วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 22, 2568

ถึงรัฐบาล "ทำหน้าที่รัฐบาลหน่อย ทำหน้าที่ปกป้องประชาชน ปกป้องอธิปไตยหน่อยเถอะ"


The Reporters 
5 hours ago
·
QUOTE:"ทำหน้าที่รัฐบาลหน่อย ทำหน้าที่ปกป้องประชาชน ปกป้องอธิปไตยหน่อยเถอะ ชาวเชียงรายขอเรียกร้องรัฐบาลเจรจาหยุดเหมืองในเมียนมาทันที ก่อนจะกลายเป็นหายนะมลพิษข้ามพรมแดนที่รุนแรงที่สุดในภูมิภาคนี้"
เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ International Rivers กล่าวถึงสถานการณ์สารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง จ.เชียงราย ซึ่งจากการตรวจ 3 ครั้งโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อม และควบคุมมลพิษที่ 1 (จังหวัดเชียงใหม่) ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ถึงเดือนเมษายน พบสารหนูทั้ง 3 ครั้งและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่ บ้านท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ พบค่าสารหนูเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และแม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ที่ อ.เชียงแสน ก็พบเช่นเดียวกัน
"แนวโน้มสารหนูและโลหะหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าเหมืองแร่ทองคำ แรร์เอิร์ธ ยังไม่ยุติลงทำให้การปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีภาพถ่ายดาวเทียมว่ามีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ จะมีสารแคคเมียมตามมาหรือไม่ ถ้านายกฯ จะสั่งให้กระทรวงทรัพย์ฯ กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ปัญหาคงไม่เพียงพอ"
เพียรพร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ต้องพูดว่า ต้องยุติต้นกำเนิดมลพิษนี้ ยุติการทำเหมือง เพื่อมาดูว่าจะทำอย่างไรแก้ปัญหาได้ เพราะการแก้ระบบนิเวศน์ต้องใช้เวลาหลายปี จากข้อมูลที่พบว่ามีการทำเหมืองทองคำในแม่น้ำกก และมีภาพทำเหมืองในแม่น้ำสาย และยังพบเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ในรัฐฉานเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ยังเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์ ถ้ารัฐบาลไทยไม่พูดเพื่อปกป้องประชาชนและสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่น่าห่วง
"อย่างดิฉันทำงานแม่น้ำโขงมา 20 กว่าปี ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะพบสารหนูที่กลางแม่น้ำโขงที่เชียงแสน ที่คนจับปลามาพบปลาแข้ เป็นตุ่มพุพอง พบทุกวัน แล้วถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนที่ใช้น้ำ ประปา ต้องหมดเงินเท่าไหร่ที่ผลิตน้ำให้ดีพอ ดังนั้นวันเดียวก็รอไม่ได้ รัฐบาลต้องแสดงจุดยืนว่ามีนโยบายแก้ปัญหานี้มาทันที"
เพียรพร ระบุว่า ตั้งแต่เกิดเหตุโคลนถล่มที่อ.แม่สาย และเมืองเชียงราย เมื่อปลายปีที่แล้ว ทิ้งโคลนมหาศาล ชาวบ้านก็คิดว่าเกิดอะไรขึ้นที่ต้นน้ำ คิดว่ามีการปลูกยางพารา เปิดหน้าดินหรือไม่ทำให้เกิดน้ำปาดินโคลนถล่ม แต่ผ่านมาในเดือนม.ค. และ ก.พ. ก็พบว่าน้ำยังสีขุ่นข้น ผิดปกติ จนกระทั่งมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ พบว่ามีเหมืองทองคำอยู่ต้นแม่น้ำกก เราต้องขอบคุณชาวแม่อาย และมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ที่เปิดเผยข้อมูล จนนำไปสู่การยื่นหนังสือร้องเรียนรัฐบาล และกรมควบคุมมลพิษเข้าไปตรวจคุณภาพน้ำและพบว่าสารหนูเกินมาตรฐาน
