วันศุกร์, พฤษภาคม 23, 2568

11 ปี รัฐประหาร คสช. - 8 ปี มรดกบาป “รัฐธรรมนูญ 60”

https://www.facebook.com/CALLforDemocracy/posts/pfbid0bVe7CJiaSeeVAd5aNNqauMZtRf4yBxrXRHzSHtYrN4qEtQCDK8fudY9oWHPFKnFLl?ref=embed_post

CALL - เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ
14 hours ago
·
11 ปี รัฐประหาร คสช. - 8 ปี มรดกบาป “รัฐธรรมนูญ 60”
หนึ่งในมรดกสำคัญของการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ก็คือ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่พาประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตทางการเมืองหลายครั้งหลายครา
ในตลอด 8 ปี ที่ผ่านมา ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ประชาชนชาวไทยต้องเจอกับวิกฤตสิทธิเสรีภาพอ่อนแอ เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้ลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมถึงยังทำให้อำนาจประชาชนอ่อนแอ ด้วยการลดทอนอำนาจของประชาชนที่ยึดโยงกับสถาบันทางการเมือง อาทิ นายกรัฐมนตรี รัฐสภา รวมถึงยังเปลี่ยนกลไกตรวจสอบถ่วงดุลขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญให้กลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ในวาระครบ 11 ปี รัฐประหาร และ 8 ปี ของการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ ขอไล่เรียง 8 วิกฤต ‘สิทธิ-อำนาจ’ ประชาชน ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ดังนี้
๐ วิกฤตสิทธิเสรีภาพประชาชนอ่อนแอ
๐ วิกฤตนายกฯ คนนอก เมื่อ นายกฯ ไม่ต้องเป็น สส.
๐ วิกฤตสภาสืบทอดอำนาจ จาก สว.แต่งตั้ง ถึง สว.ลากตั้ง
๐ วิกฤตธรรมาภิบาลตกต่ำจากองค์กรอิสระที่ไม่เป็นอิสระ
๐ วิกฤตตุลาการธิปไตยที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญถืออำนาจบาตรใหญ่
๐ วิกฤตกฎหมู่ตามอำเภอใจจากการใช้มาตรฐานจริยธรรม
๐ วิกฤตการออกใบอนุญาตรัฐประหารจากการนิรโทษกรรมให้ คสช.
๐ วิกฤตรัฐธรรมนูญที่บอกว่าแก้ได้ แต่จริงๆ แก้แทบไม่ได้

หนึ่งในมรดกสำคัญของการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ก็คือ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่พาประเทศไทยเข้าสู่วิกฤตทางการเมืองหลายครั้งหลายครา

ในตลอด 8 ปี ที่ผ่านมา ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ประชาชนชาวไทยต้องเจอกับวิกฤตสิทธิเสรีภาพอ่อนแอ เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้ลดทอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมถึงยังทำให้อำนาจประชาชนอ่อนแอ ด้วยการลดทอนอำนาจของประชาชนที่ยึดโยงกับสถาบันทางการเมือง อาทิ นายกรัฐมนตรี รัฐสภา รวมถึงยังเปลี่ยนกลไกตรวจสอบถ่วงดุลขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญให้กลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

วิกฤตสิทธิเสรีภาพประชาชนอ่อนแอ

แม้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะยกย่องว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ยกระดับสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยการบัญญัติให้ “สิทธิเสรีภาพใดที่กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามหรือจำกัดไว้ ให้ถือว่าประชาชนย่อมีสิทธิเสรีภาพนั้น” หรือหมายความว่า ประชาชนย่อมใช้หรืออ้างถึงสิทธิเสรีภาพใดๆ ที่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ได้ หากรัฐไม่ได้ห้ามหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวไว้

แต่เมื่อดูเนื้อในของการรับรองสิทธิเสรีภาพจะพบว่า มีการกำหนดเงื่อนไขให้รัฐเข้ามาจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างกว้างขวาง โดยรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญได้เพิ่มเงื่อนไขเรื่อง ‘ไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ’ มาเป็นเหตุในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้

