและอำนวยความสะดวก

แม้ผ่านมาแล้ว 3 เดือน ขณะที่สถานการณ์ชายแดนยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 ก.ย. หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ ตีพิมพ์บทความที่มีชื่อว่า "How Chinese Weapons Transformed a War Between Two Neighbors" [อาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า อาวุธสัญชาติจีนได้เปลี่ยนโฉมสงครามระหว่างเพื่อนบ้านสองประเทศไปอย่างไร]

ซุย-ลี วี หัวหน้าสำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์ ประจำกรุงเทพมหานคร ระบุในรายงานว่า เธอได้อ่านเอกสารจากหน่วยข่าวกรองทางทหารของไทยว่า ในช่วงที่ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชายังคงคุกรุ่นอยู่นั้น ทางการจีนได้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มายังดินแดนกัมพูชา

เดอะนิวยอร์กไทมส์ระบุว่า มีการตรวจสอบเอกสารฉบับดังกล่าวกับแหล่งข่าวทางทหาร 3 รายจากฝั่งไทย ที่ไม่ขอเปิดเผยตัวตน ทั้งยังอ้างอิงแถลงการณ์ของ พล.ท.รัถ ดาราร็อธ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่ไม่ได้ปฏิเสธรายละเอียดพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดส่งอาวุธจากจีนมายังกัมพูชา แต่ระบุว่ารายงานข่าวกรองของไทยเป็น "การบิดเบือน" เพราะอาวุธเหล่านั้นถูกส่งมาจีนในช่วงเดียวกับที่มีการซ้อมรบร่วมกันของทั้งสองประเทศ

บีบีซีไทยพบว่าใจความช่วงที่สำคัญที่สุดของบทความนี้ คือช่วงที่รายงานระบุว่า "เอกสารจากหน่วยข่าวกรองของไทยชี้ว่า ระหว่างวันที่ 21-23 มิ.ย. [2568] จีนได้ส่งกระสุนเกือบ 700 นัด สำหรับเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องรุ่น BM-21 แบบสหภาพโซเวียต รวมถึงระบบจรวดหลายลำกล้องที่ผลิตในจีน ได้แก่ รุ่น Type 90B และ PHL-03 นอกจากนี้ จีนยังได้จัดส่งกระสุนปืนใหญ่สำหรับปืนใหญ่อัตตาจร SH-1 ของจีน และกระสุนปืนสำหรับปืนกลต่อสู้อากาศยานรุ่นสหภาพโซเวียต" มายังกัมพูชา

อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้ถูกนำไปจัดเก็บไว้ที่ฐานทัพเรือเรียมซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชาและห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา ราว 600 กิโลเมตร เมื่อเดินทางทางบก ตามข้อมูลที่บีบีซีไทยตรวจสอบผ่านแผนที่เส้นทางเดินทางของกูเกิลแมปส์


ภาพช่วงเวลาที่ทหารกัมพูชาขับรถบรรทุกติดตั้งเครื่องยิงจรวดแบบ BM-21ในจังหวัดจังหวัดอุดรมีชัย ทางตอนเหนือของกัมพูชา ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ไม่กี่วันถัดมา เอกสารจากหน่วยข่าวกรองไทยชี้ว่าอาวุธประเภทกระสุนจากจีนถูกเคลื่อนย้ายไปยังฐานทัพของกัมพูชาทางตอนเหนือ ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนไทยบริเวณที่มีความขัดแย้ง

ซุย-ลี วี ตั้งข้อสังเกตว่า ด้านหนึ่งจีนออกหน้าอย่างเป็นทางการว่าต้องการสวมบทบาทคนกลางในการได้มาซึ่งข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองฝ่าย ทว่าการขนส่งอาวุธของจีนไปยังกัมพูชานั้นกลับทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น

