วันเสาร์, เมษายน 01, 2560

วาทะเด็ด... ที่คุณบอกมา..มันทำหมดเลย!!





ที่คุณบอกมา..มันทำหมดเลย!!

ณัฐภัส พุ่มสอาด


.....





942 วันของการรอคอยที่สูญเปล่าของทักษิณ ชินวัตร





942 วันของการรอคอยที่สูญเปล่าของทักษิณ ชินวัตร

.....................

ประมาณวันที่ 22 สิงหาคม 2557 หรือ 3 เดือนรัฐประหาร ทักษิณ ชิoวัตร ได้ส่งสัญญาณมาอย่างชัดเจนว่าจะไม่สู้เพื่อหวังจะเกี๊ยเซียะ เหมือนรัฐประหาร 2549 ด้วยการส่งภาพ WAIT เพื่อจะบอกว่าจะไม่ทำอะไรนอกจากรอเลือกตั้ง ซึ่งในตอนนั้นก็คาดกันว่าจะเกิดขึ้นในปี 2558

ดังปรากฎในข่าวที่อ้างคำพูดของทักษิณว่า

ตั้งแต่มีการชุมนุมของ กปปส. ทำให้เศรษฐกิจของประเทศทรุดตัวลงเรื่อยๆ และเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามายึดอำนาจ ก็ยังทำให้ภาพรวมของประเทศเสียหายลง อย่างไรก็ตาม เมื่อขณะนี้จะมีรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ก็ต้องให้โอกาสเขาทำงานไป หากเราไปขัดขวางก็จะกลายเป็นว่า ไม่ให้ความร่วมมือกับประเทศ อะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องได้ ก็ควรให้การสนับสนุน อะไรที่จะเป็นประโยชน์ของประเทศ ก็ควรให้ความร่วมมือกับเขา ให้โอกาสเขาได้ทำงานอย่างเต็มที่

ทักษิณ ย้ำปล่อยวาง ให้โอกาสทหารทำงาน
http://www.thairath.co.th/content/445079

พร้อมทั้งส่งผ่านน.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว WAIT

8 กันยายน 2557 ผมได้เขียนบันทึกซึ่งต่อมาได้ลงใน ไทยอีนิวส์

สงสัยทักษิณ จะได้ยืนตรงคำว่า WAIT จนรากงอกแน่ ๆ
http://thaienews.blogspot.com/2014/09/wait.html

ดเ้วยเหตุวาคณะรัฐประหาร 2557 จะไม่ยอม "เสียของ" เหมือนปี 2549

ตลอดระยะเวลาเกือย 3 ปีที่ประเทศตกผยู่ใต้ระบบรัฐประหาร เสรีภาพของประชาชนถูดริดรอน การใช้กฎหมายอย่างบิดเบื้ยว ต่อประชาชนที่ต่อต้ายรัฐประหาร แต่นั่นก็หาได้ทำให้ทักษิณ รู้แต่อย่างใดว่า การรอคอยนอกจากจะสูญเปล่าแล้วยังเป็นการสร้างบาดแผลให้กับประชาชนด้วย

แต่เมื่อคณะรัฐประหารพยายามกระชับอำนาจด้วยการ "สอย" นักการเมืองพรรคเพือ่ไทย พร้อม ๆ กับการ เก็บภาษี 1.6 หมื่นล้านของทักษิณ ประกอบกับ "ข้อต่อ" ที่ทักษิณเคยมี กลับหลุดลอยไปอย่างเจ็บปวดและน่าอับอาย

เราจึงได้เห็นฌโพสต์ล่าสุดในวันนี้

https://www.facebook.com/thaksinofficial/posts/660557204128834

ทักษิณ โพสต์เดือด! ซัดรัฐบาลทหาร “ผมหยุดแล้วครับ ท่านล่ะ เมื่อไหร่จะหยุดสักที”
http://www.matichon.co.th/news/514642

และถ้าเรานับวันเวลาตั้งแต่่ 22 สิงหาคม 2557 ถึง 31 มีนาคม 2560 ก็จะได้ 942 วัน

ซึ่งเป็นการรอคอยที่สูญเปล่าของทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง



Thanapol Eawsakul





จากเสือตัวที่ 5 เหลือแค่หะมาตัวที่... ได้แค่ลาซาด้า ตั้งเมืองอีคอมเมิร์ชในไทย




https://www.youtube.com/watch?v=PT0tmT1UEwU

สุดท้ายได้แค่ลาซาด้า ตั้งเมืองอีคอมเมิร์ชในไทย


SHTV

Published on Mar 31, 2017

Tonight Thailand - VoiceTV21 @Voice_TV

.....

สุดท้ายได้แค่ลาซาด้า ตั้งเมืองอีคอมเมิร์ชในไทย

อาลีบาบา ส่ง ลาซาด้า ตั้งเมืองอีคอมเมิร์ชในไทยสร้างศูนย์เต็มรูปแบบภายใน 2 ปี

ที่มา Voice TV


รู้ไว้! นี่คือ 6 อาการของภาวะ "เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต" เพื่อใช้สิทธิรักษาทุกโรงพยาบาล ภายใน 72 ชั่วโมงแรก เริ่ม 1เม.ย.นี้






แนะใช้ ‘โมเดลทุ่งยางแดง’ ลดความขัดแย้ง ตั้งกรรมการค้นหาความจริง ‘วิสามัญชัยภูมิ’





แนะใช้ ‘โมเดลทุ่งยางแดง’ ลดความขัดแย้ง ตั้งกรรมการค้นหาความจริง ‘วิสามัญชัยภูมิ’

ที่มา นักข่าวพลเมือง (THAIPBS)·FRIDAY, MARCH 31, 2017


วงเสวนาวิชาการ “วิสามัญฆาตกรรม License to Kill?” แนะภาคประชาสังคมร่วมคณะกรรมการตรวจสอบสาเหตุการตาย “ชัยภูมิ ป่าแส” ระบุกลไก 4 ฝ่ายเดิมยังสร้างความคลางแคลง เผยตัวอย่างตรวจสอบคดีวิสามัญ 4 ศพทุ่งยางแดงนำมาซึ่งการไว้วางใจค้นหาข้อมูล ด้าน ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ชี้โมเดลทุ่งยางแดง จะทำให้สังคมคลายความสงสัยในกระบวนการ และลดความขัดแย้งในอนาคต

วันนี้ (31 มี.ค. 2560) ที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดการเสวนาวิชาการเรื่อง “วิสามัญฆาตกรรม License to Kill?” สืบเนื่องจากกรณีชัยภูมิ ป่าแส ถูกวิสามัญเสียชีวิต แต่การจัดวงเสวนาครั้งนี้ระบุว่ามิได้มีเจตนาชี้ว่าใครถูกใครผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เป็นการแสดงมุมมองและข้อมูลเชิงวิชาการ

วงเสวนามีผู้ร่วมวงสนทนา คือ วสันต์ พานิช อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสุมิตร วอพะพอ องค์การแพลนประเทศไทย

เผยชัยภูมิ ไม่ใช่กรณีแรกที่ชนเผ่าถูกยิงทิ้ง





สุมิตร วอพะพอ ชนเผ่าปกาเกอะญอ ผู้สูญเสีย นายสิแด คอร่า พี่เขยที่เสียชีวิตเมื่อปี 2546 ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่คนชาติพันธุ์อีกหลายกรณีที่ถูกยิงเสียชีวิตทั้งที่ประวัติของนายสิแด เคยเป็นผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน และอบต. มีบทบาทสนับสนุนชุมชนและหน่วยงานรัฐป้องกันยาเสพติดในพื้นที่ และเป็นผู้พยายามแก้ไขปัญหาระหว่างรัฐกับชุมชนในการเตรียมประกาศอุทยานขุนขาน แต่กลับถูกยิงเสียชีวิต เวลาผ่านไป 16 ปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าในคดี ขณะที่ผลกระทบต่อครอบครัวเกิดขึ้นมากมายตามมา นอกจากนั้น ญาติยังถูกโทรข่มขู่ว่า หากไม่อยากเป็นเหมือนพี่เขยขอให้หยุด และมีการบอกว่า พี่เขยมีชื่ออยู่ในบัญชีดำ 

