วันเสาร์, เมษายน 27, 2562

รู้หรือไม่ครั้งหนึ่งการฟังเพลงชาติฝรั่งเศส กินแซนด์วิช และอ่านหนังสือ 1984 ของ จอร์จ ออร์เวลในที่สาธารณะ ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง





รู้หรือไม่ครั้งหนึ่งการฟังเพลงชาติฝรั่งเศส กินแซนด์วิช และอ่านหนังสือ 1984 ของ จอร์จ ออร์เวลในที่สาธารณะ ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง

ย้อนดูการจับกุมหนุ่มร่างใหญ่ที่อ่านหนังสือ 1984 กินแซนด์วิช และฟังเพลงชาติฝรั่งเศสบริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้ากลางกรุงจนถูกฝ่ายความมั่นคงจับกุมตัว

"แชมป์นักกิจกรรมทางสังคมซึ่งกำลังศึกษาระดับปริญญาโทอยู่ในขณะเกิดเหตุเล่าว่าตัวเขาไปกินแซนด์วิชบริเวณลานน้ำพุ สยามพารากอนในเวลาประมาณ 16.30 ตามที่มีการประกาศเชิญชวนกันในเฟซบุ๊กแต่เมื่อเขามาถึงกลุ่มนักกิจกรรมที่เป็นคนนัดหมายทำกิจกรรมได้แก่ ลูกเกดและเพื่อนๆรวมเก้าคนก็อยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่หมดแล้วขณะที่บริเวณนั้นก็มีเพียงเจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าวจึงไม่มีใครแสดงตัวว่ามาทำกิจกรรม แชมป์จึงหยิบหนังสือ 1984 ขึ้นมาอ่านและกินแซนด์วิชเพียงลำพัง ซึ่งนั่นทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของทั้งผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจในทันที

แชมป์เล่าต่อว่าหลังเขากินแซนด์วิชไปชิ้นหนึ่งเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดเพลงชาติฝรั่งเศสที่โหลดไว้ในเครื่องก่อนหน้านี้แล้วโดยเหตุที่เลือกใช้เพลงชาติฝรั่งเศสเป็นเพราะเคยมีข่าวว่าการชูสามนิ้วถูกประกาศให้เป็นกิจกรรมต้องห้าม เขาจึงใช้วิธีเปิดเพลงชาติฝรั่งเศสซึ่งเชื่อมโยงถึงอุดมการณ์แห่งการปฏิวัติฝรั่งเศสอันได้แก่ "เสรีภาพ ความเสมอภาค และภารดรภาพ" ซึ่งถูกผูกโยงกับสัญลักษณ์สามนิ้วแทน เขาทำกิจกรรมไปจนเมื่อฝนทำท่าจะตกจึงเตรียมจะเดินออกแต่สุดท้ายก็ถูกชายแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทมะรุมมะตุ้มทำการจับกุมจนเป็นที่มาของภาพขณะที่เขาถูกลากไปบนพื้นบนหน้าสื่อ

ตามบทสัมภาษณ์ที่แชมป์เคยให้ไว้กับสำนักข่าวประชาไท แชมป์ระบุว่าเมื่อเขาถูกพาไปควบคุมตัวที่เดียวกับกลุ่มนักศึกษาผู้จัดงานที่ถูกพาตัวไปก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ทหารนำข้าวผัดกะเพรามาให้เขากินระหว่างรอ แต่แชมป์ปฏิเสธและกินแซนด์วิชของตัวเองที่เหลือแทน เมื่อสอบถามเพิ่มเติมว่าการปฏิเสธข้าวผัดกะเพราและกินแซนด์วิชแทนเป็นเพราะแชมป์ต้องการแสดงออกอะไรบางอย่างใช่หรือไม่แชมป์ตอบว่า ตอนนั้นเขาไม่ได้ต้องการจะแสดงจุดยืนอะไรแล้วแต่ที่เลือกกินแซนด์วิชต่อเป็นเพราะเขาไม่ต้องการ "ติดหนี้บุญคุณ" อะไรกับทหาร แชมป์เล่าต่อว่า เมื่อเขาถูกควบคุมตัวจากห้างลงมาที่ลับตาคนแล้วก็มีการทำร้ายร่างกายทั้งถูกชกและถูกศอกซึ่งเขาชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความบังเอญแต่เป็นความจงใจ แชมป์กล่าวต่อไปว่าแม้เจ้าหน้าที่ทหารที่นำข้าวมาให้กับชายในชุดไปรเวทที่ทำร้ายร่างกายเขาจะเป็นคนละคนกัน แต่แชมป์ก็ไม่ต้องการที่จะกินข้าวจากเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเมื่อเขาถูกจับกุมตัวอีกครั้งในการทำกิจกรรมนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์เขาก็ปฏิเสธอาหารที่เจ้าหน้าที่นำมาให้เช่นเดียวกัน"

อ่านเรื่องราวต้นฉบับ ที่นี่ https://freedom.ilaw.or.th/NCPO4anniversarysymbolic


พิพิธภัณฑ์สามัญชน Museum of the Commonners


ขอคารวะ ความกล้าหาญที่กล้าพูดของคุณพ่อจอน วิญญู "ผมตาสว่างขึ้นมา ก้อเพราะลูก ๆ"




https://www.facebook.com/matichonweekly/videos/2194168350659054/


คำถามที่อาจทำให้กกต. ใบ้รับประทาน






Japan emperor: Why a woman can't take the throne. The abdication of Emperor Akihito has reignited debate on Japan's male-only succession rule



Japan emperor: Why a woman can't take the throne


The abdication of Emperor Akihito has reignited debate on Japan's male-only succession rule.

The BBC's Mariko Oi explains how the future of Japan's imperial family, one of the oldest in the world, may be in doubt if the rule isn't changed.

Video by Tessa Wong and Pamela Parker.