รายงานของเธอยังวิเคราะห์ต่อไปว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กัมพูชาซึ่งมีแสนยานุภาพทางทหารไม่เทียบเท่าไทย กล้าที่จะลุกขึ้นมาส่งกองกำลังและอาวุธประชิดชายแดนไทย แม้จะบอกว่าตัวเองไม่ต้องการสงคราม อาจเป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากจีนมาเป็นเวลาหลายปี

แรงกระเพื่อมของรายงานชิ้นนี้ทำให้ทั้งฝั่งไทยและจีนออกมาแถลงข่าวแทบจะทันที

เมื่อวันที่ 2 ต.ค. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าเอกสารที่สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์ได้รับนั้นเป็น "ข่าวเก่าและข่าวเปิด" และย้ำว่าทางการจีนได้ส่งอาวุธสนับสนุนให้กับกัมพูชาตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้น และกล่าวปฏิเสธว่าในช่วงที่ผ่านมาไม่มีข่าวกรองที่ระบุว่าจีนได้ส่งอาวุธเพิ่มเติมให้กัมพูชา

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวในวันเดียวกันว่า เขากำลังรอฟังรายงานจากฝั่งความมั่นคงในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

ในช่วงหัวค่ำของวันเดียวกัน บัญชีเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความปฏิเสธรายงานของนิวยอร์กไทมส์ และชี้ว่า "นับตั้งแต่การเกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ในฐานะเพื่อนบ้านฉันมิตรของไทยและกัมพูชา จีนได้พยายามทำงานเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ด้วยวิธีของตนเอง จีนไม่ได้ส่งอุปกรณ์ทางทหารใด ๆ ให้กับกัมพูชาเพื่อใช้ในเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา อุปกรณ์ทางทหารจากจีนที่กัมพูชามีอยู่ในปัจจุบัน ล้วนมาจากโครงการความร่วมมือระหว่างจีน-กัมพูชาที่มีอยู่แล้ว"

แม้ทั้งไทยและจีนต่างออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว อย่างไรก็ดี หากเอกสารจากหน่วยข่าวกรองของไทยที่นิวยอร์กไทมส์ได้รับเป็นความจริง คำถามสำคัญอย่างยิ่งยวดที่บีบีซีไทยชวนวิเคราะห์ต่อ คือ จีนจะได้อะไรจากการเลือกส่งอาวุธให้กัมพูชาครั้งนี้

บีบีซีไทยได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในของเรื่องนี้

วิเคราะห์จุดยืนจีน เลือกกัมพูชาเหนือไทยจริงหรือไม่ ?

ก่อนที่จะกล่าวถึงเหตุผลในการตัดสินใจของจีน ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกกับบีบีซีไทยว่า ปัญหาการสนับสนุนอาวุธของจีนไปยังกัมพูชาเป็นที่รับรู้กันในแวดวงความมั่นคงของไทยอยู่แล้ว ก่อนที่ปัญหาชายแดนจะเริ่มขึ้น

แต่ประเด็นที่ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ชี้ต่อไปก็คือ คำถามที่แวดวงความมั่นคงถกกันในช่วงที่ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาขยายตัวมากขึ้น คือ หลังการซ้อมรบระหว่างจีนและกัมพูชาครั้งที่ 7 ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-28 พ.ค. 2568 ซึ่งเริ่มอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 พ.ค. นั้น อาวุธยุทโธปกรณ์ในการซ้อมรบถูกทิ้งไว้มากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ดี ในรายงานของเดอะนิวยอร์กไทมส์ระบุอย่างชัดเจนถึงการส่งมอบอาวุธในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งก็คือช่วงระหว่างวันที่ 21-23 มิ.ย. 2568 ซึ่งเกิดขึ้นหลายสัปดาห์หลังการสิ้นสุดการซ้อมรบระหว่างกัมพูชาและจีนไปแล้ว บีบีซีไทยถามว่า ดังนั้นแล้วความกังวลจึงไม่ควรจำกัดอยู่แค่สรรพาวุธที่กัมพูชาได้มาจากกิจกรรมซ้อมรบหรือไม่


ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ มองว่าแท้จริงแล้วจีนเลือกที่จะ "ไม่ทิ้งทั้งสองฝั่ง"

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าวว่าที่ผ่านมาข้อมูลนี้เป็น "ข่าวกรองที่ไม่เปิด จนกระทั่งบทความของนิวยอร์กไทมส์เอามาเปิด ข้อมูลนี้ต้องเรียนบีบีซี [ไทย] ว่าเป็นข้อมูลที่พูดกันอยู่วงภายใน และภายในมากของหน่วยงานความมั่นคงไทย"

จากข้อมูลที่รายงานจากสื่อนิวยอร์กไทมส์ที่จีนให้ความช่วยเหลือทางด้านยุทโธปกรณ์แก่กัมพูชา เมื่อถามถึงทัศนะของผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงจากจุฬาฯ ว่า เหตุใดมหาอำนาจจีนจึงยื่นมือมาช่วยกัมพูชา ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ มองว่าแท้จริงแล้วจีนเลือกที่จะ "ไม่ทิ้งทั้งสองฝั่ง" มากกว่า และพยายามที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการยุติข้อขัดแย้งของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ กลับเข้ามาตัดหน้าผ่านการแทรกแซงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เสียก่อน

ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ ชี้ว่า จีนมีปัญหาสำคัญอีกหนึ่งข้อ คือไม่ว่าจีนจะดำเนินนโยบายทางการทูตอย่างไร ก็จะเจอกับความลักลั่นของตนเอง เพราะเมื่อรบกัน ฝั่งกัมพูชาย่อมใช้อาวุธจากจีนอยู่แล้ว โดย ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ ชี้ว่าตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เครื่องยิงจรวด BM-21 แต่ในทางกลับกันกองทัพไทยเองก็มีอาวุธจากจีนเช่นเดียวกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและกองทัพจากจุฬาฯ เสริมว่า ข้อมูลในทางลึกของฝ่ายความมั่นคงระบุว่า จีนพยายามยืนยันมาตลอดว่าปักกิ่งไม่ได้ต้องการสนับสนุนให้กัมพูชาใช้อาวุธจีนมารบกับไทย อย่างไรก็ดี เขาเสริมว่า "ในทางปฏิบัติ เราก็เห็นกันอยู่ว่า เป็นไปไม่ได้"


ระหว่างพิธีสวนสนามวันชัยชนะ (V-Day) เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2568 ณ กรุงปักกิ่ง จีนได้เปิดเผยขีดความสามารถของกองกำลังเชิงยุทธศาสตร์ทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ขีปนาวุธในภาพนี้คือขีปนาวุธโจมตีความเร็วเหนือเสียงรุ่น YJ-19 จากกองกำลังต่อต้านเรือรบ

ทัศนะของ ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ เรื่องจุดยืนของจีนนั้น สอดคล้องกับมุมมองของ ดร.อับดุล ราห์มาน ยาค็อบ นักวิจัยประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันโลวี (Lowy Institute) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้สัมภาษณ์ในบทความของเดอะนิวยอร์กไทมส์

ดร.ยาค็อบ กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า เขาไม่คิดว่านโยบายทางการทูตและการทหารของจีนเข้าข้างกัมพูชา และมองว่า "เป็นการส่งอาวุธให้ตามปกติ" ในฐานะประเทศผู้ขายอาวุธ

อย่างไรก็ดี เพื่อสนับสนุนเหตุผลที่เขามองว่ารัฐบาลปักกิ่งพยายามสร้างสมดุล ดร.ยาค็อบ ระบุว่า ก่อนนี้หน้าสำนักข่าวในไทยจำนวนไม่น้อยรายงานถึงอาวุธอานุภาพสูงอย่าง ระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 ของจีน ซึ่งกัมพูชามีไว้ในครอบครอง แต่สุดท้ายมันกลับไม่ถูกนำมาใช้