สุมิตรบอกว่า ทุกวันนี้ผ่านไป 16 ปียังมีคำถามว่า นายสิแดเสียชีวิตเพราะอะไร และพี่เขยของตนเป็นหนึ่งในหลายพันกรณีที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เห็นว่า ไม่ว่าใครก็ตาม จะดีหรือชั่ว ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จนกว่าศาลจะพิพากษาพิจารณาความผิด ไม่ควรถูกศาลเตี้ย วิสามัญหรือฆ่าตัดตอน และควรเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เพราะมนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ แต่เมื่อเกิดแล้วมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

แนะภาคประชาสังคมร่วมเป็นคณะกรรมการตรวจสอบสาเหตุการตายชัยภูมิ





วสันต์ พานิช อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ในช่วงปี 2546 ตนได้ติดตามสถิติที่เกิดขึ้นช่วงมีนโยบายปราบปรามยาเสพติด โดยสถิติ 3 เดือน 1 ก.พ. - 30 เม.ย.2546 พบกรณีทั้งสิ้น 2,500 กรณี มีผู้เสียชีวิต 2,800 ราย โดยอ้างว่าเป็นการฆ่าตัดตอน จากกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดที่ไม่ต้องการให้สาวถึงตัวเอง มีผู้เสียหายร้องเรียนมายังคณะกรรมการสิทธิ์ฯ ประมาณ 100 ราย เมื่อมีการตรวจสอบพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่มียาเสพติดอยู่ใกล้ตัวเมื่อเสียชีวิตเป็นต้น

วสันต์ กล่าวว่า ข้อสังเกตุของตนในการทำคดีวิสามัญ ขณะนี้กำหนดกรณีจะสอบสวนการตาย จะต้องมีองค์ประกอบ 4 ฝ่ายคือ แพทย์ พนักงานสอบสวน อัยการ ปลัด ซึ่งในทางปฏิบัติ จะต้องมีญาติผู้เสียชีวิตด้วย แต่การดำเนินงานที่ผ่านมาจะไม่ค่อยแจ้งญาติ เพราะกฏหมายบอกว่า “เท่าที่จะทำได้” ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดความคลางแคลงในการสอบสวนหาสาเหตุการตายว่าจะได้ข้อเท็จจริงได้อย่างไร จะมีความมั่นใจในผลการสอบสวนได้หรือ

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยเคยมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับกรณีวิสามัญฆาตกรรม 4 ศพที่ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ที่มีการตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยภาคประชาสังคม ภาคสถาบันการศึกษาเข้าไปร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งก่อให้เกิดความไว้วางใจ และยอมรับในข้อเท็จจริงที่ร่วมกันตรวจสอบ

“ข้อเสนอของผมคือควรมีคนกลาง หรือภาคประชาสังคมร่วมสอบสวนด้วย เพราะองค์ประกอบที่เป็นไปตามกฏหมายขณะนี้อาจไม่ครบถ้วย โดยมี แพทย อัยการ ฝ่ายปกครอง ตำรวจเท่านั้น ฝ่ายปกครองและพนักงานอัยการก็เกี่ยวโยงกับตำรวจ คนที่จะคานอำนาจคือแพทย์ กรณีนี้แพทย์จะกล้าขัดขืนไหม ดังนั้นเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ ควรให้องค์กรพัฒนาเองชน คนที่ญาติพี่น้องไว้วางใจให้เป็นตัวแทน ฝ่ายวิชาการ หรือมหาวิทยาลัยสามารถมีร่วมตรวจสอบหาข้อเท็จจริงโดยเปิดเผยต่อสังคนเป็นระยะ ซึ่งเคยทำร่วมกันมาแล้วกรณี 4 ศพที่ทุ่งยางแดง” 

กลไกตรวจสอบคดีวิสามัญโดยเจ้าหน้าที่เองมีปัญหา อย่าด่วนสรุป แนะตั้งคณะกรรมการเหมือนทุ่งยางแดง





สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า วิสามัญฆาตกรรม คือกรณีที่มีการตายเกิดขึ้น โดย1.การกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่ 2.ตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามกฏหมาย 

“ลองนึกถึงคนที่ก่อเหตุฆาตกรรมทั่วไป และเรามองว่าคนที่ทำเช่นนั้นเป็นคนชั่ว ไม่ได้ทำในนามของเรา แต่ถ้าเป็นการตายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ คนที่ยิงนั้นเขาทำในนามของเราทุกคนที่เสียภาษี คำถามคือ เขาหรือเจ้าหน้าที่มีความชอบธรรมอะไรว่ากระทำในทางกฏหมายโดยไม่ต้องรับผิด”

สงกรานต์กล่าวว่า คำถามต่อมาคือรัฐมีอำนาจฆ่าพลเมืองของตนเองได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบมีทั้งได้และไม่ได้ โดยขณะนี้ประเทศส่วนใหญ่ในโลกยกเลิกโทษประหารชีวิต นั่นคือรัฐไม่มีอำนาจฆ่าพลเมืองของตนเอง แต่ยังมีอีกประมาณ 58 ประเทศที่ยังมีโทษประหารชีวิตอยู่ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในนั้น แต่การประหารชีวิตก็ต้องผ่านกระบวนการทางกฏหมายอย่างเคร่งครัดก่อนเท่านั้น 

ขณะที่หลักกฏหมายระหว่างประเทศถือว่าการวิสามัญฆาตกรรมหรือการลงโทษประหารชีวิตที่ไร้เหตุผลและรวบรัด เป็นการขาดความชอบธรรมที่ร้ายแรงและต้องคุ้มครองประชาชนจากการกระทำดังกล่าวด้วยซ้ำ ส่วนการอ้างการป้องกันตนเองตามกฏหมายอาญา มีหลักเกณฑ์คือ ต้องมีอันตรายอันละเมิดต่อกฏหมาย อันตรายต้องใกล้จะถึง และต้องกระทำไปพอสมควรแก่เหตุผล แต่ทั้งหมดคือเราจะเข้าถึงข้อเท็จจริงตอนเกิดเหตุได้อย่างไร

ปัญหาของคดีวิสามัญฆาตกรรมที่เราเจออยู่มี 3 คดีคือ 1.คดีความที่เจ้าหน้าที่กล่าวอ้างว่าผู้ตายกระทำความผิด 2.คดีความที่เจ้าหน้าที่กล่าวอ้างว่าผู้ตายขัดขืนการจับกุมและพยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่ และ 3.คดีความที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้ต้องหาทำให้ผู้อื่นตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งคดีที่ 1 และ 2 เป็นอาญาที่ยุติเพราะผู้ถูกกล่าวหาได้เสียชีวิตไป แต่คดีที่ 3 ซึ่งเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐทำให้พลเมืองของตนเองตาย จะมีข้ออ้างในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่อย่างไร 

