วันจันทร์, พฤษภาคม 26, 2568

“ก้อง-อารีฟ-บุ๊ค” เผยสถานการณ์ในเรือนจำบางขวาง รู้สึกไม่ปลอดภัยจากการถูกข่มขู่-จับตามองความเคลื่อนไหว

 
23/05/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ท่ามกลางสถานการณ์การบังคับโยกย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังเรือนจำอื่น ๆ ตั้งแต่ปลายเดือนกมภาพันธ์ 2568 เพื่อเปลี่ยนให้เรือนจำแห่งนี้กลายเป็นเรือนจำคุมขังเฉพาะผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา ทำให้ผู้ต้องขังหลายคนแม้คดียังไม่ถึงที่สุด อยู่ระหว่างอุทธรณ์-ฎีกา หรือถูกศาลลงโทษด้วยอัตราไม่สูงมาก ได้ถูกย้ายตัวไปยังเรือนจำที่เคยใช้คุมขังผู้ต้องขังที่มีอัตราโทษสูง อย่างเรือนจำกลางบางขวาง ทำให้ต้องเผชิญปัญหาการเยี่ยมญาติและการติดต่อสื่อสารกับภายนอกมากกว่าเรือนจำแห่งเดิม

ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2568 กลุ่มผู้ต้องขังทางการเมืองในคดีมาตรา 112 ที่ถูกย้ายมาเรือนจำกลางบางขวาง อย่าง “ก้อง อุกฤษณ์”, “อารีฟ วีรภาพ” และ “บุ๊ค ธนายุทธ” ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ที่สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทั้งกรณีเจ้าหน้าที่เรียกพบผู้ต้องขังทางการเมืองรายบุคคลหลายครั้ง มีการพูดในลักษณะว่าสามารถนำตัวไปขังเดี่ยวได้ และจากผู้ต้องขังคนอื่นในเรือนจำ ที่มีการเข้ามาพูดในลักษณะข่มขู่จะเล่นงาน รวมทั้งถูกจับตามองความเคลื่อนไหว

รวมทั้งยังสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการย้ายเรือนจำ ทั้งการส่งจดหมายติดต่อสื่อสาร และอุปสรรคการไม่มีหนังสือให้เตรียมสอบของก้อง ผลกระทบต่อด้านจิตใจของอารีฟ รวมไปถึงการแบ่งแยกระหว่างกลุ่มผู้ต้องขังที่ย้ายมาใหม่ กับผู้ต้องขังที่อยู่มาเดิม

“ก้อง” กังวลเรื่องความปลอดภัยหลังถูกจับตาใกล้ชิด-รวมทั้งปัญหาการสอบ ที่ไม่มีหนังสืออ่าน

ในการเยี่ยม ก้อง อุกฤษฏ์ แสดงความกังวลต่อความปลอดภัยของตัวเองและกลุ่มผู้ต้องขังทางการเมือง เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ตลอดการพูดคุยนั้นสังเกตว่าก้องมีความระแวง คอยหันมองด้านหลังเป็นระยะ

ก้องย้อนเล่าว่าตั้งแต่ถูกย้ายมาที่เรือนจำกลางบางขวาง อยู่ที่แดน 5 ในช่วงแรก มีผู้ต้องขังคนอื่น ๆ เข้ามาคอยสอบถามว่าโดนคดีอะไรมา เมื่อแจ้งข้อกล่าวหาไป ผู้ต้องขังบางคนก็เห็นด้วย แต่ผู้ต้องขังบางคนก็ไม่เห็นด้วย เนื่องจากอาจมีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างไป แต่ก็ต่างคนต่างอยู่ไป

ต่อมา ก้องถูกย้ายไปที่แดน 2 ก็มีผู้ต้องขังคนอื่นมาสอบถามในลักษณะเดียวกัน แต่ในแดนนี้ เขาได้ถูกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเรือนจำเรียกไปพบถึง 4 ครั้ง โดยยังมีผู้ต้องขังทางการเมืองรายอื่น ๆ ถูกเรียกไปด้วยเช่นกัน แต่เป็นเรียกคุยแยกกัน โดยการพูดคุยสอบประวัติ และย้ำทำนองว่าให้ปฏิบัติตามกฎ และ “ไม่กระด้างกระเดื่อง” ก็จะได้อยู่ได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนั้น ยังมีกรณีของผู้ต้องขังรายอื่น ๆ ที่พูดในลักษณะข่มขู่ โดยมีอยู่วันหนึ่ง ก้อง อารีฟ และบุ๊ค อยู่บริเวณอ่างอาบน้ำในเรือนจำ ได้มีผู้ต้องขังคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามา แล้วกล่าวว่าสิ่งที่เรียกร้องทำไม่ได้หรอก พวกคุณอย่าอภิสิทธิ์ชนเยอะ โดยเข้าใจว่าเป็นการกล่าวถึงการเรียกร้องของพวกเขาในประเด็นเรื่องการเยี่ยมญาติ และส่งจดหมาย ซึ่งที่เรือนจำบางขวางมีข้อจำกัดแตกต่างจากที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อย่างมาก