"นี่คือจรวด PHL แบบที่กัมพูชาไม่ได้ใช้ เพราะเกรงว่าจะทำให้สงครามบานปลาย มีคนบอกผมว่าจีนเป็นฝ่ายร้องขอให้กัมพูชาไม่ใช้มัน" นักวิจัยจากสถาบันโลวี กล่าวกับบีบีซีไทย

เกี่ยวกับประเด็นที่ ดร.ยาค็อบ อ้างแหล่งข้อมูลว่าจีนร้องขอให้กัมพูชาละเว้นการใช้อาวุธบางประเภท บีบีซีไทยถามว่า จีนมีอำนาจมากเพียงพอในการสั่งให้กัมพูชาทำเช่นนั้นหรือ นักวิจัยจากสถาบันโลวี กล่าวว่า "ใช่"

วิเคราะห์สายสัมพันธ์จีน-กัมพูชา

แม้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนจากไทยและต่างประเทศจะมองว่าจีนไม่ได้มีวาระแอบแฝงในการช่วยเหลือหรือเกื้อกูลกัมพูชามากกว่า ทว่าประเด็นเรื่องอาวุธที่ถูกทิ้งไว้หลังการซ้อมรบ หรือที่ถูกนำเข้ามาเสริมกำลังในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ความขัดแย้งจะปะทุเต็มรูปแบบในเดือน ก.ค. ก็ทำให้ไม่อาจละทิ้งประเด็นสายสัมพันธ์ทางทหารของทั้งจีนและกัมพูชาออกไปได้

แม้แต่ ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ ก็ชี้ว่า เรื่องการทิ้งอาวุธไว้หลังซ้อมรบนั้น "ถามว่ารู้ไหมว่าจีนทิ้งไว้ ผมคิดว่าอันนี้เป็นที่รู้กันอยู่" ทว่าอีกประเด็นสำคัญที่เขาย้ำคือ "เจตนา" (intention) ว่าจีนคาดคะเนหรือรู้มาก่อนว่าจะมีข้อพิพาทหรือไม่

"ถ้าเราเปิดประเด็นว่าจีนรู้มาก่อนว่าจะมีข้อพิพาทก็เท่ากับเรามีคำตอบอีกแบบหนึ่ง คือรัฐบาลกัมพูชาได้ส่งสัญญาณไปที่จีนว่าอาจจะต้องขออาวุธไว้เพื่อใช้ ถ้ามีเหตุพิพาทกับไทย เพราะระยะเวลาซ้อมรบกับเหตุพิพาทที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ห่างกันมาก" ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว

หากเป็นเช่นนี้จริง คำถามคือเหตุใดจีนถึงยอมแลกได้ขนาดนี้

ฐิตา แสงหลี ผู้ร่วมวิจัย สังกัดโครงประเทศไทยศึกษา (Thailand Studies Programme) แห่งสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ประเทศสิงคโปร์ ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า แท้จริงแล้วเธอมีความเห็นสอดคล้องกับทั้ง ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ และ ดร.ยาค็อบ เรื่องที่จีนไม่ได้อยากเลือกระหว่างไทยกับกัมพูชา

แต่นักวิจัยผู้นี้ชี้ว่า "กัมพูชาสำคัญกับจีนมากกว่าไทย" โดยเธอเปรียบเทียบว่าสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างจีนกับกัมพูชา คล้าย ๆ กับสถานการณ์ในอดีตระหว่างญี่ปุ่นกับไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

"ตอนนั้นญี่ปุ่นบอกว่าฉันเป็นกลางนะ แต่ก็ส่งกระสุนมาให้ไทยเหมือนกัน" ฐิตา กล่าว โดยเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงปี 2483-2484 (ตรงกับ ค.ศ. 1940-41) ซึ่งตรงกับยุคของรัฐบาลนายกฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อันเป็นช่วงที่ไทยต้องการทวงคืนดินแดนที่ฝรั่งเศสเคยยึดไป