“ปกติเราอยู่กับเจ้าหน้าที่รัฐเราควรรู้สึกปลอดภัย แต่หากกระทำความผิดก็ถูกสั่งดำเนินคดี แต่พอมีการตายเกิดขึ้นกระบวนการตรวจสอบมันถึงจะต้องรอบคอบโปร่งใสกว่าการดำเนินคดีอาญาปกติทั่วๆ ไป ซึ่งในกระบวนการทำสำนวนคดีก็มีการชันสูตรศพ พนักสอบสวน เเพทย์ แต่ถ้าเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่ทำให้คนตายก็จะมีการเพิ่มขึ้นมา คือพนักงานอัยการเจ้าที่ฝ่ายปกครอง แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณะ ความเชื่อมั่นของผู้เสียหายต่อกระบวนการนี้ว่ามีความชอบธรรมหรือไม่เพราะคนที่รับผิดชอบในการทำสำนวนคดีก็คือพนักงานสอบสวนซึ่ง หนึ่งในสมาชิกของเขาถูกกล่าวหาว่า วิสามัญฆาตกรรมผู้ตาย ซึ่งกระบวนการแบบนี้ก็ไม่สร้างความเชื่อมั่น”

สงกรานต์กล่าวด้วยว่า เคยมีการวิจัยเรื่อง กลไกการตรวจสอบกรณีวิสามัญฆาตกรรม ศึกษากรณีการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจ โดย กฤษฎีก์ ฉายาวุฒิพงษ์ พบว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนกันของเจ้าหน้าที่ นั่นคือ เจ้าหน้าที่ถูกกล่าวหาแต่เจ้าหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบในสำนวนการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน และทำความเห็นว่าฟ้องหรือไม่ฟ้องต่ออัยการสูงสุด ซึ่งในทางปฏิบัติอัยการมักจะมีความเห็นเช่นเดียวกันกับพนักงานสอบสวนคือสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฏหมาย 

ข้อเสนอจากงานวิจัยชิ้นนั้น คือ 1.ให้อำนาจหน้าที่การรวบรวมหลักฐานเป็นของ DSI เพราะเป็นคดีพิเศษเนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด 2.ให้อัยการเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบการสอบสวนและทำความเห็น จากที่แต่เดิมที่ผู้ทำสำนวนคือพนักงานสอบสวน เสนอให้เปลี่ยนเป็นพนักงานอัยการทำสำนวนทั้งหมดเพื่อส่งต่ออัยการสูงสุด และ 3.ให้ศาลทำหน้าที่เชิงรุกในการไต่สวนการตาย หากศาลไม่มีความชำนาญก็สามารถตั้งผู้ชำนาญการขึ้นมาสืบเสาะข้อเท็จจริงนี้ได้ ที่ผ่านมาศาลยังไม่ได้ทำหน้าที่นี้

“ผมเห็นด้วยกับเรื่องนี้ที่เป็นข้อเสนอทั้งหมด แต่ในกรณีของคดีของนายชัยภูมิ ป่าเเส ที่เกิดเหตุในขณะนี้ ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ควรเข้ามาร่วมในกระบวนการสอบสวนตั้งแต่แรกคือญาติของผู้ตายหรือผู้เสียหาย ตั้งแต่ขั้นตอนการชันสูตรผลิกศพ ให้รู้ในขบวนการตั้งแต่ตอนแรกเพื่อที่จะ 1.ทำให้กระบวนการมีความน่าเชื่อถือโดยมีบุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมไม่ใช่มีเพียงเจ้าหน้าที่ของรัฐเพียงฝ่ายเดียว 2.ให้สังคมสาธารณะ คลายข้อสงสัย จากหลักฐานที่เจ้าหน้าที่รัฐอ้างถึง ว่ามีข้อเท็จจริงหรือเปล่าเมื่อมีญาติผู้เสียหายเข้าไปเกี่ยวข้องสังคมก็จะคลายข้อสงสัยหรือและมีความเชื่อมั่นว่ามันจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริงมากขึ้น”

สงกรานต์ยังมีข้อสังเกตุคือ การฆาตกรรมในนามของรัฐ เป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องมีกระบวนการตรวจสอบที่รอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ เพราะเป็นการฆ่าในนามของพวกเราทุกคน และปัญหาความไม่เชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมในคดีวิสามัญฆาตกรรมเป็นปัญหาเชิงระบบที่ต้องแก้ไขให้ประชาชนเชื่อมั่น

การเข้าถึงพยานหลักฐานเป็นเรื่องสำคัญ การสอบสวนต้องเปิดเผยข้อมูลต่อผู้เกี่ยวข้อง เช่น กล้องวงจรปิด ญาติควรได้ดู ถ้าแม่ทัพดูได้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไม่ด่วนสรุป และตนเห็นด้วยที่ควรตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากภาควิชาการ ภาคประชาชน เหมือนกรณีทุ่งยางแดงเพื่อให้ข้อมูลรอบด้านและได้รับความไว้วางใจมากที่สุด

ระบุสังคมใช้ข้อมูลและเหตุผลร่วมผลักดันเรียกร้อง





สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นกับชัยภูมิ เกิดขึ้นกับหลายคน หลายพื้นที่ เช่นกรณีภาคใต้ ซึ่งตนเห็นว่า เกิดจาก 3 ส่วนคือ 1.การวิสามัญฆาตรกรรม 2.ความเป็นชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยในระบบกฏหมาย และ 3.ระบบอำนาจนิยม 

ส่วนที่ 1 วิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่นกรณีโจ ด่านช้าง ตากใบ ทุ่งยางแดง รือเสาะ มาจนถึงชัยภูมิ ซึ่งคำถามคือ เคยมีการรับผิดจากการวิสามัญฆาตกรรมหรือไม่ ? ส่วนที่ 2 ความเป็นชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อยในระบบกฏหมาย ทำให้คดียิ่งยาก เพราะเกี่ยวกับอคติที่ชาติพันธุ์ถูกมองมาโดยตลอดคือ เป็นภัยต่อความมั่นคง เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และสร้างปัญหากับทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
นอกจากนั้นในมุมของเจ้าหน้าที่อาจมีความเชื่อว่า สิ่งที่กำลังทำเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ปัญหาส่วนนี้ไม่ใช่เพียงตัวคนยิง แต่เป็นปัญหาความเข้าใจของสังคมที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์นำมาซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้ ส่วนที่ 3 ระบบอำนาจนิยม ยิ่งเปิดโอกาสให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ได้ง่าย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสังคมประชาธิปไตยจะไม่มีการวิสามัญฆาตกรรม อาจเกิดขึ้นได้ แต่สามารถจะถูกตั้งคำถาม และตรวจสอบได้มากกว่า 

“ผมหวังว่าปรากฏการณ์ชัยภูมิ ที่เชียงดาว จะไม่เกิดกับที่อื่นๆ ซึ่งสิ่งที่เราพอจะทำได้คือ ระมัดระวังตนเอง ใช้ข้อมูลและเหตุผลร่วมผลักดันเรียกร้อง สร้างเครือข่ายเพื่อร่วมตรวจสอบพิสูจน์ความจริง” 

ชี้โมเดลทุ่งยางแดงเกิดความโปร่งใส ลดความขัดแย้งในอนาคต





ด้าน ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวพลเมือง ถึงบทเรียนจากกรณีเจ้าหน้าที่รัฐวิสามัญฆาตกรรมประชาชนที่ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ถึงกรณีวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิป่าเเส ว่าควรมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบหาข้อเท็จจริง เพื่อให้สังคมและสาธารณะคลายความสงสัยเรื่องนี้