26 Apr 2019
Source: BBC


Japan's Emperor Akihito is about to become the first emperor in modern history to abdicate


ถ้ามีการจัดอันดับ “รัฐบาลจอมแจก” ต้องยกให้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองอันดับ 1 ของโลก - แจกอีก 2 หมื่นล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ



แจกอีก 2 หมื่นล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ





โดย ลม เปลี่ยนทิศ
ไทยรัฐออนไลน์
26 เม.ย. 2562


ถ้ามีการจัดอันดับ “รัฐบาลจอมแจก” ผมยกให้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองอันดับ 1 ของโลกไปเลย หนึ่งปีเศษที่ผ่านมานับตั้งแต่รัฐบาลจัดตั้ง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือที่เรียกกันว่า “บัตรคนจน” โดยมี คนยากจนลงทะเบียนรับบัตรไปทั้งสิ้น 14.5 ล้านคน และ รัฐบาลแจกเงินคนจน 14.5 ล้านคนไปแล้วกว่า 120,000 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่หายจน ยังไม่นับ การแจกเงินข้าราชการบำนาญ 24,700 ล้านบาท แจกเงินชาวสวนยางสวนปาล์มอีก 18,000 ล้านบาท

ล่าสุด รัฐบาลกำลังจะแจกเงินอีก 22,000 ล้านบาทให้ประชาชน 14 ล้านคน เพื่อนำไปใช้จ่ายและท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ

เห็นการแจกเงินมือเติบอย่างนี้ เลยไม่แปลกใจ ทำไมกระทรวงการคลัง จึงต้องไปไล่ต้อนเงินฝากออมทรัพย์ 80 กว่าล้านบัญชีในธนาคาร ให้ธนาคารรายงานแจ้งกรมสรรพากร เพื่อนำรายได้ดอกเบี้ยเงินฝากทุกบัญชีไปคิดจัดเก็บภาษี ถ้าพบว่าใครได้รับดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาทต่อปีที่ได้รับการยกเว้น จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ ก็ไม่รู้จะเก็บภาษีได้เพิ่มอีกเท่าไหร่ แต่ถ้าเอาดอกเบี้ยปีละ 20,000 บาทไปคิดเป็นรายเดือน ก็ตกเดือนละ 1,666.66 บาท เท่านั้นเอง น้อยกว่าเงินที่รัฐบาลแจกให้คนจนที่ถือบัตรคนจน 14.5 ล้านบาทเสียอีก

เลยไม่รู้ว่า กระทรวงการคลัง กำลังคิดทำอะไรอยู่

ทีนี้ไปดู มาตรการแจกเงินก้อนใหญ่อีก 22,000 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ กระทรวงการคลัง จะนำเข้า ครม.ขออนุมัติในวันอังคารที่ 30 เมษายนนี้ เงินก้อนนี้จะแจกให้คนสองกลุ่ม กลุ่มแรก เป็นประชาชนที่ถือ “บัตรคนจน” หรือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จะได้รับแจกเงินเพิ่มในวงเงิน 7,000 ล้านบาท กลุ่มที่สอง เป็นเงินที่ แจกให้ประชาชนทั่วไปเพื่อให้เอาไปใช้จ่ายท่องเที่ยววงเงิน 15,000 ล้านบาท

กลุ่มแรกที่ถือ “บัตรคนจน” ยังแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อย ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ผู้ปกครองที่มีบุตรกำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมลงมา 4 ล้านคน จะได้รับเงินช่วยเหลือฟรี คนละ 500 บาทต่อบุตร 1 คน สูงสุดไม่เกิน 3คน ถ้ามีบุตร 3 คนจะได้รับเงินช่วยเหลือ 1,500 บาท เพื่อนำไปซื้อชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน หนังสือเรียน ชุดกีฬา

กลุ่มที่ 2 เกษตรกรที่ถือบัตรคนจน ที่ขึ้นทะเบียนกับ กระทรวงเกษตรฯ จะได้รับแจกเงิน คนละ 1,000 บาทครั้งเดียว เพื่อนำเงินไปซื้อปุ๋ยไว้ใช้ในการเกษตร

กลุ่มที่ 3 คนพิการที่ขึ้นทะเบียนบัตรคนจนกว่า 100,000 คน จะได้รับ เงินพิเศษเพิ่มอีกเดือนละ 200-300 บาท ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม-กันยายน 2562 จากเดิมที่ รัฐจ่ายให้เดือนละ 600-800 บาท ผ่านบัตรคนจน เท่ากับได้รับเดือนละ 800-1,100 บาท

กลุ่มที่สอง เป็นประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 18 ขึ้นไป ที่ไม่ได้ถือบัตรคนจน รัฐจะแจกเงินให้ฟรีคนละ 1,500 บาท ไม่เกิน 10 ล้านคน ลงทะเบียน ก่อนได้ก่อน ในวงเงิน 15,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายช่วยกระตุ้น การท่องเที่ยวในประเทศ 2 โครงการ

โครงการแรก “ยิ่งเที่ยว ยิ่งเท่ ช่วยเปย์ เมืองรอง” ผู้ที่ขอรับเงินแจกจากรัฐบาลไปเที่ยวฟรี จะต้องลงทะเบียนออนไลน์ พร้อมระบุจังหวัดเมืองรองที่จะไปเที่ยว จะเที่ยวในจังหวัดที่ตัวเองอยู่อาศัยไม่ได้ เมื่อไปถึงที่เที่ยวแล้ว ต้องนำ บัตรเดบิต ไป เปิดสิทธิบัตร หรือ Activate กับ เมืองรองทั้ง 55 จังหวัดที่ได้ลงทะเบียนในระบบออนไลน์เพื่อยืนยันตัวตน โดยแตะบัตรกับเครื่องรูดบัตรในร้านธงฟ้าของรัฐบาล

โครงการที่สอง ขยายโครงการเดิมที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนธันวาคม โดยผู้ไปท่องเที่ยว “เมืองหลัก” และ “เมืองรอง” ทั่วประเทศ สามารถนำค่าใช้จ่ายที่พักและค่าเดินทางตามจริงไปหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกินคนละ 15,000 บาท

มาตรการ แจกเงินฟรี 22,000 ล้านบาทในครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจในประเทศ คนไทยมีความสุข ที่สุดในโลกจริงหรือ ทำไมรัฐบาลต้องทุ่มเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากมายขนาดนี้ ไหนรัฐบาลบอกว่า เศรษฐกิจยังดี จีดีพีปีนี้ยังเติบโต 3.8% น้อยกว่าปีที่แล้วนิดเดียวเอง???

“ลม เปลี่ยนทิศ”

ooo



เยาวชนญี่ปุ่นคาดหวังรัชสมัยเรวะนำสันติสุข ความสดใสสู่ญี่ปุ่น - บีบีซี ไทย มีบทความหลายชิ้น น่าอ่าน





พระจักรพรรดิญี่ปุ่น : ทำไมการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยครั้งนี้จึงมีความสำคัญ?- BBC News ไทย










ด้วยความนบนอบ ฯพณฯ หัวเจ้าทั่น 'ประธานศาลฎีกา'


พวกตลาการของบ้านเมืองนี้เขามีวิธีคิดชนิดวิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไปนะ เหมือนดั่งว่าสังคมไทยมีหลักการใช้เหตุผลเป็น ๒ ฐานปัญญา ด้านหนึ่งใช้สามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ ส่วนอีกด้านเป็น อภิตรรกะใช้กันในหมู่ชนชั้นเทพ หรือระดับ อมนุษย์

ประธานศาลฎีกาน่าจะจัดอยู่ในประเภทบุคคลขั้นเทพ เมื่อเขาพูดอบรม “ผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ ๒๓ ในงานสัมมนาตอนหนึ่ง” แล้วกลายเป็นข่าวสำคัญ สื่อบางแห่งนำเสนอดั่งมุ่งหวังสอนสั่งสาธารณะ