ก้องระบายว่าการส่งจดหมายนั้นเป็นเพียงช่องทางเดียวที่เขาสามารถติดต่อสื่อสารกับเพื่อนที่รามคำแหง ในเรื่องการศึกษาได้ ขณะนี้เรื่องการสอบของก้องก็ยังไม่มีความคืบหน้า แต่เผชิญข้อจำกัดเพิ่มขึ้นอีก ก่อนหน้านี้จดหมายที่เขาส่งให้ครอบครัวตั้งแต่เดือนก่อน ก็ยังไม่ถึงผู้รับด้วย

ก้องเสริมอีกว่าส่วนของบุ๊ค เข้าใจว่าเขาเรียกร้องในประเด็นเรื่องการตรวจสอบดูแลตัวอาคารในเรือนจำ ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว เนื่องจากเป็นอาคารเก่าอายุประมาณ 90 ปีแล้ว ซึ่งการเรียกร้องเหล่านี้ไม่ได้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่ยังเกิดประโยชน์ส่วนรวมแก่ผู้ต้องขังอื่น ๆ ด้วย

ก้องเล่าอีกว่านอกจากนั้น พวกเขายังจับตามองในทุกความเคลื่อนไหว โดยมีผู้ช่วยของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังด้วยกัน คอยตามสอดส่องกลุ่มผู้ต้องขังทางการเมืองอยู่ จึงเกิดความระแวงเรื่องความปลอดภัยขึ้น

ก้องยังระบุถึงปัญหาเรื่องหนังสือในห้องสมุด ซึ่งหลังจากถูกย้ายเรือนจำมา เขาไม่สามารถนำหนังสือกฎหมายที่ใช้เตรียมสอบมาจากเรือนจำเดิมได้ แต่ห้องสมุดของเรือนจำใหม่ ก็มีหนังสือกฎหมายน้อยมาก และไม่ตรงกับวิชาที่เขาจะต้องสอบ เขาจึงไม่รู้จะเตรียมตัวสอบอย่างไรต่อไป

.
“อารีฟ” สะท้อนความรู้สึกไม่ปลอดภัย และการแบ่งแยกในเรือนจำ

ด้าน “อารีฟ วีรภาพ” ก็ได้แสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยในเรือนจำเช่นกัน เพราะรู้สึกว่ามีการคุกคามเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

อารีฟเล่าว่า ในช่วงแรกที่เขาถูกย้ายมาที่แดน 6 ของเรือนจำบางขวาง ได้มีผู้ต้องขังหลายคนเข้ามาสอบถามว่าเขาถูกคดีอะไรมา และก็มีผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกับกรณีของก้อง แต่ก็ยังไม่มีประเด็นอะไรเกิดขึ้น

แต่เมื่อถูกย้ายไปที่แดน 2 ก็ได้มีคำถามลักษณะเดิมอีก และมีผู้ต้องขังบางคนไม่เห็นด้วย ว่าเขาไปยุ่งกับเรื่องสถาบันกษัตริย์ทำไม นอกจากนั้นเดิมที่แดนนี้ เป็นแดนที่ใช้คุมขังผู้ต้องขังที่มีโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือโทษประหารชีวิต เมื่อมีการย้ายผู้ต้องขังจำนวนมากเข้ามาจากเรือนจำอื่น ซึ่งมีโทษน้อยกว่า ทำให้เริ่มมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อกัน แม้ไม่ใช่ผู้ต้องขังทางการเมืองก็ตาม โดยทราบว่ามีคนที่ถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันแล้ว

ในกลุ่มผู้ต้องขังที่ถูกย้ายมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็รู้สึกว่ามาตรการต่าง ๆ ในเรือนจำใหม่แตกต่างไปที่เดิม ส่งผลให้กลุ่มผู้ต้องขังเดิมในเรือนจำบางขวางเอง ก็เห็นไปว่ากลุ่มที่ย้ายมาใหม่ ชอบทำตัวมีปัญหา มีข้อเรียกร้องต่าง ๆ ขึ้นมา