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่หมู่ 6 บ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2558 ที่เจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมตรวจค้นและเกิดการใช้อาวุธยิงจนมีผู้เสียชีวิต 4 ศพ และมีคนถูกควบคุมตัว 22 คน เหตุการณ์นั้นเจ้าหน้าที่ทหารอ้างว่า ผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ และพยายามหลบหนี จึงยิงปะทะจนกระทั่งวิสามัญฆาตกรรม และยังระบุว่าผู้ตายเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย
จากนั้นได้เกิดกระเเสเรียกร้องและวิพากษ์จากชาวบ้านและมหาวิทยาลัยฟาฏอนี ที่ออกมายืนยันว่าผู้เสียชีวิตไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย ทำให้ภาคประชาสังคมและองค์กรมุสลิมในพื้นที่ เกิดข้อสงสัยและต่างออกแถลงการณ์เพื่อให้เจ้าหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสืบเสาะหาข้อเท็จจริงและเอาผิดกับผู้กระทำ

ต่อมา แม่ทัพภาค4 พล.ท.ปราการ ชลยุทธ ในขณะนั้น ออกคำสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี จัดการเรื่องนี้เพื่อทำตามข้อเรียกร้อง โดยให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบเสาะหาข้อเท็จจริง ซึ่งประกอบไปด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และองค์กรสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ โดยหนึ่งในคณะกรรมการฯ มีตนเองร่วมอยู่ด้วย

ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวว่า คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่ 4 อย่าง คือ 1.ตรวจสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้ได้รายละเอียดในเหตุการณ์ 2.ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน นับตั้งแต่รับทราบคำสั่ง 3.เมื่อดำเนินการไปแล้วเสร็จ รายงานผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีทราบ 4.ดำเนินการอื่นตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้สั่งการและมอบหมาย
ในกระบวนการดังกล่าวคณะกรรมการสามารถเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดมาสอบสวนหาข้อเท็จจริงได้ ทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ พยานแวดล้อม เช่นผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่

ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวต่ออีกว่าคณะกรรมการที่ตั้งมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสืบเสาะหาข้อเท็จจริงอย่างเป็นธรรมโดยผลสรุปที่เกิดขึ้นจะไม่สัมพันธ์หรือเกี่ยวโยงกับสำนวนคดีที่พนักงานสอบสวนและอัยการร่วมกันทำอาจจะมีผลในทางคดีต่อเมื่ออยู่ในชั้นศาล ซึ่งทนายความสามารถเรียกหลักฐานเหล่านี้ขึ้นมาได้ ซึ่งผลดีที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ทำให้ครอบครัว ชุมชน และสังคมหายข้อข้องใจในสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งผลการสอบเหตุการณ์นี้ยืนยันได้ว่าผู้ตายทั้ง 4 คนเป็นผู้บริสุทธิ์

นอกจากนั้นกระบวนการนี้หลังพิสูจน์ทราบเสร็จสามารถเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบหรือผู้เสียหายได้ ซึ่งหากนำมาปรับใช้กับกรณีของนายชัยภูมิ ป่าเเส ก็จะทำให้สังคมคลายความสงสัยในกระบวนการ และรับทราบถึงข้อเท็จจริง และลดความขัดแย้งในอนาคต

คลิป เสวนา "ชัยภูมิสุดท้าย" ที่ร้าน The Writer's กวี ดนตรี ศิลปะ การแสดงสด เพื่อรำลึกถึงและทวงถามถึงความจริงและความยุติธรรมให้ "ชัยภูมิ ป่าแส" เยาวชนนักเคลื่อนไหวเพื่อคนไร้สัญชาติที่ถูกทหารยิงตายเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๗ มี.ค.





วันเสาร์ที่ ๑ เม.ย. เวลา ๑๗:๐๐ - ๒๐:๐๐ น. มีกิจกรรม

"ชัยภูมิสุดท้าย"

กวี ดนตรี ศิลปะ การแสดงสด เพื่อรำลึกถึงและทวงถามถึงความจริงและความยุติธรรมให้ "ชัยภูมิ ป่าแส" เยาวชนนักเคลื่อนไหวเพื่อคนไร้สัญชาติที่ถูกทหารยิงตายเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๗ มี.ค. โดยอ้างว่าผู้ตายค้ายาเสพติดและจะขว้างระเบิดใส่ทหาร

ณ ร้าน The Writer's Secret

ถนนนครสวรรค์ ใกล้ สน.นางเลิ้ง เยื้อง รร.สตรีจุลนาค

โอนเงินสนับสนุนกิจกรรมได้ที่บัญชี ธ.กสิกรไทย

"นายพริษฐ์ ชิวารักษ์"
เลขที่ ๐๒๔-๘-๒๖๗๐๐-๓

เงินทุนหลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้แก่ครอบครัวของ "ชัยภูมิ ป่าแส"

เพลง "จงภูมิใจ" ของชัยภูมิ ป่าแส:

https://www.youtube.com/watch?v=A95DbmoZdgc

*** ร้านมีขนาดเล็ก จุได้ประมาณ ๑๕ คน ***

(FB กิจกรรม เสวนา ประชาธิปไตย ๒ )


ooo


Live! เสวนา "ชัยภูมิสุดท้าย" ที่ร้าน The Writer's Secrets 1 เมษา 2560



https://www.youtube.com/watch?v=R5_OgQ37Wzw

bamboo network

Streamed live 3 hours ago

ooo







ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.45 ที่ the writer's secret เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน นางเลิ้งมาแจ้งให้ผู้เข้าร่วมงาน 'ชัยภูมิสุดท้าย' ที่นั่งข้างนอกร้าน ให้กลับไปนั่งในร้านให้หมด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า พื้นที่ในร้านไม่สามาถรองรับคนทั้งหมดได้ แต่ผู้เข้าร่วมก็ได้ทำตามคำขอ ของเจ้าหน้าที่แต่ที่ด้านในร้านก็ไม่พอ ส่งผลให้ยังคงมีบางส่วนที่ยืนอยู่ข้างนอกประมาณกว่า 20 คน

ขณะนี้มีการแสดงดนตรีสดโดยแก้วใส สามัญชน โดยมี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ราว 5-10 นาย สังเกตการณ์

ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าว เกิดขึ้นจากกรณี เหตุการณ์ทหารวิสามัญฆาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา ที่ด่านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพฤติการณ์การเสียชีวิตของชัยภูมิจากทั้งทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รวมไปถึงพยานในเหตุการณ์หลายปาก

"ปิดกั้นเสรีภาพสื่อ" คือการทำลายศักดิ์ศรีความเป็น"คนไทย"




https://www.youtube.com/watch?v=E_15EMtqIMc

"ปิดกั้นเสรีภาพสื่อ" คือการทำลายศักดิ์ศรีความเป็น"คนไทย"

jom voice

Published on Mar 31, 2017

ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการนิเทศศาสตร์ อดีตอาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ Thais Voice (ตอนสุดท้าย) เกี่ยวกับการริดรอนปิดกั้นสิทธิเสรีภาพสื่อโดยรัฐบาลทหารไทยว่า สื่อออนไลน์ในโลกโซเชี่ยลมีเดีย เป็นช่องทางรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับเพิ่มกฎหมายควบคุมเข้มข้นขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การปะทะทางความคิดระหว่างรัฐกับประชาชน ความเป็นรัฐ ต้องให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน และที่สำคัญต้องสร้างความศรัทธาเชื่อถือกับประชาชน ด้วยการเร่งสร้างผลงาน สร้างนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน ขณะเดียวกันองค์กรอิสระอย่าง กสทช.ก็ไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะผลประโยชน์แห่งรัฐเป็นสำคัญ แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญด้วย และเห็นด้วยที่องค์กรสื่อจะต้องรวมตัวกันต่อต้าน ร่าง พรบ.ควบคุมจริยธรรมสื่อ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สภาปฎิรูปประเทศ ในเวลานี้

.....