จอมพล ป. บนหน้าปกนิตยสารญี่ปุ่น ในวันครบรอบเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี 2484

เธออธิบายว่า สาเหตุที่ไทยสบโอกาสในช่วงนั้นเป็นเพราะฝรั่งเศสในตอนนั้นอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอเพราะกองทัพเยอรมันยึดกรุงปารีสของฝรั่งเศสได้ ส่วนในฝั่งเอเชีย ญี่ปุ่นกำลังพยายามขยายอิทธิพลของตัวเอง การที่ญี่ปุ่นช่วยไทยตอนนั้นจึงนับเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน

ส่วนสถานการณ์ชายแดนในปัจจุบัน ฐิตา อธิบายว่าสาเหตุที่ทำให้จีนอยากช่วยกัมพูชาหรือทำให้กัมพูชารู้สึก "พิเศษกว่าไทยนิดนึง" เป็นเพราะ "กัมพูชาคือหุ้นส่วน [partner] ที่ไว้ใจได้ในอาเซียน" เธอกล่าว

"ในบรรดาชาติอาเซียนทั้งหมดอะไม่มีประเทศไหนจะช่วยจีนได้เท่ากัมพูชาแล้ว" ฐิตาระบุกับบีบีซีไทย

ฐิตาชี้ว่าหลักฐานสนับสนุนความคิดเห็นของเธอเห็นได้จากกรณีช่วงที่มีข้อพิพาททะเลจีนใต้สองครั้ง ในปี 2555 และ 2559 กัมพูชาก็ออกมาคัดค้านไม่ให้กล่าวถึงจีนหรือใช้ถ้อยคำรุนแรงในแถลงการณ์ของอาเซียน เกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้

ในมุมมองของฐิตา สาเหตุที่กัมพูชาเป็นพันธมิตรที่เชื่อใจได้มากที่สุดของจีนก็เพราะว่าชาติอื่นไม่อยากเลือกข้างระหว่างมหาอำนาจชาติใดชาติหนึ่ง


"ประเทศอื่นไม่อยากเลือกไง ถูกไหม ต่างประเทศในอาเซียนไม่อยากเลือกระหว่างจีนกับอเมริกา ไทยนี่ตัวพ่อเลย ไทยคือไม่เอาเลย ไม่เลือกใครทั้งนั้น"

"ประเทศอื่นไม่อยากเลือกไง ถูกไหม ต่างประเทศในอาเซียนไม่อยากเลือกระหว่างจีนกับอเมริกา ไทยนี่ตัวพ่อเลย ไทยคือไม่เอาเลย ไม่เลือกใครทั้งนั้น"

ทั้งนี้ มีเหตุผลในเชิงโครงสร้างอยู่ว่าทำไมกัมพูชาถึงต้องเลือกจีน ฐิตา อธิบายว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่ผ่านสงครามมายาวนานซึ่งบั่นทอนโครงสร้างการเติบโตของประเทศ แต่ เมื่อต้องขนาบข้างด้วยประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างไทยและเวียดนาม กัมพูชาจึงมีความต้องการ "ตามให้ทันอย่างรวดเร็ว" เพราะกัมพูชาเป็นประเทศเล็ก ๆ จึงไม่ดึงดูดใจให้ชาติตะวันตกเข้ามาลงทุนมากนัก ผิดกับจีนที่มีผลประโยชน์ได้สะดวกกว่า บนข้อจำกัดเรื่องความเป็นประชาธิปไตยที่น้อยกว่า

เมื่อวิเคราะห์ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญกับการเติบโตของประเทศกัมพูชา บีบีซีไทยพบหลักฐานเชิงประจักษ์จำนวนมากที่สนับสนุนการยึดโยงของกัมพูชาที่มีต่อจีน

