
สถานีคิดเลขที่ 12 : กลับสู่ ‘ความเป็นจริงทางการเมือง’ โดย ปราปต์ บุนปาน
11 สิงหาคม 2568
มติชนออนไลน์
เราเปิดพื้นที่ให้ “ทหาร-กองทัพ” นำประเทศมาพักใหญ่ ในช่วงวิกฤตการณ์ตรงชายแดนไทย-กัมพูชา เช่นเดียวกับที่ผู้คนในสังคมก็พลอยอินกับกระแส “ทหารนำการเมือง” ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวิกฤตดังกล่าวเริ่มสงบลง (แม้อาจไม่ยุติอย่างสิ้นเชิง แต่ต้องตามแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง-เจรจาต่อรองกันไปเรื่อยๆ) คนไทยและสังคมไทยก็ได้เวลาหวนคืนสู่ “ความเป็นจริงหลัก” หรือ “โจทย์ปัญหาหลัก” ของตนเอง
นั่นคือเราจะเอาอย่างไรกับ “การเมืองไทย” ดี?
การเมืองไทยปลายทศวรรษ 2560 ที่ “ไม่นิ่ง” และ “ไร้เสถียรภาพ” คือต้นตอของปัญหาแทบทุกอย่าง
กระทั่งปัญหาที่เรามองว่าเกิดขึ้นจากภายนอก อย่างเรื่องไทย-กัมพูชา ก็ลุกลามไปไกลเพราะความผันผวนทางอำนาจของสังคมการเมืองไทยเอง
เช่นเดียวกับปัญหาเศรษฐกิจ (ซึ่งไม่ได้มีแค่เรื่องตัวเลขภาษี 19 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอเมริกา) ที่ในภาพรวมยังไม่มีวี่แววกระเตื้องขึ้น เนื่องจากคนฐานรากของสังคมยังคงไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยสร้างเนื้อสร้างตัว
ขณะที่ผู้นำในภาคการเมืองและเศรษฐกิจก็ยังช่วยกันหา “จุดเปลี่ยนใหม่” ทางเศรษฐกิจของประเทศไม่เจอ ท่ามกลางสภาวะที่เครื่องจักรหลักตัวเดิม-จุดขายเก่าอย่าง “การท่องเที่ยว” ลดศักยภาพลงไปอย่างมหาศาล
ปัญหาการเมืองไทย (อันนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ) มีจุดศูนย์กลางอยู่ตรงเรื่อง “วิกฤตผู้นำ” หรือ “วิกฤตอำนาจนำ”
ก่อนหน้านี้ ที่เรายังมี “ผู้นำอย่างเป็นทางการ” ปัญหาก็มีอยู่ว่าคนเป็น “ผู้นำ” ไม่สามารถนำประเทศได้ ทั้งเพราะความสามารถส่วนตัว ศักยภาพของทีมงานแวดล้อม ตลอดจนกลไกระบบที่พิกลพิการ
แทนที่ปัญหาข้างต้นจะได้รับการแก้ไขหรือหาทางออก ด้วยวิถีทางปกติในระบอบประชาธิปไตย ทุกอย่างกลับ “ยุติลงชั่วคราว” ด้วยอำนาจพิเศษขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ที่ถูกเขียนขึ้นเพราะไม่ไว้วางใจนักการเมืองและประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงเลือกนักการเมือง-พรรคการเมือง เข้าไปทำหน้าที่แทนพวกตน
นี่จึงเป็น “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ที่ยุ่งเหยิงซับซ้อนขึ้นไปอีก
ณ ห้วงเวลา ที่สังคมไทยอินเรื่องปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา คนจำนวนไม่น้อยหันกลับไปให้เครดิต “กองทัพ” จนสามารถตอบคำถาม “ทหารมีไว้ทำไม?” ได้อย่างฉะฉาน (โดยไม่เข้าใจนัยความหมายจริงๆ ของคำถามดังกล่าว และประเด็นที่ผู้ตั้งคำถามนี้ต่อสาธารณะเป็นคนแรกทดลองเสนอคำตอบเอาไว้)
ทั้งยังตั้งคำถามถึงบทบาทที่หายไปของ “พวกนักการเมือง” ได้อย่างถนัดปากถนัดคำ
อย่างน้อยที่สุด เครือข่าย/กองเชียร์ของกองทัพ (ในรูปแบบเพจต่างๆ) ก็พากันรับลูก แล้วพร้อมใจดิสเครดิตนักการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
กระนั้นก็ตาม ในความเป็นจริง กองทัพคงไม่สามารถ “นำการเมือง” หรือ “นำประเทศ” ไปได้ตลอดรอดฝั่ง บทพิสูจน์ คือ พวกเขาเคยได้รับโอกาสนี้มาแล้วเกือบหนึ่งทศวรรษ และทำให้หลายคนตระหนักดีว่านั่นกลับกลายเป็น “ทศวรรษที่สูญเปล่าและน่าเสียดาย” ของสังคมไทย
เนื่องจากทหารไม่ได้มีวิสัยทัศน์กว้างขวางพอจะจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจหรือภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก พวกเขาไม่ได้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยไปเสียทุกๆ เรื่อง พวกเขาไม่ได้ถูกฝึกฝนให้มาแก้ไขปัญหาสังคมอีกหลายต่อหลายอย่าง (เช่น ปัญหาการศึกษา)
คนที่จะต้อง “นำสังคมไทยในระยะยาว” จึงควรเป็น “บุคลากรจากภาคการเมือง”
จุดท้าทายในช่วง 1-2 ปีนี้ (ก่อนการเลือกตั้งใหญ่และฉันทามติใหม่จากประชาชนจะมาถึง) ก็คือ บรรดานักการเมือง และผู้มีอำนาจที่มีส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองกลุ่มอื่นๆ ต้องหาข้อตกลง-บทสรุปกันให้ได้ว่า จะเอาใครมาเป็น “ผู้นำทางการเมือง” และอยากให้ “การเมืองนำประเทศ” ไปสู่ทิศทางไหน?
ปราปต์ บุนปาน
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.matichon.co.th/politics/thinkstation-12/news_5317179