"แต่ผ่านมา 3 เดือน ยังไม่เห็นรัฐบาล แก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม หรือเร่งแก้ปัญหาที่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจไปกับประชาชน เราไม่พบว่านายกฯ ออกมาดูพื้นที่ว่าเกิดอะไรขึ้น มารับรู้ความทุกข์ของประชาชน จะปล่อยให้ชาวเชียงราย 1.2 ล้านคน ต้องเผชิญชะตากรรมกับสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อ นี่เป็นแค่ปีที่ 1-2 ของหายนะ เราอาจกลายเป็นแหล่งมลพิษข้ามพรมแดนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ก็เป็นไปได้ถ้าปล่อยไปแบบนี้"
เพียรพร ระบุด้วยว่า การบอกว่าค่าสารหนูเกินมาตรฐานเพียงเล็กน้อย ไม่มีปัญหาควบคุมได้ ไม่ได้ทำให้ปัญหาจบลง อยากให้รัฐบาลและภาครัฐ รับรู้ความทุกข์ของประชาชน แก้ปัญหาโดยเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาให้หยุดการทำเหมือง การกดดันการค้า หรือการทหาร สามารถทำได้ ถ้าคุณไม่ปกป้องประชาชนไทย ต้องถามว่าปกป้องอะไรอยู่
สำหรับข้อเสนอในการจัดการปัญหาอย่างเร่งด่วน เพียรพร กล่าวว่า ขั้นที่ 1 รัฐบาลต้องเจรจากับพม่ากับว้าและจีนว่าเกิดอะไรขึ้น จะต้องมีวิธีการเจรจากดดัน ถ้าเห็นว่าความปลอดภัยของประชาชนสำคัญที่สุด
"ต้องยุติการทำเหมืองในทันที แล้วศึกษา ต้องหยุดก่อน ทำหน้าที่รัฐบาลหน่อย ทำหน้าที่ปกป้องประชาชน ปกป้องอธิปไตยหน่อยเถอะ
เราต้องหยุดมันเดี๋ยวนี้ คุยกับเขาว่าจะทำอย่างไร ต้องเจรจาระหว่างประเทศ ทำเถอะค่ะ"
เพียรพร กล่าวย้ำว่า ชาวเชียงราย ต่างเป็นกังวลที่หน่วยงานรัฐ บอกว่าค่าสารหนูเกินมาตรฐานเล็กน้อย หลีกเลี่ยงการสัมผัส แล้วจะยังไง แม่น้ำที่เราเคยใช้ ได้แค่มองเหรอ มันคือมลพิษที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแล้วนะ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย
เพียรพร เปิดเผยด้วยว่า ชาวเชียงรายเตรียมแสดงพลัง อยากเห็นว่ามีการแก้ไขมากกว่าการออกประกาศของเทศบาล ของอบต.ห้ามดื่มกิน ห้ามเก็บพืชผัก เราเห็นหน่วยงานท้องถิ่น จังหวัดทำเต็มที่แล้วในระดับหนึ่ง แต่รัฐบาลทำอะไรหรือยัง โดยจะรวบรวมรายชื่อถึงรัฐบาลให้ยุติการทำเหมืองทำที และจะออกมารณรงค์ในวันที่ 24 พ.ค.นี้
"คนเชียงรายเชื่อว่าเราเป็นตัวแทนคนไทย ถ้ารัฐบาลปกป้องคนเชียงรายไม่ได้ สิ่งนี้จะเกิดกับทุกคนในอนาคต แสดงว่าเขาเพิกเฉยต่อสิ่งแวดล้อมที่สะอาด"
เพียรพร กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 5 มิ.ย.เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ชาวเชียงรายก็จะมาแสดงออกระดมพลังให้ได้ 10,000 คน รณรงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกว่าต้องการแหล่งน้ำที่สะอาด เราจะไม่อยู่เฉย จะไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำ และอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง
รายงาน : ฐปณีย์ เอียดศรีไชย
.....


ESG Universe
Yesterday
·
ป่าไทยร่อยหรอ! เมื่อทุนจีน บุกป่าสงวนปลูกทุเรียนกว่า 50,000 ไร่ หวังครอบครองอุตสาหกรรมทุเรียน
.
จากการสำรวจของกรมป่าไม้ในปี 2023 พบว่า พื้นที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุกเพื่อปลูกทุเรียนมีมากกว่า 50,000 ไร่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1 และ 2 ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศ
ทุเรียนไทยเป็นทองคำเขียวที่ทุนจีนกำลังเข้ามายึดครอง แต่อะไรคือราคาที่แท้จริงที่ประเทศไทยต้องจ่าย? เมื่อผืนป่าสงวนนับหมื่นไร่ถูกแปรสภาพเป็นสวนทุเรียน ใครคือผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริงจากการส่งออกผลไม้มงคลมูลค่ามหาศาลนี้?
มีใครเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า ทำไมคนไทยต้องแย่งกันซื้อทุเรียนในราคาแพงลิบ ทั้งที่เราเป็นแหล่งผลิตใหญ่ของโลก? หรือว่าเราทุกคนกำลังเป็นเพียงผู้ชมการเปลี่ยนมือของทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่า จากป่าไม้ของชาติสู่แปลงเพาะปลูกของนายทุนต่างชาติ?