นอกจากนั้นยังมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรณีเจ้าหน้าที่รายหนึ่ง ที่มีอยู่วันหนึ่งเขาได้เดินสวนกัน และเจ้าหน้าที่ได้ใช้กระบองที่ถือมาขึ้นมาชี้ใส่ พร้อมบอกให้โกนหนวดหน่อย ซึ่งเขารู้สึกว่าน่าจะบอกกันดี ๆ ก็ได้

อารีฟเล่าอีกว่า ในวันต่อมาที่มีการตั้งแถวเช็คจำนวนผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่รายเดิมได้ขึ้นพูดใส่ไมค์ โดยมีข้อความในลักษณะที่ว่าควรปฏิบัติตามกฎระเบียบ และมีถ้อยคำทำนองว่าหากไม่ปฏิบัติตาม สามารถปิดตาข้างหนึ่ง แล้วให้ผู้ช่วยงานตบพวกคุณได้นะ

อีกทั้งในส่วนของตน ยังได้ถูกเจ้าหน้าที่รายนี้เรียกไปพบประมาณ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับผู้ต้องขังทางการเมืองคนอื่น ๆ เขาทราบว่าก้องถูกเรียกพบมากกว่าเขา โดยส่วนของเขาถูกสอบถามเรื่องเหตุที่ทำให้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 สอบถามข้อมูลส่วนตัว เช่นเรื่องประวัติการศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

ก่อนหน้านั้น อารีฟ บุ๊ค และผู้ต้องขังอีก 1 คน ได้ร่วมกันทำคำร้องส่งไปยัง ผบ.แดน แจ้งเจตนาว่าไม่ประสงค์จะ “ฝึกท่าพญายม” ซึ่งเป็นท่ากายบริหารที่ผู้ต้องขังถูกบังคับให้ทำ ตลอดทั้งการทำกิจกรรมต่าง ๆ เนื่องจากเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์ และเป็นการบังคับ อีกทั้งการไม่ยืนในช่วงเคารพเพลง ซึ่งไม่มีระบุไว้ในระเบียบ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาถูกเจ้าหน้าที่เรียกพบ พร้อมกับกล่าวในลักษณะว่าหากไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ จะต้องถูกวินัย และอาจถูกส่งไปแดน 10 แดนวินัยได้ ซึ่งที่นั่นจะมีห้องขังเดี่ยว

นอกจากนั้นอารีฟบอกเช่นเดิมกับก้อง ว่าเขาสังเกตว่ามีผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ที่คอยจับตาดูพวกเขา และน่าจะคอยรายงานความเคลื่อนไหวให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย

อารีฟได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่อ่างอาบน้ำเช่นกัน กรณีมีผู้ต้องขังรายหนึ่งเดินผ่านมาแล้วกล่าวทำนองว่า สิ่งที่เรียกร้องทำไม่ได้หรอก และยังเสริมว่ายังมีผู้ต้องขังมากล่าวอีกวันด้วยว่า “ระวังจะถูกเล่นสักวัน อย่าเรียกร้องให้มาก” ทำให้เขากังวลต่อความปลอดภัยของตัวเองและเพื่อน ๆ

อารีฟ ย้อนเล่าถึงสิ่งที่เขาเสนอต่อเรือนจำอีกอย่างหนึ่ง คือเสนอให้ห้องเยี่ยมญาติมีการติดตั้งพัดลมเพิ่มขึ้นในทุกจุด เนื่องจากห้องมีลักษณะทึบ ไม่มีช่องระบายอากาศ และหากผู้ต้องขังจะไปเยี่ยมญาติจะต้องสวมใส่แมสตลอด จะมีผู้ช่วยเจ้าหน้าที่คอยมากำชับให้ใส่แมส ส่งผลให้หายใจไม่ค่อยสะดวก ยิ่งอากาศร้อนจัด อาจมีคนเสี่ยงจะเป็นลม หรือเป็นฮีทสโตรกได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ต้องขังทุกคน