เชีย วุทธิ รองเลขาธิการสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา กล่าวว่า การลงทุนจากจีนคิดเป็นสัดส่วน 90.5% ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั้งหมดในกัมพูชาในปี 2022

นอกจากนี้ รายงานในปี 2568 จากสถาบันโลวี ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ยังชี้ว่า การเดินทางไปเยือนปักกิ่งของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในปี 2566 สามารถบรรลุข้อตกลงการลงทุนมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) อีกทั้งยังช่วยผลักดันการค้าระหว่างสองประเทศให้เพิ่มขึ้นแตะ 1.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.53 หมื่นล้านบาท) ภายในเดือน พ.ย. 2567

ในเชิงความสัมพันธ์ทางการเมืองนั้น ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ยังเดินทางมาเยือนกัมพูชาเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาด้วย

การทูตและการต่างประเทศไทย ต้องทบทวนตัวเองอย่างไร

ไม่ว่ากลยุทธ์การทูตของจีนจะเป็นอย่างไร นักวิชาการทั้งสองคนจากฝั่งไทยที่บีบีซีไทยได้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ต่างชี้ถึงประเด็นเรื่องการระหว่างประเทศที่ไทยสามารถปรับปรุงตัวเองได้

ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ สะท้อนว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญและเห็นได้จากความขัดแย้งครั้งนี้คือ ยิ่งสถานการณ์บานปลายออกไปเรื่อย ๆ ข้อพิพาทแบบทวิภาคี ยิ่งจะกลายเป็นเรื่องพหุภาคีมากขึ้น

"วันนี้ปัญหาข้อพิพาทไทยกัมพูชา ไม่ใช่ข้อพิพาทที่เป็นทวิภาคีแล้ว มันกลายเป็นข้อพิพาทที่มีปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้ามาแทรกซ้อน" ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว

ด้วยเหตุนี้ เขาเสริมว่า ยิ่งสถานการณ์ภายในประเทศของไทยผลักดันให้เกิดการยกเลิก บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือรู้จักกันในชื่อ MOU 43 และ บันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีปปี 2544 หรือ MOU 44 จะยิ่งเป็นการผลักดันให้กรอบเจรจาแบบทวิภาคีไม่มีพื้นที่อีกต่อไป

"เมื่อการเจรจาแบบทวิภาคีไม่มีกรอบเหลือ จะเป็นโอกาสที่กัมพูชาจะผลักดันข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนไทยกัมพูชาทั้งหมดไปสู่ภาวะที่เป็นพหุภาคีมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนอาจจะถูกผลักดันให้ไปจบที่ศาลโลก"

ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ ยังเสริมอีกว่าตลอดข้อพิพาทครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นนั้น การต่างประเทศของกัมพูชา "กระฉับกระเฉงกว่าไทยมาก" เขายกตัวอย่างกรณีที่ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา เสนอชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ

"การที่ทรัมป์ทำจดหมายขอบคุณคุณแล้วเซ็นชื่อด้วยตัวแรกที่เป็นชื่อเขา เป็นอะไรที่เราไม่เคยเห็น มันเป็นสัญญาณในความหมายว่าอเมริกันแฮปปี้มากกับสิ่งที่ ฮุน มาเนต เสนอ หรือสิ่งที่กัมพูชาแสดงท่าทีในเวทีโลก" ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ กล่าว

สำหรับประเด็นล่าสุดที่ดูเหมือนประชาชนไทยจะถูกใจกับท่าทีของ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ ที่ขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) ครั้งที่ 80 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ ศ.เกียรติคุณ ดร.สุรชาติ ชี้ว่า รัฐบาลใหม่ของไทยยังจำเป็นต้องแสดงบทบาททางการทูตบนเวทีระดับประเทศต่อ เพราะที่ผ่านมาบทบาทในเวทีการทูตไทยหายไปตั้งแต่รัฐประหาร ปี 2557 หรือสำนวนที่ในวงรัฐศาสตร์ใช้ก็คือ "ประเทศไทยไม่ได้อยู่บนจอเรดาร์โลก"