"คสช."ยุคอัสดงของสื่อไทย นักนิเทศศาสตร์เตือนคุมมากระวัง"ระเบิด"



https://www.youtube.com/watch?v=6qssQubNWZw

jom voice

Published on Mar 30, 2017

ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ อดีตอาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ Thaivoice (ตอนที่ 1) เกี่ยวกับการที่ บอร์ดคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือ กสท.มีมติพักใบอนุญาต สถานีโทรทัศน์วอซ์ทีวี.เป็นเวลา 7 วันว่า เป็นเรื่องเศร้าที่ผู้มีอำนาจรัฐพยายามปิดปาก และปิดหูปิดตาประชาชน ปฎิเสธไม่ได้ว่าคนทำสื่อยุคนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานทางการเมือง การวิเคราะห์ข่าวก็คือการตีความ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีความโน้มเอียง หรืออาจถูกมองว่าไม่เป็นกลาง แต่ก็ต้องอยู่บนหลักการของเหตุผล อยู่บนผลประโยชน์ของสาธารณะ และชวนให้ประชาชนตั้งคำถาม ตรวจสอบหา การที่รัฐบาลพยายามสร้างกลไกควบคุมสื่อให้เกิดความกลัว นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาเพราะจะทำให้ สื่อไม่สามารถสร้างสมดุลย์ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารได้ เพราะเสรีภาพในการทำงานของสื่อมวลชน จะเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่เห็นต่างกันได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ( ตอนสุดท้าย - ดร.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ จะวิเคราะห์บทบาทของ กสทช.องค์กรอิสระที่กำลังตกเป็นเครื่องมือของรัฐหรือไม่.. โปรดติดตาม )

ถอดความจากข้อเขียนในหนังสือพิมพ์ เดอะบางกอกโพสต์เรื่อง “บอสก้าวย่างสู่จุดสุดยอดของปิรามิดแห่งความอยุติธรรม”





อีกที ก้อง ฤทธิ์ดี ให้ข้อคิดเห็นเรื่อง ‘เดอะบอส’ แต่ไม่ใช่นักร้องอเมริกันนามอุโฆษ บรู๊ซ สปริงสทีน หากเป็นเดอะบอสเมืองไทยที่กำลังฮือฮาว่าสามารถสยบได้ทั้ง สนช. และอัยการ

ถอดความจากข้อเขียนในหนังสือพิมพ์ เดอะบางกอกโพสต์เรื่อง “บอสก้าวย่างสู่จุดสุดยอดของปิรามิดแห่งความอยุติธรรม”

(http://www.bangkokpost.com/…/boss-strides-atop-pyramid-of-i…)

เจ้านายลอยชายเดินเล่นสบาย เสี่ย ‘บอส’ นี่แหละที่เป็นเจ้านาย เสี่ยบอสละเลียดอาหารค่ำในฝรั่งเศส ไปเล่นสโนว์บอร์ดที่ญี่ปุ่น นอกจากเป็นจ้าวถนนแล้วยังตีรวนกฎหมาย บนปิรามิดแห่งชนชั้นนั้นเสี่ยบอสอยู่บนยอดสุด ในกระแสอาหารของความอยุติธรรมเสี่ยบอสเตือนความจำของพวกเรา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าใครกันล่ะที่เป็นเจ้านาย

ถ้ามนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกแล้วถามพวกเราว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร ก็ได้โปรดบอกเล่าเรื่องของเสี่ยบอสให้เขาฟังว่านั่นละใช่แล้ว





ดั่งกระทิงวิ่งโร่เข้าใส่มาตาดอร์ซึ่งเผลอไผล ทายาทกระทิงแดง วรวุทธ ‘บอส’ อยู่วิทยา โดนข้อหาขับรถชนตำรวจทองหล่อ วิเชียร กลั่นประเสริฐ ด้วยรถเฟอรรารี่สีดำตอนเช้าวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๕ ห้าปีหลังจากนั้นเขายังไม่ยอมไปพบอัยการ ห้าปีผ่านมาแล้วเขายังงานยุ่งเหลือเกินอย่างเคย เห็นได้ชัดว่าทนายที่แสนฉลาดของเขาใช้กลเม็ดเด็ดพรายขอเลื่อนเวลาการปรากฏตัว แล้วสิ่งที่ทำให้คนอย่างเราๆ เจ็บร้อนมากกว่าอะไร คนอย่างเราๆ ซึ่งวันใดวันหนึ่งอาจจะโดนย่ำยีโดยลูกเศรษฐีของกรุงเทพฯ อยู่ที่อัยการดูเหมือนจะไม่แยแสเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

เมื่อวันพฤหัสบดี สำนักงานอัยการสูงสุดพยายามเน้นให้เห็นว่าคดีนี้เอาอยู่ เลื่อนกำหนดการมอบตัวของบอสเป็นครั้งที่หกออกไปเป็น ๒๗ เมษายน พ่อเจ้าประคุณวรวุทธซึ่งขณะนี้อายุได้ ๓๒ ปี อ้างว่ายังงานยุ่งอยู่ในสหราชอาณาจักร เราไม่มีข้อกังขาแม้แต่นิดเลยว่าเสี่ยบอสจะต้องยุ่งอย่างแน่นอน หลังจากที่ข่าวเอพีรายงานให้เห็นว่าเขาตระเวณท่องเที่ยวไปทั่วโลก รับประทานอาหารจิบไวน์ ดำน้ำเล่นในสระ เริงร่าและเป็นปลื้มทุกนาฑีของการใช้ชีวิตในกะเปาะกำบังหุ้มห่อด้วยทรัพย์ศฤงคาร

มิติชีวิตของบอสช่างน่าโมโหเสียนี่กระไร คดีของเขาไม่ได้มีอะไรยุ่งยากนักหรอก พยานก็มี หลักฐานเต็มเพียบ ผู้ตายเป็นตำรวจ การพยายามเตะถ่วงเวลาเห็นได้ชัดแจ้ง สิ่งที่ทำให้หัวเสียมากขึ้นไปอีกอยู่ที่ เมื่อเราคิดถึงคนที่ถูกจับยัดใส่คุกจากคดีที่ความผิดไม่ได้ชัดแจ้งเท่าไร แต่ว่ามีความกระตือรือล้นและเร่งไม้เร่งมือของกฎหมายต่อคดีเหล่านั้นยิ่งนัก เป็นคดีที่เกี่ยวพันผู้ติดกับอยู่กับชั้นชนต่ำเตี้ยของกระแสอาแห่งความยุติธรรม

ครูคนหนึ่งติดคุกข้อหาขับรถชนคนทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเธอไม่ได้เป็นคนขับรถนั่น ภารโรงคนที่ถูกตัดสินมีความผิดฐานปล้นทรัพย์กลับได้พบกับคนขับตัวจริงในคุก (คนกระทำผิดตัวจริงเขียนจดหมายแจงความจริงด้วยความเห็นใจต่อภารโรงผู้นั้น) สองตายายสามีภรรยาถูกตัดสินความผิดฐานบุกรุกป่าสงวนเพียงเพราะเข้าไปเก็บเห็ด เรื่องทำนองนี้มีอีกเยอะแยะ

และแน่ละ จตุภัทร์ ‘ไผ่ ดาวดิน’ บุญภัทร์รักษา ถูกกักขังมาแล้วกว่า ๓ เดือนจากการที่แชรืบทความออนไลน์ ศาลปฏิเสธการประกันตัวเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าบ่อยครั้งพอๆ กับที่บอสเจ้ากระทิงได้รับการเลื่อนนำตัวขึ้นฟ้องศาล ไผ่ถูกขังคุกไม่กี่อาทิตย์หลังจากถูกข้อหากระทำผิด แต่บอสเป็นอิสระมาแล้ว ๕ ปี