การรุกคืบที่เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ นี้จะนำไปสู่วิกฤตที่ซ้อนทับกันทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารของไทยได้อย่างไร? และเราจะมีทางออกให้กับปัญหาซับซ้อนนี้หรือไม่?
.
พื้นที่วิกฤต การบุกรุกโดยทุนจีนทั่วประเทศไทย
การบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อปลูกทุเรียนโดยนักลงทุนชาวจีนมีการกระจายตัวในหลายจังหวัดทั่วประเทศไทย โดยพื้นที่วิกฤตที่พบการบุกรุกมากที่สุด ได้แก่
1. ภาคตะวันออก จันทบุรี ระยอง และตราด - พื้นที่ดั้งเดิมของการปลูกทุเรียนคุณภาพของไทย
2. ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน และแม่ฮ่องสอน - พบการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก
3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ - พบการเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวและพืชไร่เป็นสวนทุเรียน
4. ภาคใต้ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมธาน และยะลา - พบการขยายพื้นที่ปลูกทุเรียนเข้าไปในเขตป่าสงวน
จากการสำรวจของกรมป่าไม้ในปี 2023 พบว่า พื้นที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุกเพื่อปลูกทุเรียนมีมากกว่า 50,000 ไร่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1 และ 2 ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศ
.
วิธีการถือครองที่ดินของทุนจีนมี 4 รูปแบบหลัก
จากการตรวจสอบพบว่า ทุนจีนมีรูปแบบการดำเนินการที่ซับซ้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่เพาะปลูก
1. การใช้นอมินี (Nominee) ใช้คนไทยเป็นตัวแทนในการถือครองที่ดินเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ
2. การทำสัญญาเช่าระยะยาว ทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว 30-50 ปี กับเกษตรกรไทยที่ประสบปัญหาทางการเงิน
3. การตั้งบริษัทร่วมทุน จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับนักธุรกิจไทยเพื่อเข้าถึงพื้นที่เกษตรกรรม
4. การใช้เทคนิคทางกฎหมาย บางกรณีมีการสวมสิทธิ์ในเอกสารสิทธิ์ที่ดินหรือการขยายแนวเขตพื้นที่เพาะปลูกเข้าไปในเขตป่าสงวนโดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย
กระบวนการซื้อที่ดินมักดำเนินการผ่านนายหน้าซึ่งเป็นผู้นำท้องถิ่น เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เนื่องจากรู้จักพื้นที่และเจ้าของที่ดินเป็นอย่างดี โดยได้รับค่าตอบแทนประมาณ 3,000-5,000 บาทต่อสัญญา
.
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
1. ด้านการตลาด ทุนจีนพยายามควบคุมกลไกการตลาดทุเรียนในทุกขั้นตอน ทั้งต้นน้ำ (ผู้ผลิต) กลางน้ำ (ล้งรับซื้อผลผลิต) และปลายน้ำ (ตลาดปลายทาง) ปัจจุบันมีทุเรียนนำเข้าจีนเป็นพันตู้คอนเทนเนอร์ต่อวัน มูลค่าประมาณ 1.5-3 ล้านบาทต่อตู้ สะท้อนมูลค่ามหาศาลของตลาดทุเรียนที่ทุนจีนกำลังผูกขาด
2. ด้านสิ่งแวดล้อม สวนทุเรียนของทุนจีนมีการใช้น้ำและสารเคมีอย่างเข้มข้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรรอบข้างและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังพบการบุกรุกพื้นที่ป่าและเขตชลประทานเพื่อทำสวนทุเรียน โดยเฉพาะที่จังหวัดตราด
3. ด้านเศรษฐกิจ ล้งไทยซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 10% อาจต้องปิดกิจการ เนื่องจากแทบไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ต่างจากล้งจีนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่
.
วิกฤตที่ไทยต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
วิกฤต "วิมานหนาม" หรือ “สวนทุเรียนในป่าสงวนของทุนจีน” เป็นประเด็นใหญ่ที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างหลายด้าน ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การบริหารจัดการที่ดิน และการควบคุมการลงทุนจากต่างชาติ หากปล่อยให้ทุนจีนควบคุมกลไกตลาดทุเรียนทั้งระบบ นอกจากความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังอาจนำไปสู่การสูญเสียความมั่นคงทางอาหารและการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรไทยในระยะยาว การแก้ไขปัญหาจึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและเป็นระบบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
.....


https://www.facebook.com/watch/?v=1325219018561150
https://www.facebook.com/photo?fbid=1064163159239052&set=a.534942252161148
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1117275517111857&set=a.645192880986792