เรื่องที่ว่า ศาล“ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ให้ความเป็นธรรม” และว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์จะเป็น ผู้แพ้คดี ทั้งนั้น กระทั่ง “แม้แต่คนๆ เดียวกันเวลามาใช้บริการชนะคดีก็ดีไป หากแพ้คดีก็จะพูดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม”

ทั่นประธานฯ ยังบอกว่า “ศาลโต้ตอบการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ต้องอดทน” เพราะอะไร เพราะว่า “ความเป็นผู้ใหญ่วัดกันที่ความอดทนเป็นสำคัญ จึงอยากให้แต่ละฝ่ายเข้าใจบทบาทหน้าที่ของกันและกัน”

นั่นสิ แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องที่ทั่นประธานฯ ก้าวเลยไปถึง กฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดการปกครองประเทศลองมาฟังความรู้สึกของ คนระดับที่เป็นสามัญกันก่อนสักนิด ในฐานที่คนเหล่านี้ พวกเขาเข้าใจนะว่า “ศาลไม่มีทางทำให้ชนะคดีทั้งสองฝ่าย” ได้

แต่ว่าการวินิจฉัยตัดสินอะไรต่ออะไร ตามวิธีคิดของสามัญชนต้องดูที่ ๑.ข้อเท็จจริง (อันนี้ระบบศาลไทยยกย่อง) ๒. หลักการ หรือตัวบทกฎหมาย และ ๓. การนำหลักการมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่เรียกกันว่า ตรรกะ นั่นละ

ในสังคมประชาธิปไตย ทั่วโลกซึ่งทั่นตุลาการใหญ่บอกว่า “แม้ประเทศซึ่งอ้างว่าศิวิไลซ์ ประเทศเจริญแล้ว หากไม่พอใจรัฐก็ออกมาก่อความวุ่นวายมากมาย” นั่นคือเขาค้าน ไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับการตัดสินของคนๆ หนึ่ง หรือกลุ่มหนึ่ง เพราะอะไร

มีความเป็นไปได้ว่าเพราะ ๑.ข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน หรือเป็นเพียงข้อกล่าวหาของฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว ๒.หลักการไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนทั้งมวล (ชนใดเขียนกฎหมายก็เพื่อผลประโยชน์ของชนกลุ่มนั้น) หรือได้มาด้วยการข่มเขาโคเอา

รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ที่ทั่นประธานฯ อ้าง ถึงจะผ่านประชามติ แต่ก็เป็นประชามติที่ห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็นค้าน หรือแม้แต่วิจารณ์ บอกให้รับๆ ไป จะได้มีเลือกตั้ง เช่นเดียวกับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่างๆ ที่ล้วนทำให้กระบวนการเมืองเป็นดังแป้งพอกขาวให้คณะทหารได้ครองอำนาจต่อไปได้สะสวย

ข้อ ๓. การใช้ตรรกะตัดสินแล้วมี “คนไทยส่วนหนึ่งไม่ยอมรับ” โดยเฉพาะในยุค คสช.ครองเมืองนี่ ที่ว่า ส่วนหนึ่ง มักเป็น ส่วนมาก ทั่นประธานฯ พูดเหมือนว่าคนที่ค้าน ไม่ยอมรับ เป็นพวกไม่รู้ถูกผิด หรือเอาแต่ประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง

ไฉนไม่คิดย้อนดูตัวบ้างว่า ถ้ามีคนท้วง คนค้าน น่าจะเกิดการผิดพลาดในส่วนของตนเองบ้างไหม วิญญูชนสากลในประเทศ ศิวิไลซ์เขาทำกันอย่างนั้น ไม่ใช่ตุลาการเป็น ผู้ใหญ่ ของประเทศ ประชาชนทั่วไปถ้าค้าน แสดงว่า ไร้เดียงสา

ที่ชี้แจงมาหาใช่จะมุ่งหมายหักหาญกับผู้ใหญ่ของประเทศ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ประชาชนธรรมดาต้องใช้ความอดทน อดกลั้น มากกว่าประธานศาลฎีกาด้วยซ้ำไป ทั่นมีความอดทนแต่ทั่นก็บ่นออกสื่อยิ่งยงขนาด คมชัดลึก ได้

ความตั้งใจก็คือ อยากทำตามที่ทั่นแนะ “หากเราไม่เห็นด้วยกับกติกาก็ต้องแก้กติกาก่อน” กติกาที่ต้องการแก้ก็คือรัฐธรรมนูญที่ทั่นยกย่องนักหนาฉบับนี้นี่แหละ เพียงแต่ว่าการจะไปถึงจุดที่ขอแก้ได้ มันมีกฎหมายลูกๆ หลานๆ เขย สะใภ้ รายล้อมเป็นด่านกั้นอยู่เยอะ

กรรมการการเลือกตั้งเอย ศาลรัฐธรรมนูญเอย ไหนจะผู้ตรวจการแผ่นดิน ศาลปกครองสูงสุด สูงกลาง และสูงต่ำ เยอะแนะ หวั่นแต่ว่าศาลฎีกาของทั่น จะกลายเป็นขวากหนามช่วย สอย คนที่ขอแก้ด้วยเท่านั้น

ด้วยความนบนอบ ฯพณฯ หัวเจ้าทั่น

วันศุกร์, เมษายน 26, 2562

อุทธาหรณ์คดีธนาธร ถ้าทำได้ครบถ้วนกระบวน ‘นิติมาร’ ต่อไปแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่รอด

ช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับคดีความของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกจะดังโด่ง จนทำให้ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอื่นเหนื่อยร้าระอา (หรือแม้แต่แอบหมั่นไส้ ดังที่มีคนไปรอต้อนรับเขาเดินทางกลับจากยุโรปเนืองแน่นสนามบิน) แต่ก็ไม่อาจวางเฉยเสียได้

เพราะสิ่งที่ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่กำลังถูกรุกล้ำคุกคามจะเกิดกับพรรคอื่นได้ไม่ยาก ประดุจดังนี่เป็นกรณีทดลอง หากงานนี้สำเร็จ ต่อไปแม้แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่รอด บัดนี้จึงเป็นเวลาสำคัญที่จะต้องตัดสินเข้าร่วมต่อสู้ หรือ อยู่เป็น

รูปการณ์ขณะนี้ดูทีเหมือนว่าธนาธรจะไม่รอด ใบส้มเป็นอย่างน้อย นั่นก็คือพรรคอนาคตใหม่จะไม่มีหัวหน้าพรรค และธนาธรไม่ได้เป็น ส.ส. เป็นเวลา ๑ ปี นอกเหนือจากนั้นจะมีการดำเนินคดีอื่นกับเขาเพื่อให้หมดสิทธิยุ่งเกี่ยวการเมืองอีก ๒๐ ปี