บอกผมได้ไหมคดีไหนที่เกี่ยวกับการที่ตำรวจคนหนึ่งตาย

ถ้าหากมนุษย์ต่างดาวมาเที่ยวบางกอกละก็ ช่วยบอกเค้าหน่อยนะว่าหลักการความยุติธรรมของมนุษย์ที่นี่เอาแน่อะไรไม่ได้หรอก บางครั้งเป็นดั่งยาฉีดโลกันต์เข้าหัวปลิดชีพ บางรายล่าช้ากว่าจะมาถึงต้องรอจวบจนนิรันดร หรือกระทั่งหมดอายุความ สำหรับบอส เขามีเวลาอีก ๑๐ ปีก่อนที่ข้อหาขับรถระห่ำทำให้มีผู้เสียชีวิตจะฝ่อยกเลิกไป สำหรับคนที่มีเงินมากมาย อาศัยในคฤหาสน์ใหญ่โต นั่นไม่ถือว่านานเกินไปนัก

แต่อย่างน้อยเราควรที่จะเรียนรู้อะไรไว้บ้าง เมื่อปี ๒๕๕๗ ทีมทนายของบอสส่งจดหมายถึงอัยการร้องขอให้สืบพยานเพิ่ม ทนายของเขายังยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการกฎหมายและยุติธรรมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อเดือนธันวาคมที่แล้ว สนช. สภาที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งได้แจ้งให้อัยการทราบถึงการร้องเรียนขอความเป็นธรรมของเสี่ยบอส มันไม่แจ้งชัดเท่าไรนักว่ามีอะไรต่อท้ายบ้างในการแจ้งให้อัยการทราบโดยกรรมาธิการ สนช. ที่มีหน้าที่เพียงแค่ให้คำปรึกษา





ถึงอย่างนั้น นี่หมายความว่าใครจะยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมกับ สนช. ขอให้เลื่อนการนัดสืบพยานก็ได้ใช่ไหม โดยหวังไว้ว่า สนช. จะได้แจ้งต่อไปถึงอัยการ คดีของเสี่ยบอสเป็นคดีชนคนตายแล้วหนี ถ้าเรื่องอย่างนี้ลอยล่องไปได้อย่างราบรื่น กับองค์กรที่มีความเที่ยงธรรม เงินค่าตอบแทนสูง และไม่ขาดประชุมกันเสียเหลือเกินแล้วละก็ ข้อหาอาญาที่รุนแรงน้อยกว่า เป็นอาชญากรรมที่ไม่ทำให้เกิดการตาย น่าจะดูไว้เอาเป้นตัวอย่าง

เว้นแต่ไม่มีการดูตัวอย่างการตัดสินเป็นแบบแผน มีแต่ต้องยอมเจ้านาย

การรักษาไว้ซึ่งระเบียบกฎหมาย (นิติธรรม) เป็นเรื่องที่รัฐบาลสัญญาว่าจะจัดให้ โดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้อ้างอยู่เสมอว่าตนมีความซื่อตรงยิ่งกว่าใครๆ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นหลักฐานประจาน เรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ได้ทำโดยไม่ลำเอียง ความสัมพันธ์ระหว่างความมั่งคั่งร่ำรวยกับการทำความยุติธรรมให้ปรากฏ และเครือข่ายอิทธิพลอันก่อเกิดชนชั้นสูง ได้แก่ คนร่ำรวย คนมีเส้นสาย ชนชั้นนำทางการเมือง ทหาร ยิ่งเสียกว่าพลเมืองธรรมดาสามัญผู้เสียภาษี นอนรอความตายอยู่อยู่ริมทางเท้าอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายและเจ็บช้ำ

เช่นนี้ ผู้ที่เป็นเจ้านายหายมลทิน คนอื่นๆ นอกจากนั้น มีชีวิตอยู่ประดุจเศษแหลกละเอียดของขนมปังแห่งความยุติธรรม ที่มักจะมาถึงช้าอยู่เสมอถ้ายังดีที่มาได้

ooo



Let me speak for him! ... เมื่อ “ณฐพล บุญประกอบ” ถ่ายทำวิดีโอหนังสั้น 2 นาทีชื่อ “17” ถึง “ชัยภูมิ ป่าแส” เพื่อไม่ให้เรื่องของชัยภูมิจางหายไปกับกระแสข่าวร้ายอื่นๆ... จึงต้องช่วยกันชม และแชร์





ยิ่งโตขึ้น ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องจำเป็น ที่เราต้องตั้งคำถามต่อสังคมที่เราอยู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อบทบาทของเราเองในฐานะคนทำงานสร้างสรรค์

ไม่ใช่แค่ ‘บทบาท' แต่ผมคิดว่าเป็น ‘หน้าที่'

การได้มีโอกาสประกอบอาชีพทำงานสร้างสรรค์ ผมถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ที่ยืนอยู่บนความเสียสละของชนชั้นอื่นๆ เพราะต้นทุนชีวิตของเราไม่เท่ากัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องบาปบุญจากชาติก่อน แต่เป็นเพราะโครงสร้างและทัศนคติของคนในสังคมที่ไม่เอื้อให้เกิดความเท่าเทียม

จึงเกิดคำถามว่า

แล้วเราซึ่งมีสิทธิพิเศษนั้น ควรทำหน้าที่อย่างไร

เพื่อไม่ให้เรื่องของชัยภูมิจางหายไปกับกระแสข่าวร้ายอื่นๆ

เพื่อไว้เตือนตัวเอง ว่าเราเป็นพยานที่เย็นชาต่อความชิบหายทางสามัญสำนึกที่เกิดขึ้นตรงหน้า

#ชัยภูมิป่าแส #ชัยภูมิสุดท้าย


Nottapon Boonprakob

.....




เรื่องเกี่ยวข้อง...

ปมวิสามัญฯ 'ชัยภูมิ ป่าแส' ทหารแจงเปิดภาพกล้องวงจรปิดไม่ได้ เหตุใช้เป็นพยานในศาล
ประชาไท


ปธ.ชมรมสื่อส่งเสริมพุทธฯ ยื่น ผอ.สำนักเลขามหาเถรสมาคม สอบ ผอ.สำนักพุทธฯ ปม สนทนากิจการคณะสงฆ์กับพุทธอิสระ-อ้างอิง พรบ.สงฆ์เสนอพระสังฆราชลงนามไม่ถูกต้อง





ปธ.ชมรมสื่อส่งเสริมพุทธฯ ยื่น ผอ.สำนักเลขามหาเถรสมาคม สอบ ผอ.สำนักพุทธฯ ปม สนทนากิจการคณะสงฆ์กับพุทธอิสระ-อ้างอิง พรบ.สงฆ์เสนอพระสังฆราชลงนามไม่ถูกต้อง


Mar 31, 2017
ที่มา คมข่าว


เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2560 นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมพระพุทธศาสนา ได้ยื่นหนังสื่อพร้อมแผ่นซีดีบันทึกคลิปวีดีโอการสนทนาระหว่าง พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) และพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือ พุทธะอิสระ ถึง นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ในกรณีสนทนาหารือส่วนตัวกับบุคคลภายนอกที่มิใช่ราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระวัดอ้อน้อย (พุทธอิสระ) อันเกี่ยวกับการบริหารกิจการคณะสงฆ์ และหนังสือที่เสนอต่อสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ลงพระนามฉบับแรกอ้างอิงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไม่ถูกต้อง ณ ที่ทำการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม พุทธมณฑล










ooo

ไม่ไว้ใจ ผอ.สนพ ตัวแทนพุทธ.ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมพระพุทธศาสนาร้อง ออมสิน รมต.ประจำ สนง นายก



https://www.youtube.com/watch?v=vTusWwNYQJQ

Phra Sitthisak Sirinuntho

Published on Mar 27, 2017

#ไม่ไว้ใจ ผอ.สนพ ตัวแทนพุทธ.ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมพระพุทธศาสนาร้อง ออมสิน รมต.ประจำ สนง นายก...

