
21 พฤษภาคม 2568
ประชาไท
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา 112WATCH เผยแพร่บทสัมภาษณ์ สุรพศ ทวีศักดิ์ รองศาสตราจารย์ (สาขาปรัชญา) เป็นอาจารย์เกษียณ และเป็นคอลัมนิสต์วิพากษ์ปัญหาสังคม การเมือง ศาสนา โดยเฉพาะปัญหาสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตย โดยสุรพศกล่าวถึงชนชั้นนำที่นำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาใช้อย่างไม่มีหลักนิติรัฐ เลือกปฏิบัติ มีความเป็นการเมืองสูงถูกใช้แบบแยกมิตร แยกศัตรูทางการเมือง
เหตุใดรัฐบาลจึงมีแนวโน้มที่จะยกเว้นคดีมาตรา 112 ออกจากกระบวนการนิรโทษกรรม และการตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงท่าทีทางการเมืองอย่างไร?
ผมคิดว่าแนวโน้มเช่นนั้นเป็นเพราะรัฐบาลเพื่อไทยต้องทำตามเงื่อนไขของการดีลเพื่อให้ทักษิณ ชินวัตรกลับบ้าน ซึ่งเป็นการดีลที่พรรคประชาชนเรียกว่า “ดีลแลกเสรีภาพประชาชน” ข้อเท็จจริงที่สนับสนุนคือ รัฐบาลเพื่อไทยยืนยันจะไม่ทำอะไรเลยในการแก้ปัญหาสถาบันกษัตริย์ให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพทางความคิดเห็น และเสรีภาพทางวิชาการได้จริง เช่นไม่แก้หมวดสถาบันกษัตริย์ในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่, ไม่แก้มาตรา 112 และไม่นิรโทษกรรมคดี 112
ดังนั้น ท่าทีหรือจุดยืนทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อไทยเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์จึงเป็นการเดินตามแนวทางของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นท่าทีที่เพิกเฉยต่อการใช้มาตรา 112 ละเมิดเสรีภาพทางความคิดเห็นของประชาชน
ประกอบกับก่อนหน้านั้นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ทำให้ Freedom House ลดระดับไทยจาก ‘มีเสรีภาพบางส่วน’ เป็น ‘ประเทศไม่เสรี’ ขณะที่ European Parliament มีมติประณามประเทศไทยกรณีการเนรเทศชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเยาวชน นักการเมือง และนักกิจกรรมทางการเมือง และล่าสุดนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ยังปล่อยให้หน่วยงานนี้ใช้มาตรา 112 แจ้งความดำเนินคดี “พอล แชมเบอร์ส” นักวิชาการสัญชาติอเมริกัน ทำให้รัฐบาลไทยเจรจาปัญหามาตรการกำแพงภาษีกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ยากมากขึ้น
ในกรณีของบุคคลที่มีความเกี่ยวพันกับคดีมาตรา 112 เช่น ทักษิณ ชินวัตร และจักรภพ เพ็ญแข การเอื้อให้กลับประเทศโดยปราศจากกระบวนการยุติธรรมนั้นจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของนโยบายกฎหมายอย่างไร?
นโยบายการใช้กฎหมาย มาตรา 112 ของกลุ่มชนชั้นนำไม่ยึดโยงกับหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตย หรือไม่เคารพหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว เพราะนอกจากอัตราโทษจะสูงเกินเหตุอย่างมากแล้ว (จำคุก 3-15 ปี) ยังมีการตีความกฎหมายเกินจากตัวบทเกิดขึ้นเสมอๆ เช่น ตีความเอาผิดการวิจารณ์กษัตริย์รัชกาลก่อนๆ หรือคนในราชวงศ์ที่ไม่ใช่กษัตริย์, พระราชินี, รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามที่ระบุไว้ในตัวบท การให้สิทธิประกันตัวก็ “เลือกปฏิบัติ” อย่างโจ่งแจ้ง คนที่มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างทักษิณได้สิทธิประกันตัว ขณะที่ทนายความอย่างอานนท์ นำภา และนักศึกษาอีกหลายคนที่เป็นแกนนำเคลื่อนไหวทางการเมืองเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้เป็นประชาธิปไตยไม่ได้สิทธิประกันตัว
ดังนั้น นโยบายการใช้ 112 จึงไร้มาตรฐานที่น่าเชื่อถือ เป็นไปตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจโดยสิ้นเชิง การที่ทักษิณและจักรภพ เพ็ญแขกลับไทยได้ด้วยการดีลแลกเสรีภาพประชาชน จึงยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่านโยบายการใช้กฎหมายมาตรา 112 มี “ความเป็นการเมือง” แบบแยกมิตร แยกศัตรูในทางการเมืองอย่างชัดเจนมาก แต่น่าเศร้าตรงที่คนที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์ กลับเป็นเพียงทนายความ นักศึกษา นักวิชาการ และคนทำมาหากินระดับชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีตำแหน่ง อำนาจ หรืออิทธิพลทางการเมืองใดๆ ที่จะสามารถบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ได้จริง พวกเขาแค่ตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมามากกว่า และเสนอความเห็นให้แก้กฎหมายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยผ่านกระบวนการนิติบัญญัติของระบบรัฐสภาเท่านั้น
หากการนิรโทษกรรมไม่ครอบคลุมคดี 112 ทั่วไป แต่กลับมีการยืดหยุ่นเฉพาะในบางกรณี จะส่งผลต่อการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคมไทยอย่างไร?
ผมคิดว่าจะเกิด “บรรทัดฐานแยกมิตรแยกศัตรูทางการเมือง” ที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันกษัตริย์ชัดเจนมากขึ้น คือพรรคการเมืองส่วนใหญ่ที่เป็น “พรรคฝ่ายขวา” ซึ่งยืนยันปกป้องมาตรา 112 และสถานะ, อำนาจที่วิจารณ์และตรวจสอบไม่ได้ของสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว ก็ยิ่งจะแสดงตัวเป็นฝ่ายสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ชัดเจนมากขึ้น ส่วนพรรคการเมืองอย่างพรรคประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายศัตรูของสถาบันกษัตริย์ ก็จะถูกบีบให้ถอยทั้งด้วยกลไกของรัฐสภา เช่น ชนะเลือกตั้งได้เสียงอันดับ 1 ก็อาจตั้งรัฐบาลไม่ได้อีก หรือด้วยกลไกอื่นๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระอื่นๆ แม้กระทั่งกองทัพอาจทำรัฐประหารอีกก็ได้ หากพรรคประชาชนชนะเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยคะเสียงท่วมท้นจนสามารถจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้ โดยที่ยังคงจุดยืนในการแก้มาตรา 112 และแก้รัฐธรรมนูญหมวดสถาบันกษัตริย์ให้เป็นประชาธิปไตย
ยกเว้นว่าจะเกิดปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น เกิดการชุมนุมประท้วงของประชาชนเรือนแสนเรือนล้านที่ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์ยอมปรับตัวให้เป็นประชาธิปไตยตามข้อเรียกร้องของประชาชน
ท่าทีของรัฐบาลไทยในเรื่องนิรโทษกรรมที่ยกเว้นมาตรา 112 จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับองค์กรสิทธิมนุษยชนและพันธมิตรตะวันตกอย่างไร?