เฉพาะคดีหุ้นสื่อที่แม้ข้อต่อสู้จากผู้ถูกกล่าวหาจะยืนยันอย่างไรว่าขายหุ้นออกไปก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง ตลอดเวลาไม่ถึงเดือนที่เรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมาจากการ ชง ของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.ใหญ่ สำนักข่าวอิศรากัดติดด้วยบทความแจงผิด

แจ้งโทษธนาธรไม่เว้นแต่ละวัน เฉลี่ยวันละ ๑.๗๖ บทความ ดังเช่นบทที่ว่าถ้าธนาธรถูกตัดสินว่าผิด จะต้องถูกจำคุก ๑-๑๐ ปี และตัดสิทธิทางการเมืองถึง ๒๐ ปี

ซ้ำมีข่าวล่าออกมาจากใน กกต. อีกว่า ธนาธรอาจโดนคดีที่สอง ฐาน “ลงนามเอกสารรับรองส่งผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ที่ขาดคุณสมบัติในการสมัครรับเลือกตั้ง” ด้วย จากกรณีนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.เขต ๒ จ.สกลนคร ของพรรค “ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งถอนชื่อออกจากประกาศรายชื่อผู้สมัคร”

จึงไปเข้าข่ายความผิดตามมาตรา ๔๒ วรรค ๒ ของ พรป.พรรคการเมือง ถือเป็นความผิดของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค “จะต้องมีกระบวนการเอาผิดทางอาญากับหัวหน้าพรรค” ด้วยโทษฐานให้ความช่วยเหลือ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๔ และมาตรา ๘๖


หรือเลยเถิดไปกระทั่งมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ตามข้อเสนอแนะของเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตประธานกรรมาธิการด้านการเมืองของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (หนึ่งในมือตีนของ คสช. ในการบีบบังคับประชาชนด้วยข้อกฎหมาย)
 
นายเสรีฉวยจังหวะกระโจนเข้ามาในวงดีเบทด้วยอีกคนเมื่อ ๒๕ เมษายน ด้วยบทความจงใจชี้ช่องทางเอาผิดต่อธนาธรให้หนักกว่าที่เห็นๆ กัน ว่า “ที่มาออกตัวกันว่าการขาดคุณลักษณะต้องห้ามสมัคร สส. ไม่ใช่เป็นเรื่องทุจริตเลือกตั้ง นั้นไม่จริง”

เขายกเอาเนื้อถ้อยในบทบัญญัติมาตรา ๕๔ วรรคสอง ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.มาประกบเข้ากับมาตรา ๑๓๒ ว่า ความผิดฐานขาดคุณสมบัติเข้ารับเลือกตั้ง (เช่นถือหุ้นสื่อ ในกรณีของธนาธร) ถือเป็น “การปกปิดหรือไม่แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องคุณลักษณะต้องห้าม”

ทำให้ กกต.สามารถสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งบุคคลนั้นไว้ ๑ ปี ได้ (ใบส้ม) ตามมาตรา ๑๓๒ วรรคแรก แล้วยังต้องโดนอีกหนึ่งเด้งด้วยมาตรา ๕๔ ที่ว่า “ให้ถือว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม”

เด้งสองนี่อยู่ในมาตรา ๑๓๒ วรรคสาม “ให้ กกต.เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคนั้นได้ด้วย” ตามด้วยวรรค ๕ “และยังอาจถูกดำเนินคดีอาญา” แถมมาตรา ๑๓๘ อีกหน่อยว่า “กกต.ยังมีอำนาจหน้าที่ในการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น”


คือถ้าทำได้ครบถ้วนกระบวน นิติมารก็สามารถตัดกำลังฝ่ายประชาธิปไตย (หรือพวกสัตยาบัน ๗ พรรค) ได้อีก ๘๐ เสียงในสภา จาก ๒๔๘ เหลือ ๑๖๘ ทีนี้พรรคพลังประชารัฐและเพื่อนพ้องลิ่วล้อ คสช. นอกจากจะได้ เฮียตู๊บของพวกเขาเป็นนายกฯ แล้วยังปกครองต่อไปได้สะดวกโยธิน

เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์กันดีแค่ไหน "ชาตินิยม กับ สังคมไทย" มติชนสุดสัปดาห์ คุยกับ ผศ.ดร.อรอนงค์ ทิพย์พิมล




https://www.facebook.com/matichonweekly/videos/2422909001080853/


จริงหรือที่ไทยมีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลก



GETTY IMAGES


จริงหรือที่ไทยมีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลก


23 เมษายน 2019
บีบีซีไทย


แม้สำนักข่าวบลูมเบิร์กจะจัดอันดับดัชนีความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ว่าอยู่ในอันดับประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อยที่สุดในโลก แต่คำอธิบายในการจัดอันดับดังกล่าวชี้ว่าเป็นเพราะการจัดทำตัวเลขอัตราว่างงานของไทยนั้นแตกต่างจากประเทศอื่น ดังนั้นจึงมีความสำคัญไม่มากเท่าพัฒนาการของสวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์ ที่อยู่ในอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ

ข้อความดังกล่าวอยู่ในรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ผ่านมา อธิบายว่า "Thailand again claimed the title of the "least miserable" economy, though the government's unique way of tallying unemployment makes it less noteworthy than Switzerland's improvement to second-least and Singapore managing to stay in the bottom three."

คำอธิบายนี้เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความเห็นของนายปุญญวิชญ์ เศรษฐ์สมบูรณ์ จากฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่่บอกกับบีบีซีไทย

เขาเคยตั้งคำถามถึง "นิยามของอัตราว่างงานของไทย" ในบทความที่เคยตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาว่า มีนัยสำคัญแฝงเร้นอยู่มากจนอาจจะไม่สามารถบอกได้ว่าคนไทยมีความทุกข์เรื่องงานน้อยมากนั่นเอง

โฮปเวลล์ : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับโครงการที่รัฐต้องจ่าย "ค่าโง่" 1.2 หมื่นล้าน
มองสัมพันธ์ ทักษิณ-บิ๊กจ๊อด ผ่านรายงานการตรวจสอบทรัพย์สิน 3.9 พันล้านบาท
คอร์รัปชั่น : อันดับความโปร่งใสไทยปี 2018 ตกจาก 96 เป็น 99

ประยุทธ์ ปลื้มไทยรั้งอันดับ 1 ต่อเนื่อง

แม้อันดับความทุกข์ยากน้อยของไทยจะได้มาโดยที่ผู้จัดทำเห็นว่าไม่สำคัญเท่าพัฒนาการของประเทศอื่น แต่นั่นก็ยังทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพึงพอใจ และเมื่อวันที่ 19 เม.ย. ที่ผ่านมา พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชนว่า