ประพฤติหน้าที่โดยมิชอบ ขาดความเข้าใจเรื่องพระศาสนาเพราะขาดองค์ความรู้เรื่อง พระพุทธศาสนา เพราะ ผอ.มิใช่ศิษย์วัดและมิได้ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามอำนาจหน้าที่ที่พึงมีปฏิบัติ ทั้ง 7 ประการ 1. ดำเนินการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยะฐานะผู้สำเร็จวิชาทางพระพุทธศาสนา รวมั้งร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2. รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการและการบริหารการปกครองคณะสงฆ์ 3. ดำเนินการตามนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา 4. ส่งเสริม ดูแล รักษา และทำนุบำรุงศาสนสถาน และศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา 5. ดูแล รักษา และจัดการวัดร้าง และศาสนสมบัติกลาง 6. ทำนุบำรุงพุทธศาสนศึกษา เพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม 7. ปฏิบัติอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี มอบหมายในระดับจังหวัด

แต่กลับปฏิบัติหน้าทีทำขัดต่อหน้าที่ของตัวเองด้วยการลิดรอน ข่มเหง ละเมิด สิทธิ ทางพระพุทธศาสนาโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ที่มีและอำนาจรัฐมิได้สนองงาม มส. แต่มีหน้าที่สนองงานรับใช้มหาเถรสมาคมดังที่ควรจะพึงปฏิบัติ

แต่กลับกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา ด้วยการ สมรู้ร่วมคิดกับบุคคลนอกที่ไม่ใช่ มส.และใช้อำนาจหน้าที่ที่มี ให้มีการแต่งตั้งพระนอกวัดมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

ซึ่งขัดต่ออำนาจหน้าที่ของตนเองซึ่งต้องมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาและสนองงานรับใช้มหาเถรสมาคม

แต่กลับออกคำสั่งขอแกมบังคับให้เป็นมติ มส.บังคับให้เจ้าคณะผู้ปกครองแต่งตั้งพระนอกวัดมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

ซึ่งเป็นการใช้อำนาจข้ามเขต เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยอาศัยอำนาจ ที่มี

สรุปว่า

ผอ สนพ ทั้งละเมิดและละเว้นหน้าที่ของตนเองโดยแท้
และเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในกรณีของวัดพระธรรมกาย เพรา ย้ายข้ามห้วยมาจาก DSI เคยทำคดีของวัดธรรมกายกับสมเด็จช่วงวัดปากน้ำมาก่อน ซึ้งถือว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน จึงไม่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนี้สืบไปด้วยประการทั้งปวง เสนอเพื่อพิจารณา...

พระอาจารย์สิทธิ์ศักดิ์ สิรินันโท
...อดีตที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการศาสนาศิลปะวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช)
...ที่ปรึกษาสมาคมความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
...ที่ปรึกษาชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมพระพุทธศาสนา

==========================================

#ที่พิเศษ 01/2560 ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมระพุทธศาสนา 58 / 3 ถนนพระยาสุเรนทร์ ซอย 6 แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. 10510พ 27 มีนาคม 2560

เรื่อง ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) (พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสนห์)

สิ่งที่ส่งมาด้วย

1. คลิปการสนทนาข้อราชการระหว่าง ผู้อำนวยการสำนักงานฯ กับพุทธอิสระ

2. ประกาศมหาเถรสมาคม เรื่องหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินอุดหนุนวัดที่ได้รับจาก องค์กรปกครองท้องถิ่น (ครั้ง 1/2560)

กราบเรียน ฯพณฯ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายออมสิน ชีวะพฤกษ์) 

สืบเนื่องการปฏิบัติหน้าที่ส่วนงานราชการของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) (พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสนห์) มีข้อสงสัยว่าบกพร่องหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และขาดศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ในตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือไม่อย่างไร ซึ่งราชการระดับสูงข้าราชการในตำแหน่งผู้อำนวยการพุทธศาสนาฯ ปัจจุบันนี้

ประเด็นข้อบกพร่องในอำนาจหน้าที่ในส่วนราชการคือ 

(1) สนทนาหารือส่วนตัวกับบุคคลภายนอกที่มิใช่ราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระ วัดอ้อน้อย (พุทธอิสระ) อันเกี่ยวกับการบริหารกิจการคณะสงฆ์ 

(2) หนังสือที่เสนอต่อสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ลงพระนามฉบับแรกอ้างอิง พ.ร.บ.สงฆ์ไม่ถูกต้อง 

ด้วยผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่เรียกว่า การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นตำแหน่งสำคัญยิ่งในส่วนราชการ ในฐานะเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2535 (แก้ไข 2505) ซึ่งต้องมีหน้าที่หลักในการสนองงาน มหาเถรสมาคมและกิจการของคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร ตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งนี้การบริหารสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนปัจจุบัน นับได้ว่ามีข้อบกพร่อง ขาดคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม และ วินัยราชการ อันเป็นการบกพร่องในหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ จึงนับเป็นความกังวลใจของคณะสงฆ์ หมู่ชาวพุทธศาสนิกชน ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก 

ทั้งนี้ หากไม่มีตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ส่วนราชการของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดังกล่าวแล้ว อาจก่อให้ก่อเกิดความเสียหายต่อมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นองค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด อันมีเจ้าประคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นประธานกรรมการ รวมทั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อพระพุทธศาสนาโดยรวม โดยเฉพาะสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งเป็นส่วนงานราชการสำคัญยิ่งที่มี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีกำกับดูแล 

ดังนั้น ในนามพุทธบริษัท องค์กรทางพระพุทธศาสนา จึงขอกราบเรียนมายัง ฯพณฯ ท่าน โปรดได้ดำเนินการตรวจสอบสาระสำคัญการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความถูกต้องชัดเจน ในการบริหารงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อมหาเถรสมาคม และคณะสงฆ์โดยรวม จักกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่ง 

ขอแสดงความนับถือ 

(นายวิชัย ประเสริฐสุดสิริ) ประธานชมรมสื่อมวลชน..



Waiting for Godot Ma (Jack Ma)... ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ของไทย ในเดือนก.พ.60 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสี่เดือน โดยลดลง 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน





เหนือความคาดหมาย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ของไทย ในเดือนก.พ.60 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสี่เดือน โดยลดลง 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนี MPI ได้แก่ รถยนต์ปรับตัวลดลง 9.34% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน สาเหตุจากการส่งออกรถยนต์ลดลง ในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลางที่เป็นตลาดส่งออกหลัก ผลิตภัณฑ์ยางปรับตัวลดลง 9.30% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ปรับตัวลดลง 12.67% น้ำมันปิโตรเลียม ปรับตัวลดลง 9.16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (ลดลง 24.32% จากเดือนก่อน) (http://www.ryt9.com/s/iq03/2625817)

ทั้งหมดหมายความว่าโอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม (สามในสี่ของรายได้ทั้งหมด) ยังเรือนลางครับ คงแย่ไปอีกปีแน่นอน #เศรษฐกิจดี๊ดี คงต้องรอให้นายแจ็คหม่ามาช่วยน่ะ

http://www.reuters.com/…/thailand-economy-output-idUSB7N1F7…
http://www.tradingeconomics.com/thail…/industrial-production



Pipob Udomittipong


ooo


BANGKOK, March 31 Thailand's industrial output declined for the first time in four months in February due to weaker production of autos, rubber, air-conditioners and petroleum products, suggesting a fragile economic recovery.