อีกทั้ง ยังมีการแบ่งแยกสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้กลายเป็นหน้าที่ของรัฐ ซึ่งผู้อ้างรัฐธรรมนูญอ้างว่า ที่ต้องกำหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐ เพื่อให้รัฐปฏิบัติตาม แต่ในทางปฏิบัติ กลับกลายเป็นรัฐเป็นผู้ตัดสินใจในสิทธิเสรีภาพต่างๆ แทนประชาชน ในฐานะผู้ทรงสิทธิ ดังนั้น การเขียนให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจึงเป็นการลดทอนความเป็นเจ้าของสิทธิเสรีภาพไปจากประชาชน

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ได้ลดทอนสิทธิเสรีภาพบางประการลง อย่างเช่น สิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ดี หรือ ‘สิทธิของบุคคลในการดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย…’ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการสร้างบรรทัดฐานของรัฐในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในด้านสิ่งแวดล้อม แต่สิทธิดังกล่าวกลับถูกลบหายไปในรัฐธรรมนูญ ปี 2560

เช่นเดียวกัน เรื่องสิทธิในด้านสาธารณสุข นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ปี 2540 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญจะรับรองให้ประชาชนทุกคน “มีสิทธิเสมอกัน” ในการได้รับบริการทางสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสอดคล้องกับการเกิดขึ้นของกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ทุกคนจะต้องเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึง แต่ในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กลับเอาบทบัญญัติที่บอกว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขออก

ด้วยปัจจัยเรื่องการเอาสิทธิเสรีภาพไปไว้ภายใต้ความมั่นคง ด้วยเรื่องการแบ่งแยกสิทธิเสรีภาพประชาชนให้เป็นหน้าที่ของรัฐ และการลดทอนหลักการสำคัญในสิทธิเสรีภาพต่างๆ จึงสรุปได้ว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่นำมาสู่วิกฤตสิทธิเสรีภาพประชาชนอ่อนแอ

วิกฤตนายกฯ คนนอก เมื่อ นายกฯ ไม่ต้องเป็น สส.

คำว่า “นายกฯ คนนอก” ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทย หมายถึง นายกรัฐมนตรีที่ขาดความยึดโยงกับประชาชน เนื่องจากไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. โดยคำดังกล่าว เป็นคำอธิบายวิธีการเข้าสู่อำนาจของกลุ่มชนชั้นนำที่ต้องเข้าสู่อำนาจโดยต้องการประชาชนมาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ รวมถึงการอาศัยกลโกงในรัฐธรรมนูญสร้างข้อได้เปรียบในกาเข้าสู่อำนาจ

โดยรัฐธรรมนูญ ปี 2521 เป็นรัฐธรรมนูญที่วางรากฐานเรื่องนายกฯ คนนอก เอาไว้ ด้วยการกำหนดให้นายกฯ ไม่ต้องเป็น สส. และในขณะเดียวกันยังให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหารมีอำนาจในการเลือกนายกฯ ซึ่งมันก็นำไปสู่การเลือกนายกฯ ที่ยึดโยงกับกลุ่มก่อการรัฐประหาร เช่น พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกฯ ที่มาจากการรัฐประหาร หรือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นผู้นำเหล่าทัพและมีฐานสนับสนุนจากกลุ่ม สว.แต่งตั้ง

แต่หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 ที่ประชาชนออกมาชุมนุมต่อต้านการสืบทอดอำนาจผ่านช่องทางนายกฯ​ คนนอก ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็ทำให้หลักการเรื่อง นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือ นายกฯ ต้องมาเป็น สส. กลับกลายมาเป็นหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ

จนกระทั่งในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 แม้จะไม่ได้มีการกำหนดว่า นายกฯ ไม่ต้องเป็น สส. แต่ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจงใจเลี่ยงบาลีด้วยการสร้างนวัตกรรมทางการเมืองที่เรียกว่า “บัญชีว่าทีนายกฯ” ขึ้นมา โดยกำหนดว่า พรรคการเมืองจะต้องเสนอชื่อบุคคลที่จะให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ หรือ “แคนดิเดตนายกฯ” ได้ไม่เกินสามชื่อ ก่อนการเลือกตั้ง และบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯ จะต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ทำให้พรรคการเมืองสามารถเสนอชื่อใครก็ได้ แม้บุคคลดังกล่าวอาจจะไม่ได้ลงพื้นที่หาเสียง ประกาศนโยบายเพื่อทำสัญญาประชาคมกับประชาชนว่า เมื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองแล้ว เขาจะบริหารประเทศในรูปแบบไหน มีทิศทางอย่างไร ดังนั้น กลไกการเสนอชื่อนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 จึงเป็นกลไกที่ตัดความยึดโยงและความรับผิดชอบต่อประชาชนออกไป

โดยจะเห็นได้ในการเลือกตั้ง ปี 2562 ที่พรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งตลอดช่วงหาเสียง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้มาแถลงนโยบาย หรือ ขึ้นเวทีหาเสียงประกาศนโยบายกับพี่น้องประชาชนว่า จะขับเคลื่อนนโยบายอย่างไร แต่เหตุผลที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการเสนอชื่อ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนเลือก สว.แต่งตั้ง จำนวน 250 คน ที่จะมีอำนาจมาเลือกตัวเองในภายหลัง

นอกจากนี้ การมีระบบแคนดิเดตนายกฯ ยังนำไปสู่ภาวะสูญญากาศทางการเมืองได้ ยกตัวอย่าง เช่น หากมีพรรคการเมืองหนึ่งเสนอให้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวของพรรค และแคนดิเดตนายกฯ คนดังกล่าวไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้ ไม่ว่าจะถูกตัดสิทธิ หรือ เสียชีวิต ก็จะกลายเป็นว่า พรรคดังกล่าวไม่สามารถเสนอคนเป็นนายกฯ ได้ แม้พรรคดังกล่าวจะเป็นพรรคที่มีที่นั่ง สส. มากที่สุด หรือเป็นพรรคที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากที่สุดก็ตาม

อีกทั้ง การกำหนดให้พรรคการเมืองต้องเสนอแคนดิเดตนายกฯ ได้จำกัด ยิ่งทำให้กลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองมีอำนาจต่อรองทางการเมืองในการแทรกแซงนโยบาย เพราะพรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องประนีประนอมเพื่อรักษาเก้าอี้นายกฯ ให้ได้มากที่สุด

ด้วยปัจจัยที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ จึงยืนยันได้ว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองได้ จากการกำหนดให้มีระบบแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งจะนำไปสู่นายกฯ คนนอก ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน หรือ ขาดความรับผิดชอบต่อประชาชน

วิกฤตสภาสืบทอดอำนาจ จาก สว.แต่งตั้ง ถึง สว.ลากตั้ง

เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาให้สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. เป็นจักรกลทางการเมืองในการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร คสช. ด้วยเหตุนี้ จึงกำหนดให้ สว.ชุดแรก มาจากการคัดเลือกโดย คสช. ร้อยเปอร์เซ็นต์ และนั้นทำให้เครือข่ายของคณะรัฐประหารยังคงอยู่ในอำนาจต่อหลังการเลือกตั้ง เมื่อปี 2562

โดยอำนาจสำคัญของ สว. ชุดดังกล่าว จะแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือ อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะทำให้ สว.ชุดแรก เป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกนายกฯ เนื่องจากระบบเลือกตั้งในปี 2562 เป็นระบบเลือกตั้งที่ออกแบบมาไม่ให้มีพรรคการเมืองใดมีที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของสภา หรือเกิน 250 ที่นั่ง แต่ทว่า สว.ชุดแรกที่มาจากคัดเลือกของคสช. กลับมีที่นั่งมากถึง 250 คน นั้นเท่ากับว่า ในการเลือกนายกฯ พรรคที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ พรรค สว.ของคสช. และนั้นจึงเป็นเหตุผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง

และเช่นเดียวกัน กับการเลือกตั้ง ปี 2566 แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แต่เสียงจาก สว. ก็เป็นส่วนสำคัญในการสกัดไม่ให้พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับที่หนึ่งอย่างพรรคก้าวไกลได้รับเลือกเป็นรัฐบาล

อำนาจสำคัญส่วนที่สอง ของ สว. คือ การพิทักษ์รักษาอำนาจในรัฐธรรมนูญ 60 เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก สว.ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวได้กลายมาเป็นเงื่อนตายที่ทำให้ความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญจาก 4 ถึง 5 ครั้ง และมีข้อเสนอรวมกันอย่างน้อย 26 ข้อเสนอ ไม่สามารถผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาได้ตั้งแต่วาระแรก ทั้งที่ หลายเรื่องได้รับเสียงเห็นชอบจาก สส.อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขหมวดสิทธิเสรีภาพ หรือ การตัดอำนาจ สว. เลือกนายกฯ

อำนาจสำคัญประการที่สามของ สว. คือ การให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการองค์กรอิสระ ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งฐานอำนาจสำคัญของคณะรัฐประหาร ในการทำ “นิติสงคราม” หรือ การใช้กฎหมายกลั่นแกล้งทางการเมืองกับพรรคการเมืองที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับคณะรัฐประหาร

อย่างไรก็ดี ในปี 2567 สว.ที่มาจากคสช. ต้องหมดอายุไป และถูกแทนที่ใหม่ด้วย สว. ที่มาจากระบบการ “เลือกกันเอง” ตามกลุ่มอาชีพ ซึ่งเนื้อแท้ของระบบนี้ คือ การตัดการมีส่วนร่วมของประชาชนออกด้วยการไม่ยอมใช้การเลือกตั้ง ในขณะเดียวกัน ก็เปิดช่องให้กลุ่มคนที่มีอิทธิพล ชื่อเสียง เงินทอง และเครือข่าย สามารถเข้าไปกอบโกยที่นั่งในวุฒิสภาได้ง่าย

และจากผลการเลือก สว. รวมถึงข้อพิรุธต่างๆ ในตลอดการเลือก ก็ยิ่งตอกย้ำว่า ระบบดังกล่าว กลายเป็น ระบบสืบทอดอำนาจแบบใหม่ของกลุ่มการเมืองสีน้ำเงิน อย่างพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี สว. ในพื้นที่ของตัวเองจำนวนมาก และยังมี สว. ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดเข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญของ สว.

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ สว.ชุดใหม่ หรือที่ถูกเรียกกันอย่างกว้างขวางว่า “สว.สีน้ำเงิน” กลายมาเป็นวิกฤตทางการเมืองระลอกใหม่ อันจะเห็นได้จากการที่พรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคอันดับสามในสภาผู้แทนราษฎร กลับมีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูง และสามารถกดดันพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทยให้เดินถอยหลังในการดำเนินนโยบายต่างๆ จนสื่อมวลชนตั้งฉายาว่า “พรรคภูมิใจขวาง”

โดยหลายครั้ง สว. กลายเป็นเครื่องมือในการสกัดขัดขวางเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร ยกตัวอย่างเช่น การแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติฯ ที่เสียงข้างมากของ สส. ต้องการยกเลิกหลักเกณฑ์การตัดสินผลประชามติแบบ “เสียงข้างมากสองชั้น” เป็นแบบ “เสียงข้างมากธรรมดา” แต่ สว. กลับตีกลับกฎหมายของ สส. จนเป็นผลให้กฎหมายดังกล่าวต้องถูกยับยั้งเป็นเวลา 180 วัน และทำให้โรดแมปของการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องเลื่อนออกไป อีกทั้ง สว. ยังเคย ‘วอล์กเอ้าท์’ หรือ ไม่ยอมเข้าประชุมเพื่อพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทั้งที่เป็นหนึ่งในนโยบายเรือธงของรัฐบาล

นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากังวลใจมากที่สุด คือ การแทรกแซงบรรดาองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอย โดยการที่ สว.สีน้ำเงิน เข้าแทรกแซงการเลือกองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อใช้องค์กรเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสร้างเกราะคุ้มกันทางกฎหมายให้กับตัวเอง และเป็นเครื่องมือทำนิติสงครามกับฝ่ายตรงข้าม


วิกฤตธรรมาภิบาลตกต่ำจากองค์กรอิสระที่ไม่เป็นอิสระ

รัฐธรรมนูญ ปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาให้สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. เป็นจักรกลทางการเมืองในการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร คสช. ซึ่งหนึ่งในกลไกสืบทอดอำนาจก็คือ การแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ และใช้องค์กรดังกล่าวในการสร้างเกราะคุ้มกันทางกฎหมายให้ตัวเองและใช้เป็นเครื่องมือทุบทำลายฝ่ายตรงข้าม

ภายหลังการรัฐประหาร ปี 2557 คสช. ใช้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เข้าไปแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญจนเกือบครบทุกตำแหน่ง และเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 60 คสช. ก็ใช้ สว.ชุดแรกของตัวเองเข้าไปยึดกุมบรรดาองค์กรดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจาก iLaw ระบุว่าตลอดระยะเวลาห้าปีในการดำรงตำแหน่งของ สว.ชุดพิเศษของ คสช. มีการคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงตำแหน่งสำคัญอื่นๆ รวมกันกว่า 96 คน และไม่เห็นชอบ 19 คน ยกตัวอย่างเช่น

๐ ให้ความเห็นชอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 7 คน
๐ ให้ความเห็นชอบคณะกรรมการการเลือกตั้ง จำนวน 2 คน
๐ ให้ความเห็นชอบผู้ตรวจการแผ่นดิน จำนวน 2 คน
๐ ให้ความเห็นชอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจำนวน 7 คน
๐ ให้ความเห็นชอบคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวน 1 คน

ซึ่งผลจากการเข้าแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เห็นถึงความแตกต่างในการทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2563 ผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ คือ การปกป้องคุ้มกายรัฐบาล คสช. จากการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ คดีหุ้นสื่อของ สส. ฝ่ายรัฐบาล ในขณะ สส. ฝ่ายค้านต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง รวมไปถึงการยุบพรรคอนาคตใหม่จากคดีกู้เงินที่ขัดแย้งกับความเห็นของคณาจารย์ด้านนิติศาสตร์จำนวนมาก

อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องธรรมาภิบาลในการทำหน้าที่ของบรรดาองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่ แม้ สว.ชุดพิเศษของคสช. จะหมดอายุไปแล้วก็ตาม เนื่องจาก สว.ชุดใหม่ หรือ สว.สีน้ำเงิน ก็มีแนวโน้มที่จะเข้ามาแทรกแซงองค์กรดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน

โดยหนึ่งในปัญหาสำคัญคือ ในปี 2568 จะมีการคัดเลือก กกต. ชุดใหม่ จำนวน 5 คน ซึ่ง กกต. ชุดนี้จะมีหน้าที่สำคัญในการสอบสวนเรื่องกระบวนการโกงการเลือก สว. ดังนั้น หาก สว. ส่วนใหญ่ ซึ่งมีข้อครหาเรื่องการโกงการเลือก สว. เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนเลือก กกต. ชุดใหม่ เสียเองแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะคนที่ตรวจสอบถูกเลือกโดยคนที่ถูกตรวจสอบแทน


วิกฤตตุลาการธิปไตยที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญถืออำนาจบาตรใหญ่

นับตั้งแต่ช่วงวิกฤตการเมืองในปี 2549 จนถึงวิกฤตรัฐธรรมนูญในปี 2567 เป็นเวลาเกือบสองทศวรรษที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับระบบ “ตุลาการภิวัฒน์” หรือ การที่สถาบันตุลาการขยายอำนาจเข้ามามีบทบาททางการเมืองผ่านการตัดสินคดีความ และการที่ฝ่ายการเมืองที่สนับสนุนอำนาจรัฐประหารก็จงใจหยิบยืมมือของสถาบันตุลาการมาใช้โดยการส่งคดีที่เกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองให้ “ศาล” ใช้อำนาจชี้ขาด