"ไทยมีค่าคะแนนความทุกข์ยากที่ระดับ 2.1 ต่ำสุดเป็นอันดับ 1 ในปี 2018 ขณะที่ผลสำรวจคาดการณ์ดัชนีปี 2019 ของบลูมเบิร์ก พบว่า ไทยยังคงรั้งอันดับ 1 ด้วยคะแนน 2.1 เช่นเดิม"

ดัชนีความทุกข์ยาก (Misery Index) มาจากไหน
บลูมเบิร์กอธิบายถึงการจัดทำดัชนีดังกล่าวว่าเป็นการคำนวณโดยอาศัยกรอบแนวคิดเดิมที่ว่าอัตราเงินเฟ้อและการว่างงานที่ต่ำ โดยทั่วไปแล้วจะสะท้อนความรู้สึกของชาวบ้านที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจนั้น ๆ

บลูมเบิร์กแจ้งด้วยว่าคะแนนที่คำนวณได้ในปีนี้ได้จากการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของบลูมเบิร์กเอง ขณะที่ช่วงหลายปีก่อนหน้านี้จะอาศัยข้อมูลจริงในการคำนวณ และแน่นอนว่าในบางครั้งคะแนนดัชนีชี้วัดที่ต่ำอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ อาจเป็นสัญญาณของความต้องการทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และอัตราว่างงานที่ต่ำเกินไปนั้นเป็นผลจากการที่แรงงานไม่กล้าหางานใหม่ เป็นต้น





อัตราว่างงานต่ำเกี่ยวอะไรกับความสุขของคนไทย

"ตัวเลขดัชนีดังกล่าวอย่างเดียว ไม่สามารถอธิบายถึงความสุขหรือทุกข์จริงของแรงงานไทยได้ " นายปุญญวิชญ์ จากฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกกับบีบีซีไทย เขาบอกว่ายังมีปัจจัยและนัยสำคัญอื่น ๆ ที่ยังคงแฝงอยู่ในตัวเลขอัตราการว่างงานที่ต่ำของไทย ซึ่งอยู่ที่ราว 1.1%

ก่อนหน้านี้นายปุญญวิชย์ เคยเขียนบทความตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับ นางธิรดา ชัยเดชอัครกุล จากกลุ่มสถิติแรงงาน สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเรื่องนี้ โดยทั้งสองตั้งข้อสังเกตว่า อัตราว่างงานที่ต่ำของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ นั้น เป็นเพียงภาพลวงตา หรือมีความหมายใดแฝงอยู่หรือไม่ และเพราะเหตุใดจึงมีเสียงบ่นจากคนจำนวนไม่น้อยว่ามีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ


GETTY IMAGES
คำบรรยายภาพแรงงานบางส่วนอาจไม่มีทางเลือกและต้องทนทำงานที่ไม่มั่นคง


นายปัญญวิทย์ บอกกับบีบีซีไทยด้วยว่า จากการศึกษาคำนิยามของอัตราการว่างงานไทยพบว่า แท้ที่จริงแล้วนิยามที่ทางการไทยนำมาใช้ เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) ที่กำหนดไว้ว่า "ผู้ว่างงาน คือ ผู้ที่ไม่มีงานทำหรือหากมีงานทำก็ทำไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อสัปดาห์"เพียงแต่ของไทยมีนัยสำคัญอื่นแฝงเร้นอยู่

อัตราการว่างงานต่ำ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ดี เศรษฐกรประจำ ธปท. บอกว่า หากพิจารณาในด้านโครงสร้างแล้ว แม้ว่าอัตราการว่างงานไทยจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ ในตลาดแรงงาน เนื่องจากว่าไทยยังคงเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างน้อย 3 ประการคือ
  1. แรงงานบางส่วนอาจไม่มีทางเลือกและต้องทนทำงานทั้ง ๆ ที่ไม่มั่นคง เช่น แรงงานในภาคเกษตรซึ่งมีจำนวนมากว่า 10 ล้านคน หรือ เกือบ 1 ใน 3 ของผู้มีงานทำทั้งหมด ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม จึงไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการสำคัญ อาทิ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สวัสดิการจากเงินทดแทนกรณีว่างงาน นอกจากนี้ลักษณะงานของภาคเกษตรเองไม่เอื้อต่อการทำงานในแต่ละวันได้เต็มที่ เห็นได้จากเวลาเฉลี่ยในการทำงานประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน ต่ำกว่านอกภาคเกษตรที่เฉลี่ยเกือบ 7 ชั่วโมงต่อวัน
  2. ไม่พร้อมหางานไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการทำงาน อัตราการว่างงานที่ต่ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากกำลังแรงงานบางส่วนเกษียณก่อนอายุกำหนด ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และบางส่วนของคนกลุ่มนี้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะหางานหลังพยายามหางานมาแล้วระยะหนึ่ง หรือเรียกว่าถูกบั่นทอนกำลังใจในการหางาน ซึ่งคนกลุ่มนี้จะไม่ถูกนับทั้งว่าเป็นกำลังแรงงานและผู้ว่างงาน ทำให้อัตราการว่างงานต่ำกว่ากรณีที่นับรวมเข้าในกำลังแรงงานและเป็นผู้ว่างงาน ในปัจจุบันแบบสำรวจของไทยไม่สามารถระบุจำนวนคนกลุ่มนี้ ต่างจากแบบสำรวจของประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ
  3. มีงานทำไม่ได้สะท้อนว่าทำงานตรงความสามารถ


tGETTY IMAGES
คำบรรยายภาพแรงงานในภาคเกษตรซึ่งมีจำนวนมากว่า 10 ล้านคน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างและไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม


ต้องมีตัวชี้วัดเพิ่มเติมมาประกอบ

เมื่อพิจารณาแล้วว่า "อัตราการว่างงาน" อย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีตัวชี้วัดอย่างอื่นเข้ามามีส่วนในการพิจารณาหรือไม่ นายปุญญวิทย์ กล่าวว่า ควรที่จะให้มีการวิเคราะห์และติดตามพัฒนาการตลาดแรงงานเพิ่มเติมใน 3 ด้าน คือ ความเชื่อมั่นของตลาดแรงงาน เช่น แนวโน้มการจ้างงานของภาคธุรกิจ พฤติกรรมของนายจ้างว่าต้องการแรงงานมากน้อยเพียงใด และศักยภาพที่แท้จริงของแรงงาน

นอกจากนี้ เขายังบอกอีกว่า การปรับปรุงชุดคำถามของแบบสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เพื่อพัฒนาข้อมูลให้ถูกต้อง ครบถ้วน เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน รวมทั้งการศึกษาเชิงลึกในด้านโครงสร้างตลาดแรงงาน ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเช่นกัน

แบงก์ชาติ-ธนาคารโลก เห็นตรงปรับลด GDP ไทยปี 62 เหลือ 3.8% เหตุตั้งรัฐบาลล่าช้า





แบงก์ชาติ-ธนาคารโลก เห็นตรงปรับลด GDP ไทยปี 62 เหลือ 3.8% เหตุตั้งรัฐบาลล่าช้า


25 เมษายน 2562
เรื่องเล่าเช้านี้

ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติ และธนาคารโลก แถลงลดเป้าเติบโตเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้เหลือ 3.8% จากเดิมที่คาดไว้อยู่ที่ 3.9% โดยสาเหตุมาจากจากการตั้งรัฐบาลล่าช้า กระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นนักลงทุน

พร้อมจับตาส่งออกไทยทั้งปี 62 อาจขยายตัวไม่ถึง 3% โดยเริ่ชะลอตัวตั้งอต่ครึ่งปี 61 จากปัจจัยของสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในจากการเมืองของไทยเองด้วย
..



