วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 22, 2568

ประทีป คงสิบ ชวนมอง 2 ปีแห่งความหลังนับจากการเลือกตั้ง 2566, 2 ปีแห่งความพังของรัฐบาลข้ามขั้ว และอีก 2 ปีแห่งความหวังถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า



จาก ‘กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ สู่ ‘กาประชาชน ก้าวพ้นระบอบลุง’ 2 ปีแห่งความหลัง – ความพัง – ความหวัง

ประทีป คงสิบ
20 May 2025
101 World

2 ปีแห่งความหลัง

วันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ครบรอบสองปีการเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุด อันเป็นการเลือกตั้งที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ และสถิติใหม่ทางการเมืองมากมาย อาทิ จุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ขาดชัยชนะมากกว่านโยบาย พิสูจน์ได้จากการที่มอตโต้ ‘มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง’ คือตัวแปรสำคัญขับดันให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งแบบหักปากกาเซียนทุกสำนัก

ความเร่าร้อนในการโน้มน้าวผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจากมอตโต้ดังกล่าวทำให้ในโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันลงคะแนน พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นเต็งหนึ่งในสายตาเซียน ต้องตัดใจประกาศจุดยืนด้วยม็อตโต้ ‘ปิดสวิตช์ 3 ป.’ บ้าง หลังจากสงวนท่าทีเมื่อถูกถามถึงจุดยืนในเรื่องนี้ แต่ก็สายเกินกว่าจะไล่ทันหรือแซงพรรคก้าวไกลที่ประกาศชัดเจนมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว

ชัยชนะของพรรคก้าวไกลยังถูกคนในวงการเมืองด้วยกันและสังคมภายนอกยอมรับและยกย่องว่า นี่คือพรรคการเมืองเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ชนะเป็นพรรคอันดับหนึ่งโดยไม่ใช้เงินซื้อเสียง

ลบล้างความเชื่อเก่า สร้างความเชื่อใหม่ที่ปลูกฝังกันมานานหลายสิบปีว่าไม่มีพรรคไหนที่ไม่ซื้อเสียง

อีกปรากฏการณ์ที่พรรคก้าวไกลประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านการถูกยุบพรรคเดิมมาไม่นาน (อนาคตใหม่) คนเด่นคนดังหลายคนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง คือเป็นพรรคเดียวที่ชนะ สส.เขต ได้ครบทุกภูมิภาค รวมถึง กทม. และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์อยู่อันดับหนึ่งหรือสองของแต่ละจังหวัด ไม่มีจังหวัดไหนที่หลุดไปอันดับสาม

ในส่วนของพรรคเพื่อไทยก็สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของตัวเองเช่นกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่แพ้การเลือกตั้งในรอบกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรค (ชื่อเดิมคือพรรคไทยรักไทย ก่อตั้ง 14 ก.ค. 2541)

อย่างไรก็ดี แม้ทั้งสองพรรคจะแข่งกันอย่างดุเดือดในสนามเลือกตั้ง แต่การเข้าวินในฐานะพรรรอันดับหนึ่งและสองของก้าวไกลและเพื่อไทยด้วยคะแนนรวมกันถึง 26 ล้านเสียง สะท้อนปรากฏการณ์ปฏิเสธขั้วรัฐบาลเก่าและอำนาจเก่าในนามสามลุง สาม ป. อย่างชัดเจน

หากกล่าวโดยสรุป ผลเลือกตั้งจึงชี้ชัดว่าเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งต้องการให้พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจับมือจัดตั้งรัฐบาลใหม่ (และมีพรรคเล็กอื่นๆ ที่แสดงจุดยืนไม่เอา ‘ลุง’ เข้าร่วมเพิ่มเติม)

คืนวันที่ 14 พ.ค. 2566 จึงไม่เกินเลยหากจะบอกว่าเป็นคืนที่ดัชนีความสุขและความหวังของประชาชนส่วนใหญ่พุ่งสูงสุดในรอบเก้าปีนับแต่รัฐประหาร 2557

ภารกิจที่ร่วมกันผลักดัน ‘มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง’ บรรลุแล้ว ก้าวต่อไปเหลือเพียงภารกิจสานฝัน ‘กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ ให้เป็นรูปธรรม ทว่า กลับเกิดจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทั้งสองภารกิจล้มคว่ำ เพราะ ‘การตระบัดสัตย์’ ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่เดินเกมจับมือฝ่ายอนุรักษนิยมขั้วอำนาจเก่าจนทำให้พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ

พรรคเพื่อไทยฉวยโอกาสรับไม้จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับขั้วอำนาจเก่า เบียดพรรคก้าวไกล ผู้ชนะเลือกตั้งอันดับหนึ่งเป็นฝ่ายค้าน (ตามแผนเดิมที่วางไว้อยู่แล้ว เพราะเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเป็นพรรคอันดับหนึ่ง)

สถานการณ์ประเทศไทย ณ วันนั้นจนถึงขณะนี้ แม้ตัวลุงจะไม่อยู่ในฉากหน้าสมการอำนาจ แต่พลพรรคและเครือข่ายยังอยู่ และยิ่งมีพรรคเพื่อไทยกลายพันธุ์ร่วมด้วยกลับเป็นการเสริมให้ ‘ระบอบลุง’ เข้มแข็งกว่าเดิม ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยในภาพจำเดิมดูอ่อนแอลง

สองปีที่ผ่านมา แม้ด้านหนึ่งจะมองได้ว่า ‘กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ เป็นเรื่องจริง เพราะทำให้สังคมได้เห็นความกลับกลอกและความปลอมของหลายคนที่พลิกจุดยืนความเชื่อจากในอดีต แต่ด้านหนึ่งก็มองได้เช่นกันว่า ‘ประเทศไทยยังเหมือนเดิม’ คือหลุดไม่พ้นจากระบอบลุงที่ครอบงำมาแล้ว 9 + 2 ปี

2 ปีแห่งความพัง

สองปีของรัฐบาลที่เกิดจากการข้ามขั้วตระบัดสัตย์แทบไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกจากเก้าปีแห่งความล้มเหลวของรัฐบาลประยุทธ์

จากนายกฯ เศรษฐา ถึงนายกฯ แพทองธาร สภาพรัฐบาลไม่ต่างอะไรกับส่วนต่อขยาย ‘ประยุทธ์ 3’

ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลหรือข้อจำกัดใดๆ ณ วันนี้ภาพรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ แพทองธาร ถูกตั้งคำถามหนาหูขึ้นทุกวันว่า กำลังพาประเทศไปสู่ภาวะ ‘รัฐล้มเหลว’ (failed states)

เพราะนอกจากไร้ความสามารถในการส่งมอบนโยบายเรือธงจนทำให้เศรษฐกิจของประเทศโดยภาพรวมย่ำแย่ อัตราจีดีพีปีนี้และปีหน้าถูกประเมินจากทั้งองค์กรต่างประเทศและในประเทศว่าขยายตัวต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ รั้งท้ายอาเซียน ดีกว่าเมียนมาเพียงชาติเดียว

ภาพจำ ‘เพื่อไทยเก่งเศรษฐกิจ’ พังทลายสิ้นมนต์ขลัง เวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลไร้วี่แววกอบกู้ชื่อเสียงนี้กลับคืน ผนวกเข้ากับฝีความด้อยประสิทธิภาพของ ‘รัฐราชการ’ ไทยที่สั่งสมมายาวนาน โดยเฉพาะนับแต่หลังรัฐประหาร 2549 และ 2557 เกิดมาแตกในจังหวะตึก สตง. ถล่ม อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว รวมถึงการรับมือระเบียบการค้าโลกยุคใหม่จาก ‘ทรัมป์เอฟเฟกต์’ และ ฯลฯ

โชคร้ายสุดของประเทศคือ ในห้วงที่สถานการณ์ทุกด้านเลวร้าย ตกต่ำย่ำแย่ดังที่กล่าวมา เราดันมีนายกรัฐมนตรีชื่อ ‘แพทองธาร’ เป็น ‘ผู้นำ’ ในการต่อสู้กับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

กว่าหกเดือนที่เธอดำรงตำแหน่ง แทบทุกเหตุการณ์และปัญหาที่ผุดขึ้นให้แก้ไข ไม่ว่าวิกฤตน้ำท่วม, วิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ, วิกฤตการค้าระหว่างประเทศ, วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันเนื่องจากปัญหาสิทธิมนุษยชน, วิกฤตจีนเทา, วิกฤตแผ่นดินไหวและตึก สตง. ถล่ม ฯลฯ นายกฯ แพทองธารล้วนสอบไม่ผ่าน ลำพังแค่ตอบคำถามหรือสื่อสารให้สังคมเข้าใจและเกิดความเชื่อมั่นก็ยังล้มเหลว

กล่าวโดยสรุป วันนี้ ‘รัฐ’ ยังไม่ ‘ล้มเหลว’ หากตีความตามหลักคิดเดิมที่มีการกำหนดดัชนีชี้วัดไว้ แต่ที่ล้มเหลวแล้วแน่นอนคือรัฐบาลเพื่อไทย พรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ‘แพทองธาร’