ระบบตุลาการภิวัฒน์ ปรากฏให้เห็นชัดเจนในบทบาทของ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ที่เปลี่ยนสถานะจากผู้คุมกฎมาเป็นผู้เล่นทางการเมือง โดยใช้รัฐธรรมนูญที่คณะรัฐประหารยกร่างขึ้นเป็นฐาน และใช้ “คำตัดสิน” เป็นอาวุธพลิกผันสถานการณ์การเมือง เช่น การยุบพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชน การตัดสิทธิผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงการปกป้องและสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารให้ยังคงอยู่ต่อ

หลังการรัฐประหาร ปี 57 ศาลรัฐธรรมนูญ ถูกแทรกแซงโดย คสช. หลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการต่ออายุภายใต้อำนาจพิเศษที่เรียกว่า “มาตรา 44” หรือ การที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เข้ามามีส่วนร่วมในการคัดเลือกและเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผลจากการแทรกแซงดังกล่าว ได้นำไปสู่ข้อกังขาต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหลายครั้ง

ยกตัวอย่างเช่น กรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณี ถือหุ้น บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในระหว่างการสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเข้าข่ายเป็นการถือหุ้นสื่อ โดยต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ให้ธนาธรพ้นจากความเป็น สส. แม้ว่าบริษัทดังกล่าวจะไม่ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนแต่เป็นสื่อโฆษณาและได้หยุดดำเนินกิจการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ตาม

ในขณะเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญกลับคุ้มครองฝ่ายคสช. อย่างหนักแน่น เช่น กรณี พล.อ.ประยุทธ์ พักอาศัยในบ้านพักข้าราชการทหารแม้เกษียณอายุไป 6 ปีแล้ว ทำให้ ส.ส. ฝ่ายค้าน รวมตัวกันร้องว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการรับเงินหรือประโยชน์ใดๆ จากหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ในธุรกิจการงานปกติ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และการขัดกันแห่งผลประโยชน์

แต่ศาลกลับระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกฯ เนื่องจากเป็นไปตามระเบียบภายในของกองทัพบก (ทบ.) ปี 2548 และยังชี้ว่ารัฐพึงจัดสรรที่พำนักให้ผู้นำประเทศ เพื่อ “สร้างความพร้อมทั้งสุขภาพกายและจิตใจในการปฏิบัติภารกิจในการบริหารประเทศล้วนเป็นประโยชน์ส่วนรวม” และกรณีนี้ไม่ถือประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ไม่เป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตัวเอง

อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญ คือ การยุบพรรคก้าวไกลจากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา 112 โดยศาลตีความว่า การเสนอแก้ไขกฎหมายดังกล่าวของพรรคก้าวไกลเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งที่ อำนาจในการแก้กฎหมายเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังก้าวล้ำเข้ามาเป็นองค์กรสุดท้ายในการตัดสินของทุกอำนาจ จนเสมือนประเทศกำลังปกครองในระบอบตุลาการธิปไตย ที่ฝ่ายตุลาการเข้ามาเป็นผู้ชี้ขาดทุกอย่างทางการเมือง


วิกฤตกฎหมู่ตามอำเภอใจจากการใช้มาตรฐานจริยธรรม

การเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งและการตัดสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ของ ‘ช่อ-พรรณิการ์ วานิช’ แกนนำคณะก้าวหน้า และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ ไปจนถึงการตัดสินให้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดภายใต้นวัตกรรมทางการเมืองใหม่ของ คสช. ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่เรียกว่า “มาตรฐานจริยธรรม”

คำว่า ‘มาตรฐานจริยธรรม’ ปรากฏให้เห็นในรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ปี 40 แต่ยังไม่มีกลไกการบังคับใช้ที่ชัดเจน ต่อมาในรัฐธรรมนูญ ปี 50 ได้กำหนดให้การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ถือเป็นเหตุในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ดำเนินการไต่ส่วนและชี้มูล และส่งเรื่องให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นผู้พิจารณาเพื่อลงมติถอดถอน

ต่อมาในรัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่ถูกร่างขึ้นภายใต้คณะรัฐประหาร หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการบัญญัติเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้ในมาตรา 219 โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเป็นผู้จัดทำ และให้บังคับใช้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ สส. สว. และคณะรัฐมนตรี (ครม.)