"ในครั้งนี้มันมีจังหวะเพราะมันมีการประชุมยูเอ็นพอดี แล้วเป็นวาระที่ไทยได้พูด การพูดอย่างนี้เท่ากับส่งสัญญาณกลับมาที่บ้าน ให้คนไทยได้เห็นว่า ภายในภาวะของการมีรัฐบาลใหม่ สามารถที่จะเดินหน้าในเวทีการทูตได้… แต่มันก็มีคำถามต่อว่า แล้วหลังจากนี้เราจะทำอะไร" นักวิชาการด้านความมั่นคงจากจุฬาฯ กล่าว


นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถ้อยแถลงของไทย เมื่อ 27 ก.ย. 2568 ในการอภิปรายทั่วไปของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 ณ GA Hall สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก

ความเห็นของฐิตาเกี่ยวกับประเด็นนี้ มองว่า ที่ผ่านมาไทยมักชูโรงนโยบายต่างประเทศหรือนโยบายทางการทูตแบบไม่เลือกข้าง ซึ่งแม้เคยทำให้ประเทศรอดพ้นจากวิกฤตในอดีตมาได้จริงก็ตาม แต่เธอชี้ว่านโยบายเช่นนี้กลับกำลังส่งผลที่แตกต่างออกไป โดยเห็นได้จากข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา

ฐิตากล่าวว่า ขณะที่กัมพูชาเลือกจีนอย่างชัดเจน และจีนเองก็อาจตอบแทนบางอย่างแบบไม่เป็นทางการ ไทยที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรกับจีน แต่ก็เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ กลับไม่ได้สิทธิพิเศษใด ๆ จากทั้งสองประเทศ

"มันเหมือนกับว่าเราถูกเพื่อนรุม รู้สึกเป็นอย่างงั้น เหมือนไทยค่อนข้างโดดเดี่ยว อาจจะเป็นผลจากการที่เราไม่อยากเลือกข้าง ซึ่งการไม่อยากเลือกข้าง มันโอเคนะ ถ้าเราไม่ได้มีปัญหากับเพื่อนบ้าน แต่พอเรามีปัญหาที่อาจจะต้องให้คนอื่นมาสนับสนุน กัมพูชาเขาเหนียวแน่นกับจีนมาก แต่เราก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ขนาดนั้น" ฐิตากล่าว

ผู้ร่วมวิจัยจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค บอกด้วยว่าสถานการณ์นี้ของไทยคล้ายคลึงกับอินเดีย ที่ดำเนินนโยบายแบบไม่เข้าข้างใครชัดเจน เมื่อเกิดปัญหากับปากีสถานจึงไม่มีใครเข้ามาช่วย อย่างไรก็ดี ความแตกต่างของไทยกับอินเดีย คือ "เขาเป็นมหาอำนาจ สามารถจัดการเรื่องของตัวเองได้"

เธอแนะนำว่าสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาครั้งนี้ อาจทำให้ไทยต้องกลับมาพิจารณานโยบายต่างประเทศแบบไม่เลือกข้างใหม่ โดยเธอเสนอว่าไม่จำเป็นต้องเลือกประเทศเดียวไปเลย แต่ให้มองที่แต่ละประเด็นแล้วชั่งน้ำหนักให้ชัดเจน

"บางทีคนอื่นอาจจะมองว่าเราไม่เป็นกลาง ก็มองไปสิ มันไม่ต้องเป็นกลางทุกเรื่องก็ได้ เพราะบางทีเวลาเราเป็นกลาง แทนที่เรื่องนี้เราจะได้ผลประโยชน์จากเขา มันก็ไม่ได้" เธอทิ้งท้าย

https://www.bbc.com/thai/articles/cn95491z83no