ล้มเหลวจากสามตัวชี้วัดสำคัญ คือ trust (ความเชื่อถือ), confidence (ความเชื่อมั่น), sentiment (อารมณ์ร่วม)

2 ปีแห่งความหวัง

ตรงข้ามกับฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล แม้ชนะเลือกตั้งแต่ถูกหักหลังไม่ได้เป็นรัฐบาล ตามมาด้วยถูกนิติสงครามเล่นงานถึงขั้นยุบพรรค ตัดสิทธิ์ผู้นำพรรคที่ได้รับความนิยมสูงสุด อย่างพิธาพร้อมขุนพลมือดีทางการเมืองอีกหลายคน

แต่เมื่อตั้งหลักได้ ในนามร่างใหม่ที่ชื่อพรรคประชาชนกลับพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานเด่นหลายเรื่อง โดยใช้กลไกสภาฯ ขับเคลื่อน เช่น การผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียม – สุราก้าวหน้า (พรรคเพื่อไทยชิงการนำและเปลี่ยนชื่อเป็นสุราชุมชน), กฎหมายไม่ตีเด็ก, จี้รัฐบาลแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และจีนเทา, เปิดโปงพิรุธการบริหารกองทุนประกันสังคมและแก้ไขเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ลูกจ้างประกันสังคม, เปิดโปงพิรุธปฏิบัติการไอโอของกองทัพที่เข้าข่ายการเซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตย ฯลฯ

ความกล้าหาญในการพูดและทำในเรื่องที่รัฐบาลเดิมๆ มองไม่เห็นหรือไม่กล้าแก้ไข ทั้งๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ทำให้ดัชนีความนิยมและความเชื่อมั่นในพรรคประชาชนพุ่งขึ้นสวนทางรัฐบาลที่เป็นขาลง

หากเปรียบสถานการณ์ว่าคนไทยกำลังเดินอยู่กลางทะเลทราย วันนี้คนไทยเดินผ่านบ่อน้ำเพื่อประทังชีวิตที่ชื่อ ‘บ่อประยุทธ์’ มาแล้ว 9 กม. (ปี) บ่อนี้ดื่มกินแล้วพบว่ามีแต่สารพิษ อันตรายต่อร่างกาย จนซูบผอมโรยรา กัดฟันเดินต่อมาอีก 2 กม. (ปี) พบบ่อน้ำใหม่ชื่อ ‘บ่อแพทองธาร (เพื่อไทย)’ บ่อนี้ตื้นเขิน แม้ไม่เป็นพิษเท่าบ่อประยุทธ์ แต่คุณภาพน้ำย่ำแย่ ไม่ได้ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายใดๆ ถ้าหยุดตรงนี้เพื่อดื่มต่อไปคงอยู่ได้อีกไม่นาน ส่องสายตามองไปข้างหน้า คาดว่าอีกไม่เกิน 2 กม. (ปี) จะเจอบ่อน้ำแห่งใหม่ในแผนที่บอกว่าชื่อ ‘บ่อประชาชน’ แม้บางคนยังไม่มั่นใจนักว่าบ่อนี้คุณภาพน้ำดีแค่ไหน แต่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่จะรวมพลังฮึดอีกเฮือก หวังไปตายเอา ‘บ่อหน้า’

ไม่จ่อมจมหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่บ่อแพทองธารที่คุณภาพต่ำเตี้ย หรือย้อนกลับไปดื่มน้ำจากบ่อประยุทธ์ที่เต็มไปด้วยมลพิษ

น่ากลัวไปกว่านั้นยังพบว่าที่ใต้ผืนทะเลทราย สายน้ำจากบ่อประยุทธ์บางส่วนยังไหลซึมลึกถึงบ่อแพทองธาร นั่นหมายความว่าพิษร้ายจะสะสมสู่บ่อแพทองธารเพิ่มขึ้นทุกวัน

ฉันใดก็ฉันนั้น ในโลกของความเป็นจริงอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ หากคนไทยมีจินตนาการถึง ‘ประเทศไทยใหม่’ ที่เป็นสามเหลี่ยมพีระมิดหัวกลับ ให้ความสำคัญกับคนส่วนใหญ่มากกว่าชนชั้นนำ อยากให้ประเทศ พ้นจากสถานะ ‘คนป่วยแห่งเอเชีย’ เช่นในปัจจุบัน ลุกขึ้นสร้างฝันเป็น ‘คนสวยสดใสแห่งเอเชีย’

มีทางเลือกเดียว ‘กาประชาชน ก้าวพ้นระบอบลุง’

https://www.the101.world/prateep-may-25/




https://www.facebook.com/reel/1105256534773670/?ref=embed_video