3 จุดตายของ กกต. เสี่ยงคุก เสี่ยงโมฆะ





3 จุดตายของ กกต. เสี่ยงคุก เสี่ยงโมฆะ

#EndElection #ระวังเลือกตั้งเป็นโมฆะ


ที่มา FB

ธนวัฒน์ วงค์ไชย - Tanawat Wongchai


บอลได้รวบรวม 3 จุดตายสำคัญ ที่อาจทำให้ กกต. ชุดนี้ ต้องมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และอาจทำให้การเลือกตั้งที่เราต่างเฝ้าคอยกันมานานกว่า 5 ปี และใช้งบประมาณจากภาษีของเราไปกว่า 5,800 ล้านบาทเป็นเป็นโมฆะ ลองมาดูจุดเสี่ยงเหล่านี้ และร่วมกันจับตาการทำงานของ กกต. กันครับ

(คำอธิบายของแต่ละจุดเสี่ยงอยู่ใน comment ใต้รูปนะครับ)




1. วินิจฉัยบัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรจากนิวซีแลนด์ที่ขนส่งมาไม่ทันให้เป็นบัตรเสีย ขัด พ.ร.ป. ส.ส. มาตรา 114

จากมติของ กกต. ที่วินิจฉัยให้บัตรเลือกตั้งจากนิวซีแลนด์ ที่ขนส่งมาไม่ทันปิดหีบ กลายเป็นบัตรเสีย หรือที่ กกต. ขอให้เรียกชื่อว่า “บัตรที่ไม่สามารถนับคะแนนได้” นั้น ไม่สมด้วยเหตุและผล และขัดต่อหลักกฎหมาย พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 114

ซึ่งสาระสำคัญของมาตรานี้ โดยเฉพาะกรณีที่บัตรเลือกตั้งจากต่างประเทศมาถึงล่าช้า กกต. จะไม่นับบัตรนั้น หรือจะตีเป็นบัตรเสียได้ก็ต่อเมื่อบัตรเลือกตั้งเหล่านั้นเกิดขึ้นจากความไม่สุจริต ความไม่เป็นธรรม หรือที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีความไม่สุจริต มีความไม่เที่ยงธรรม

แต่ ณ ขณะนี้จากข้อมูลหลายด้านยังไม่มีความชัดเจน จน กกต. ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบภายใน 7 วัน แต่กลับมีมติก่อนแบบนี้หมายความว่าอย่างไร และบางข่าวมีการรายงานว่าเป็นความผิดพลาดของ กกต. อีกด้วย ซึ่งหากเป็นความผิดพลาดของ กกต. แล้ว กกต. จะมาตัดสิทธิ์ 1,542 เสียงนี้ได้อย่างไร

นอกจากนี้ องค์ประกอบสำคัญของมาตรา 114 คือ การส่งบัตรเลือกตั้งที่อยู่นอกราชอาณาจักร มาถึงสถานที่นับคะแนนของเขตเลือกตั้ง หลังจากที่มีการนับคะแนนแล้ว กกต. จะไม่ทำการนับคะแนนนั้น ต้องพิสูจน์ได้ว่าเกิดความไม่สุจริตเกิดขึ้น กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า “โดยมีเหตุสมควรเชื่อได้ว่าเกิดจากการกระทำที่ไม่สุจริต หรือไม่เที่ยงธรรม”

แต่การขนส่งล่าช้านั้นไม่เข้าองค์ประกอบที่จะทำให้ กกต. ตีบัตรเลือกตั้งเหล่านี้เป็นบัตรเสียได้แต่อย่างใด





2. ใช้สูตรคำนวณ ส.ส. ให้เกิดพรรคเล็ก ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 94 (1)

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เผยแพร่ข่าวสารอ้างว่า กกต.ได้เห็นชอบวิธีการคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามที่สำนักงาน กกต.ได้เสนอ โดยอ้างว่าเป็นวิธีที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ซึ่งเป็นวิธีที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 128 และมาตรา 129 ประกอบกับเจตนารมณ์ของระบบเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลจากการคำนวณตามวิธีการดังกล่าวทำให้มีพรรคการเมืองได้รับจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 25 พรรค ซึ่งรวมถึงพรรคที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าคะแนนต่อ ส.ส.หนึ่งคนด้วยนั้น

การนำวิธีการคำนวณดังกล่าวมาใช้จะเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ มาตรา 128 และยังขัดต่อหลักตรรกวิทยาด้วย ดังเหตุผลต่อไปนี้

1. การที่พรรคการเมืองใดจะได้รับจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคการเมืองนั้นต้องได้รับคะแนนไม่ต่ำกว่าจำนวนคะแนนต่อ ส.ส.หนึ่งคน เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 (1) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 (1) ให้ความสำคัญต่อทุกคะแนนเสียง จึงให้นำทุกคะแนนที่ลงให้กับทุกพรรคการเมืองมารวมกันแล้วหารด้วย 500 คือ จำนวน ส.ส.ทั้งหมด เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส.1 คน ซึ่งจากคะแนนรวมของทุกพรรค 35,532,647 คะแนน หารด้วย 500 ผลลัพธ์คือ 71,065 คะแนน ซึ่งตัวเลขนี้จะเป็นตัวกำหนด ส.ส.พึงมีของแต่ละพรรคด้วย จึงเห็นได้ว่าหลักการที่ว่าทุกคะแนนเสียงมีค่าและไม่เป็นคะแนนตกน้ำนั้น ได้นำมาใช้ในการคิดคำนวณในส่วนนี้แล้ว

2. จำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมีนั้นต้องยึดจำนวนตามที่คำนวณได้เป็นเกณฑ์จะนำไปเฉลี่ยให้กับพรรคที่มีคะแนนต่ำกว่า 71,065 คะแนนมิได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (2) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 128 (2) ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับจากทุกเขตเลือกตั้งหารด้วยคะแนนต่อ ส.ส.หนึ่งคน (71,065) ผลลัพธ์ คือ จำนวน ส.ส.ที่พรรคนั้นจะพึงมีได้เบื้องต้นและเมื่อนำผลลัพธ์ดังกล่าวไปลบด้วยจำนวน ส.ส. แบบแบ่งเขตของพรรคนั้น ผลลัพธ์คือจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่พรรคนั้นจะได้รับเบื้องต้น ตามมาตรา128 (3) จะเห็นได้ว่าจำนวน ส.ส.ที่พึงมีของแต่ละพรรคก็ดี หรือจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคจะได้รับเบื้องต้นก็ดี ล้วนมีฐานมาจากที่พรรคนั้นต้องมีคะแนนไม่ต่ำกว่าคะแนนต่อ ส.ส.หนึ่งคน (71,065 คะแนน) ทั้งสิ้น

3. พรรคการเมืองใดที่มีคะแนนต่ำกว่าคะแนนต่อส.ส.หนึ่งคนคือต่ำกว่า 71,065 คะแนนซึ่งไม่มีจำนวน ส.ส. ที่พึงมีและไม่มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่จะได้รับเบื้องต้น ตามมาตรา128 (3) ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้รับจัดสรรจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 128 (4) เพราะตามมาตรา 128 (4) ให้จัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อให้เฉพาะกับพรรคที่มีสิทธิจะได้รับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อตามมาตรา 128 (3) เท่านั้น โดยให้จัดสรรเป็นจำนวนเต็มก่อนถ้ายังไม่ครบ 150 คน จึงไปพิจารณาว่าพรรคใดมีเศษจากการคำนวณมากกว่ากัน ดังนั้นเมื่อพรรคใดไม่มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่จะได้รับเบื้องต้น ก็ไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรรดังกล่าว และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจากทุกพรรคที่มีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ 71,065 คะแนนขึ้นไปมีจำนวน 152 คน เกินมา 2 คน จึงไม่ต้องไปพิจารณาเรื่องเศษจากการคำนวณ และไม่ต้องไปพิจารณาตามมาตรา128 (6) ด้วยเช่นกัน

4. พรรคที่จะได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ตามมาตรา 128 (5) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ต้องเป็นพรรคที่มี ส.ส.พึงมีเสียก่อน เนื่องจากการคำนวณตามมาตรา 128 (5) ต้องพิจารณาตามมาตรา 128 (2) เป็นหลักโดยจัดสรรภายใต้เงื่อนไขดังนี้

(1) ถ้าพรรคนั้นมี ส.ส.เขตเท่ากับ หรือ สูงกว่าจำนวนส.ส.ที่พรรคนั้นพึงมี ตามมาตรา 128 (2) ให้พรรคนั้นมี ส.ส.ตามจำนวนที่ได้รับจาก ส.ส.แบบแบ่งเขตและไม่มีสิทธิได้รับจัดสรรแบบ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
(2) ให้นำ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ไปจัดสรรให้แก่พรรคที่มี ส.ส.แบบแบ่งเขตต่ำกว่าจำนวน ส.ส.ที่พรรคนั้นจะพึงมี ตามมาตรา 128 (2)
(3) การจัดสรรข้างต้นต้องไม่มีผลให้พรรคนั้นมี ส.ส.เกินจำนวนที่พึงมีตามมาตรา 128 (2)
ดังนั้น ถ้าพรรคการเมืองใดไม่มี ส.ส. ที่พึงมี ตามมาตรา 128 (2) ตั้งแต่ต้นก็ไม่มีสิทธิได้รับจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ตามมาตรา 128 (5) ได้

5. พรรคการเมืองที่มีคะแนนต่ำกว่า 71,065 คะแนน ซึ่งเป็นพรรคที่ไม่มี ส.ส.พึงมี ตามมาตรา128 (2) ไม่มีจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่จะได้รับเบื้องต้นตามมาตรา 128 (3) ซึ่งไม่มีสิทธิจะได้รับจัดสรรแบบบัญชีรายชื่อ ตามมาตรา 128 (4) และ (5) พรรคนั้นก็ย่อมไม่อยู่ในเกณฑ์จะได้รับจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ตามมาตรา 128 (7) เพราะพรรคเหล่านั้นไม่มีจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่จะได้รับมาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีจำนวน ส.ส.ที่จะมาคูณกับจำนวน 150 และหารด้วยผลบวกของ 150 กับจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่เกิน 150 คนได้

ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายแล้วไม่มีช่องทางใดเลยที่พรรคซึ่งมีคะแนนต่ำกว่า71,065 คะแนน จะได้รับจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ การคำนวณคะแนนตามแบบวิธีของกกต. จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 94 (1) ที่ห้ามให้จัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ เกินกว่า ส.ส.พึงมี ของแต่ละพรรคการเมืองครับ





3. วันเลือกตั้งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ

คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ได้แสดงความคิดเห็นต่อการกำหนดวันเลือกตั้งของ กกต. ไว้อย่างน่าสนใจครับ โดยคุณธีระชัยบอกว่าการกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นการกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 61 นับแต่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 มกราคม 2562 ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 103 วรรคสาม กล่าวคือ ต้องจัดการเลือกตั้งไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ ลองอ่านคำอธิบายของคุณธีระชัยกันนะครับ

“เงื่อนไขในมาตรา ๑๐๓ มีลักษณะเป็นเงื่อนไขหลักการทั่วไป เหตุผลที่มาตรา ๑๐๓ ให้กำหนดเวลาต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับนั้น ก็เพื่อให้เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยกำหนดไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันเพื่อให้ทุกพรรคมีเวลาเตรียมตัวผู้สมัครที่เพียงพอ และให้เวลาหาเสียงที่เพียงพอ และกำหนดไม่เกินหกสิบวันเพื่อมิให้ลากวันเลือกตั้งออกไปเพื่อเอื้ออำนวยแก่พรรคใดที่ยังไม่สามารถเตรียมตัวให้พร้อมได้ภายในเวลาอันควร

ส่วนการที่มาตรา ๑๐๒ กำหนดเวลาวันเลือกตั้งภายในสี่สิบห้าวัน ซึ่งสั้นกว่าที่กำหนดในมาตรา ๑๐๓ เนื่องจากกำหนดวันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรจะสิ้นสุดลงนั้น ย่อมเป็นที่รู้ทั่วไปก่อนหน้านานแล้ว และผู้ที่เกี่ยวข้องย่อมจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากพอเพียงแล้ว ดังนั้น กำหนดเวลาสูงสุดตามมาตรา ๑๐๒ จึงสั้นกว่ากำหนดเวลาสูงสุดตามมาตรา ๑๐๓

สำหรับการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังจากการปฏิวัติรัฐประหารนั้น จะต้องใช้ข้อบัญญัติทั้งหลายในรัฐธรรมนูญที่เป็นหลักการทั่วไป ไม่ว่ากระบวนการเกี่ยวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เกี่ยวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ การแบ่งเขต วิธีการจัดการเลือกตั้ง ฯลฯ เว้นแต่จะมีข้อบัญญัติใดเป็นการเฉพาะที่ยกเว้นการปฏิบัติตามหลักการทั่วไป และถึงแม้ในบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๖๘ จะบัญญัติให้ดําเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มีผลใช้บังคับแล้ว ก็มิใช่ว่าจะใช้ระยะเวลาตามมาตรา ๒๖๘ ได้เพียงลำพัง แต่จะต้องใช้ควบคู่กับมาตรา ๑๐๓ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

(ก) บทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มิได้มีการระบุให้ยกเว้นการปฏิบัติตามข้อบัญญัติทั้งหลายในรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้เป็นหลักการทั่วไป จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนเวลาในมาตรา ๑๐๓ เป็นหลัก ส่วนเงื่อนเวลาในมาตรา ๒๖๘ ย่อมจะต้องถือเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติม
(ข) มาตรา ๒๖๘ บัญญัติให้ดําเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม ‘รัฐธรรมนูญนี้’ ซึ่งย่อมหมายความถึงรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มิใช่ให้บังคับเฉพาะมาตราใดมาตราหนึ่ง
(ค) เงื่อนเวลาในมาตรา ๒๖๘ นั้น อ้างถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) จึงหมายความว่า ให้ถือวันที่กฎกติกาเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒสภา เรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง และเรื่องพรรคการเมือง มีผลใช้บังคับ เมื่อใด ภายหลังจากที่ประเทศมีกฎกติกาใน ๔ เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ก็ให้จัดการเลือกตั้งโดยมิชักช้า คือภายใน ๑๕๐ วัน มิให้เนิ่นนานกว่านี้
(ง) เงื่อนเวลา ๑๕๐ วันตามที่ระบุในมาตรา ๒๖๘ นั้น เนื่องจากเป็นเงื่อนเวลา นับจากวันที่ประเทศมีกฎกติกาเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเรื่องที่แตกต่างจากมาตรา ๑๐๓ ซึ่งกำหนดเงื่อนเวลา นับจากวันที่ประชาชนล่วงรู้เจตนาที่จะให้มีการเลือกตั้งอย่างแน่ชัด
(จ) เงื่อนเวลา ๑๕๐ วันตามที่ระบุในมาตรา ๒๖๘ นั้น ย่อมหมายความรวมถึงทุกขั้นตอนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ได้แก่ การรับสมัคร การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ การเลือกตั้ง และการประกาศผล ซึ่งแตกต่างจากมาตรา ๑๐๓ ซึ่งเกี่ยวข้องกับวันเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ เนื่องจากในการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังจากการปฏิวัติรัฐประหาร ย่อมไม่มีเหตุการณ์สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๒ หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๑๐๓ วรรคแรกและวรรคสองเกิดขึ้นได้ นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในฐานะเป็น รัฏฐาธิปัตย์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงย่อมมีฐานะเป็นพระราชกฤษฎีกา ตามที่มาตรา ๑๐๓ วรรคสองและวรรคสามกล่าวถึง และการกำหนดวันเลือกตั้งจึงต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม กล่าวคือต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ

หรือพิจารณาอีกทางหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ มีการบัญญัติมาตรา ๔๔ ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจสั่งการระงับยับยั้ง หรือกระทําการใดๆได้ ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํารวมทั้งการปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าวเป็นคําสั่งหรือการกระทําหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด และบทบาทของคณะรักษาความสงบแห่งชาติก็ได้มีการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมาตรา ๒๖๕ บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ดํารงตําแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ยังคงอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และยังกำหนดด้วยว่าในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอํานาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ และให้ถือว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอํานาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่กล่าวถึงข้างต้น หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจในการที่จะออกกฎหมายเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง ซึ่งถ้าหากมีการดำเนินการดังกล่าว กฎหมายเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งก็จะมีสภาพเช่นเดียวกับพระราชกฤษฎีกาที่มาตรา ๑๐๓ วรรคสองและวรรคสามกล่าวถึง และวิธีปฏิบัติในการกำหนดวันเลือกตั้งก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสาม กล่าวคือต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่กฎหมายเพื่อกำหนดให้มีการเลือกตั้งดังกล่าวใช้บังคับ

สำหรับประเด็นเรื่องประเพณีการปกครอง
อนึ่ง รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕ วรรคสอง บัญญัติว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้กระทําการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”ข้าพเจ้าจึงเห็นจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังการปฏิวัติรัฐประหารในปัจจุบันและในอดีต คือในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ , ๒๕๕๐ , ๒๕๓๕ และ ๒๕๒๒ ซึ่งปรากฏข้อมูลดังนี้

๑ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๖๒
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นวันที่ ๖๑นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒)
(ข) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๔๕ วัน (มาตรา ๑๐๒) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่น้อยกว่า ๔๕ วัน แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๐๓)
(ค) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๖๘ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วันนับแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง เกินกว่าเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)

๒ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ. ๒๕๕๐
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นวันที่ ๖๐ นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)
(ข) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๔๕ วัน (มาตรา ๑๐๗) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่น้อยกว่า ๔๕ วัน แต่ไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๐๘)
(ค) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๙๖ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๙๐ วันนับแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง ไม่เกินเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)

๓ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๕
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นวันที่ ๖๖ นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๕)
(ข) ธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๑๑) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่เกิน ๙๐ วัน(มาตรา ๑๑๒)
(ค) ธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๓๔ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๑๘ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๑๒๐ วันนับแต่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง ไม่เกินเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)

๔ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๒๒
(ก) วันเลือกตั้ง ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นวันที่ ๗๕ นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ (๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒)
(ข) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้ง หลังวันที่สภาหมดอายุต้องไม่เกิน ๖๐ วัน (มาตรา ๑๐๐) และหลังวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาหมดอายุ ไม่เกิน ๙๐ วัน(มาตรา ๑๐๑)
(ค) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๒๑ บทเฉพาะกาลมาตรา ๒๐๒ บัญญัติให้กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๑๒๙ วันนับแต่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
(กำหนดวันเลือกตั้ง ไม่เกินเงื่อนเวลาสูงสุดของกรณียุบสภา)

จะเห็นได้ว่า ตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กำหนดวันเลือกตั้งจะอยู่ภายในเงื่อนเวลาของการยุบสภาทุกครั้ง ยกเว้นปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ถึงแม้เงื่อนเวลาสูงสุดในบทเฉพาะกาลจะกำหนดไว้สูงกว่าทุกครั้ง

จึงขอเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อ กกต. จะได้จัดเตรียมคำโต้แย้งได้อย่างสะดวก”