อารีฟ บอกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อด้านจิตใจของเขา โดยก่อนหน้านี้เขาเคยรักษาอาการซึมเศร้า แต่ได้ตัดสินใจหยุดยาไปแล้ว แต่ในช่วงนี้ เขารู้สึกว่าอาการซึมเศร้า และแพนิค ดูเหมือนจะกลับมาอีกครั้ง ทุกครั้งที่ขึ้นเรือนนอน จะรู้สึกอารมณ์ดิ่ง หดหู่ และไม่อยากสนทนากับผู้ใด อยากที่จะอยู่เงียบ ๆ และบางทีก็มีอารมณ์ฉุกเฉียวต่อผู้ต้องขังคนอื่น จึงพยายามขอโทษสิ่งที่เกิดขึ้น

อารีฟ ยังเล่าว่าเมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่มีนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาคดีละเมิดอำนาจศาล ที่เขาถูกกล่าวหากับคนอื่น ๆ แต่ปรากฏว่าหมายเบิกตัวได้ถูกส่งไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งเขาถูกย้ายตัวมาแล้ว ทำให้ไม่ได้นำตัวเขาออกไปศาล ทำให้คดีต้องเลื่อนออกไปด้วย ทำให้เห็นว่าระบบต่าง ๆ ยังมีปัญหาหลังการย้ายเรือนจำ

“บุ๊ค” กังวลการพูดคุกคาม-แสดงความไม่พอใจผู้ต้องขังทางการเมือง

ส่วน “บุ๊ค ธนายุทธ” ก็ได้บอกเล่าถึงการถูกเรียกคุยโดยเจ้าหน้าที่นายหนึ่งเช่นกัน โดยเป็นการเรียกไปพบเป็นรายบุคคล ในลักษณะที่คล้ายกับการสอบประวัติและล่วงล้ำเข้าไปในชีวิตส่วนตัว โดยเขาและอารีฟซึ่งปฏิบัติที่จะร่วมกิจกรรมกายบริหารกลางแจ้ง ก็ได้พูดคุยในลักษณะว่าอย่าทำตัวแปลกแยกมาก ไม่งั้นอาจจะถูกขังเดี่ยว

บุ๊คยังยืนยันข้อความที่มีการกล่าวในช่วงเข้าแถวตรวจเช็คยอด ทำนองว่าเจ้าหน้าที่สามารถทำเป็นหลับตา แล้วให้ผู้ช่วยงานมาตบได้

บุ๊คเองก็เล่าถึงการคุกคามจากผู้ต้องขังด้วยกันเอง จากการที่มีผู้ต้องขังไม่พอใจการเรียกร้องของผู้ต้องขังทางการเมือง รวมทั้งปัญหาความไม่พอใจกันระหว่างผู้ต้องขังที่อยู่มาเดิม กับกลุ่มที่ถูกย้ายมาใหม่ที่อัตราโทษน้อยกว่า แม้ไม่ใช่ผู้ต้องขังทางการเมือง

“เขามองว่าพวกโทษน้อยมักสร้างปัญหา เพราะโทษน้อยเดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว ไม่ต้องกังวลมากว่าจะต้องอยู่ในเรือนจำอีกนาน มีการปะทะกันไปบ้าง แต่พวกผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วย”

มีเหตุการณ์หนึ่งที่มีเพื่อนผู้ต้องขังที่ย้ายมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นั่งดูทีวีอยู่ในโรงอาหาร และมีข่าวเกี่ยวกับคดีต่าง ๆ ก็มีผู้ต้องขังกลุ่มที่อยู่มาเดิมพูดแบบตั้งใจให้ได้ยินว่า “ไอ้เหี้ย คดีมึงอะ เดี๋ยวก็ได้ออก พวกกูนี่เจอตลอดชีวิต”

บุ๊คได้สะท้อนความเห็นว่า “อยากให้เอาผู้ต้องขังการเมืองมาอยู่รวมกัน ที่ไหนก็ได้…อย่างน้อยในช่วงที่รัฐบาลยังผลักดันนิรโทษกรรม ก็อยากให้แคร์ความปลอดภัยกันหน่อย”

ทั้งนี้จากสถานการณ์ดังกล่าว ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเตรียมทำหนังสือขอให้เรือนจำตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป

.

อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เปิด Map ใหม่ของผู้ต้องขังทางการเมือง: พบถูกบังคับย้ายเรือนจำ 16 ราย เผชิญปัญหาการเยี่ยม-ส่งจดหมาย

“บุ๊ค” ปากแตก มือถลอก เหตุอารยะขัดขืนย้ายเรือนจำ แต่กำลังใจยังดี – ด้าน “ก้อง” เรียกร้องนำผู้ต้องขังการเมืองมารวมกัน เหมือนช่วงคนเสื้อแดง

https://tlhr2014.com/archives/75558