The Industry Ministry said on Friday its manufacturing production index (MPI) in February dropped 1.5 percent from a year earlier. A Reuters poll had forecast a rise of 0.55 percent. 

 In January, the index rose a revised 2.19 percent from a year earlier. 

 Industrial goods accounted for 80 percent of total exports, which declined 2.8 percent in February from a year earlier after January's 8.8 percent rise, customs data showed. 

Exports, which account for about two-thirds of Thailand's economy, are traditionally a key driver of the country's growth. 

Capacity utilisation at factories was 60.10 in February, little changed from a revised 60.67 percent in January. 

The Bank of Thailand on Wednesday raised its economic growth forecast to 3.4 percent this year from 3.2 percent, with exports rising 2.2 percent. 

Southeast Asia's second-largest economy expanded 3.2 percent last year. 

Data from Thailand's Office of Industrial Economics, part of the Industry Ministry. (not seasonally adjusted) 




 (Reporting by Satawasin Staporncharnchai; Writing by Orathai Sriring; Editing by Gopakumar Warrier and Sunil Nair)


Source: Reuters
http://www.reuters.com/article/thailand-economy-output-idUSB7N1F701N


คุณธรรมที่ควรตระหนักยิ่ง...





"อาย"เป็นคุณธรรมที่ควรตระหนักยิ่ง แต่ต้องอายในสิ่งที่ไม่ถูก ไม่ต้อง หากใครสำเหนียกและทำได้ก็จะมีความเจริญทั้งตนเองและสังคม ทั้งปัจจุบันและอนาคต 

หากรัฐบาลคุณประยุทธ์เปลี่ยนนโยบาย"ไทยแลนด์ 4.00" มาเป็น "อาย 4.00" ก็จะทำให้คุณประยุทธ์และพันธมิตร"เงยหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน"แต่นั้นหมายความว่าคุณประยุทธ์และพันธมิตรต้องทำคะแนนว่าด้วยการ"อาย"ได้เต็ม"4.00"นะครับ

ผมไม่ได้หมายความว่าให้"อายที่ทำไม่ได้"แต่ผมหมายถึง"อายที่ได้ทำมาแล้ว"ต่างหาก

แค่เขียนมานี่ ผมยัง"อาย"แทนเลย


Somrit Luechai

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ : สาเหตุสำคัญที่ขบวนเสื้อแดงล่มสลาย...เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามมีกำลังเข้มแข็งกว่าอย่างเทียบไม่ได้ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ไม่ทั้งหมด สาเหตุสำคัญอีกข้อคือ การไม่ยอมสรุปบทเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทเรียนเกี่ยวกับทักษิณ





หลายคนเชื่อว่า ความล่มสลายของขบวนเสื้อแดงเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามมีกำลังเข้มแข็งกว่าอย่างเทียบไม่ได้ ซึ่งก็เป็นความจริง แต่ไม่ทั้งหมด

สาเหตุสำคัญอีกข้อที่ทำให้ขบวนเสื้อแดงพ่ายแพ้คือ การไม่ยอมสรุปบทเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทเรียนเกี่ยวกับทักษิณ

ทักษิณมีฝีมือบริหารอย่างมาก สร้างปย.แก่ปชช.ไว้หลายเรื่อง แต่หลังรปห.49 ถึงปัจจุบัน ทักษิณเข้าขั้น "ห่วยแตกและทรยศต่อปชช." คือ ใช้ปย.จากมวลชนที่สู้จนติดคุกบาดเจ็บล้มตายหลายพันคนเมื่อปี 53 เอาพลังมวลชนไปกดดันให้อีกฝ่ายจำยอมเกี้ยเซี้ย โดยนึกไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะใช้กำลังฆ่าปชช.ตายเป็นเบือ (ก็เพราะนึกไม่ถึง แกจึงได้กล้าพูดว่า "ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงปชช. ผมจะเข้าไปนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯทันที!")

แต่พอแพ้ปี 53 ทักษิณก็กลับลำ จากเอามวลชนไปกดดัน ก็เปลี่ยนเป็นเอามวลชนไปขาย แลกกับการเกี้ยเซี้ยจากอีกฝ่าย ประกาศสลายขบวนคนเสื้อแดงกลางราชประสงค์เมื่อ พ.ค.55 ("พี่น้องไม่ต้องแบกเรือมาขึ้นบกตามผม") ไปแลกกับการประนีประนอมจากฝ่ายนั้นในรูป พรบ.ปรองดอง ครั้งที่หนึ่ง ซึ่งล้มเหลว

แต่ก็พยายามอีกครั้งด้วยพรบ.ปรองดองฉบับลักหลับปี 56 ก่อให้เกิดความแตกแยกรุนแรงภายในขบวนคนเสื้อแดง ก็เพื่อแลกกับการเกี้ยเซี้ยจากฝ่ายนั้นอีกครั้ง พอเกิดกปปส. ก็ระดมคนเสื้อแดงซึ่งกำลังแตกแยกออกมาปกป้องรบ.ยี่งลักษณ์อีก แต่ไม่คิดจะปกป้องคนเสื้อแดงเหล่านั้น จนมีคนบาดเจ็บและตายเพิ่มอีกที่สนามกีฬาราชมังคลา

สำหรับทักษิณ มวลชนเสื้อแดงก็เป็นเพียง "เบี้ยในมือ" เอาไว้บลัฟ เอาไว้ต่อรองกับอีกฝ่าย และถ้าได้ "ดีล" เหมาะ ๆ มีสิ่งแลกที่คุ้มค่า ก็พร้อมที่จะ "โยนไปแลก" เหมือนกับวิธีต่อรองทางธุรกิจนั่นแหละ

วันนี้ บ้านเมืองกลายเป็นเผด็จการทหารที่เลวร้ายที่สุด ประเทศถอยหลังตกต่ำเสียหายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มีนักโทษการเมืองและคดีการเมืองเพิ่มเป็นทวีคูณ ทักษิณมีส่วนรับผิดชอบอย่างสำคัญและปฏิเสธไม่ได้

วันนี้ จึงไม่ใช่ "ก้าวข้ามทักษิณ" ด้วยการไม่พูดถึง แต่ต้อง "วิพากษ์ทักษิณ" อย่างตรงไปตรงมา ถอดถอนบทเรียน จึงจะเดินหน้าต่อไปได้



พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ooo




https://www.facebook.com/wirat.numbertwo.1/videos/220617395082616/

'ประวิตร' ค้านจัดรำลึกสูญเสีย 'เมษา53' ชี้ไม่เหมาะสม

'ประวิตร' ไม่เห็นด้วยจัดรำลึกสูญเสีย เมษา ปี 53 ชี้ไม่เหมาะกับสถานการณ์ประเทศ

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เห็นด้วย ที่กลุ่มผู้สูญเสียจะจัดงานรำลึก 10 เมษายน 2553 เหตุการณ์สลายชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว โดยให้เหตุผลว่า ไม่เหมาะสมกับสถานกาณณ์ขณะนี้

การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 มีเป้าหมายเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ เหตุสลายการชุมนุมครั้งนั้น ทำให้มีผู้เสียชีวิต 27 ราย เป็นพลเรือน 22 ราย เจ้าหน้าที่ทหารอีก 5 นาย บาดเจ็บจำนวน 863 คน เป็นพลเรือน 519 คน ทหารและตำรวจ 344 นาย

ที่มา Voice TV