ในยุครัฐบาลประยุทธ์ องค์กรสิทธิมนุษยชนและพันธมิตรตะวันตกอาจไม่กดดันไทยอย่างจริงจังมากนัก เพราะอาจเห็นว่าเป็นรัฐบาลจากรัฐประหาร กดดันไปก็คงไม่เปลี่ยนจุดยืน แต่รัฐบาลเพื่อไทยเป็น “รัฐบาลจากเลือกตั้ง” และเคยหาเสียงเป็นสัญญาประชาคมกับประชาชนว่าจะคืนสิทธิประกันตัวนักโทษทางความคิด ประชาชนในประเทศเองก็คาดหวังว่าเมื่อมีรัฐบาลจากเลือกตั้งแล้วจะเกิดการนิรโทษกรรมประชาชนรวมมาตรา 112 ด้วย
ดังนั้น การที่รัฐบาลเพื่อไทยยกเว้นการนิรโทษกรรมคดี 112 และทำให้การนิรโทษกรรมประชาชนต้องล่าช้าออกไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม” ยิ่งจะทำให้รัฐบาลถูกประณามจากประชาชนในประเทศมากขึ้น และผมก็เห็นด้วยที่รัฐสภายุโรปประณามไทยเรื่องใช้มาตรา 112 ปิดปากประชาชน เห็นด้วยที่สหรัฐฯ ประณามไทยที่ใช้ 112 ปิดปากนักวิชาการสัญชาติอเมริกัน ซึ่งเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ว่าความสัมพันธ์ไทยกับพันธมิตรประเทศโลกเสรีกำลังตกต่ำลง และผมอยากเรียกร้องให้องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติและพันธมิตรตะวันตกช่วยกันส่งเสียงเรียกร้องและใช้มาตรการต่างๆ ที่เป็นไปได้กดดันรัฐบาลไทยอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อให้การนิรโทษกรรมคดี 112 ตามข้อเรียกร้องของประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นไปได้จริง
ในระยะยาว รัฐบาลมีแนวทางอย่างไรในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับมาตรา 112 เพื่อไม่ให้เกิดแรงกดดันทางสังคมและการเมืองซ้ำรอยเดิม?
ส่วนตัวผมคิดว่าปัญหาการบังคับใช้มาตรา 112 เป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุดที่รัฐบาลและสถาบันกษัตริย์ต้องร่วมมือกันแก้ไขด้วยการ “คืนสิทธิประกันตัว” แก่นักโทษคดี 112 ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนในระยะยาวผมเห็นด้วยกับปิยบุตร แสงกนกกุลที่เสนอว่า “ถ้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่ต้องการให้ใครแก้ 112 อย่างน้อยที่สุดก็ต้องงดใช้ 112” อังกฤษงดใช้กฎหมายหมิ่นกษัตริย์มากว่า 300 ปีแล้ว สถาบันกษัตริย์ก็มั่นคงได้
สังคมไทยต้องสร้างความเข้าใจร่วมกันว่าในระบอบประชาธิปไตยสมัยใหม่สถาบันกษัตริย์ไม่ใช่สถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้ แต่เป็นสถาบันทางการเมืองแบบหนึ่งคือสถาบันประมุขของรัฐ ประชาชนเคารพกษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะที่วิจารณ์ตรวจสอบได้ ไม่ได้ถือว่ากษัตริย์เป็น “สมมติเทพ” ที่ศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้แบบกษัตริย์ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกแล้ว
ดังนั้น ในระยะยาวรัฐบาลและสถาบันกษัตริย์ควรหารือกันในเรื่องงดใช้มาตรา 112 อย่างถาวร ส่วนเฉพาะหน้าควรคืนสิทธิประกันตัวนักโทษ 112 ทุกคน และนิรโทษกรรมประชาชนรวมคดี 112 ด้วย เพราะนี่คือหนทางที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งแบ่งฝ่ายแยกมิตรแยกศัตรูทางการเมืองที่มีสถาบันกษัตริย์เป็น “แกนกลาง” ของการแบ่งแยกได้ ผลที่ตามมา รัฐบาลและสถาบันกษัตริย์จะสามารถฟื้นความเชื่อถือในสายตาประชาชนและนานาชาติได้ และจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนเสรีภาพทางการเมือง เสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก เสรีภาพทางวิชาการ และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้มากขึ้น
https://prachatai.com/journal/2025/05/113001