โดยรัฐธรรมนูญ ปี 60 กำหนดให้การจัดทำร่างมาตรฐานทางจริยธรรมต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจาก สส. และ สว. แต่เนื่องจากในขณะที่มีการจัดทำมาตรฐานจริยธรรมยังไม่มี สส. และ สว. จึงต้องจัดการรับฟังความคิดเห็นจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือสภาแต่งตั้งที่มีที่มาจาก คสช. ดังนั้น มาตรฐานจริยธรรมที่ประกาศใช้จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่มาจากการพิจารณาร่วมกันของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ และ สนช. ซึ่งทั้งสามส่วนล้วนมีจุดเชื่อมโยงกับ คสช. แทบทั้งสิ้น

หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี 60 ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระได้ดำเนินการยกร่างมาตรฐานจริยธรรมขึ้น ก่อนจะประกาศใช้ในวันที่ 31 มกราคม 2561 ซึ่งการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม มีการกำหนดโทษไว้ 2 ลักษณะ คือการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวดหนึ่ง ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ส่วนการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมในหมวดสองและหมวดสาม ให้พิจารณาอีกครั้งว่าเป็นการกระทำว่ามีลักษณะร้ายแรงหรือไม่

โดยรัฐธรรมนูญ ปี 60 มาตรา 235 กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ไต่สวน และส่งความเห็นให้ศาลฎีกาพิจารณาว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรายนั้นๆ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งถ้าหากศาลฎีการับฟ้อง ผู้ถูกกล่าวหาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และหากศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดผิด ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งบุคคลดังกล่าวไม่เกิน 10 ปี รวมถึงหมดสิทธิเข้ารับตำแหน่งต่างๆ ทางการเมือง ซึ่งนับเป็นการประหารชีวิตทางการเมือง

โดยหมวดหนึ่ง ซึ่งเป็นหมวดที่ใช้ในการลงโทษอย่างร้ายแรงนั้น กลับมีเนื้อหาที่กว้างขวางไม่ชัดเจน เช่น องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือจะต้องยึดถือผลประโยชน์ของชาติเหนือประโยชน์ส่วนตน และปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ เป็นต้น

ความน่ากังวลใจเหล่านี้คือ การมีอัตราโทษที่สูงแต่ความชัดเจนแน่นอนทางกฎหมายกลับไม่มี จนเสมือนสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นกฎหมู่ตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจในการประหัตประหารนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน


วิกฤตการออกใบอนุญาตรัฐประหารจากการนิรโทษกรรมให้ คสช.

หลังการรัฐประหารในปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะผู้ก่อการรัฐประหารได้ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ หรือผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ และใช้อำนาจพิเศษผ่านการออกประกาศและคำสั่งต่างๆ แบ่งเป็นประกาศ คสช. 132 ฉบับ และคำสั่งคสช. อีก 213 ฉบับ โดยอ้างเหตุเรื่องความมั่นคงในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างเช่น เสรีภาพในการพูดหรือแสดงออก เสรีภาพในการชุมนุม และเสรีภาพสื่อ

นอกจากนี้ หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฯ ปี 2557 หัวหน้า คสช. ยังมีอำนาจพิเศษตาม “มาตรา 44” ของรัฐธรรมนูญ ที่สามารถออกคำสั่งในเรื่องต่างๆ ได้อย่างอิสระไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางบริหาร ตุลาการ หรือนิติบัญญัติ

ซึ่งตลอด 5 ปี ในยุคคสช. มีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ทั้งสิ้น 211 ฉบับ ทั้งนี้ การใช้อำนาจในลักษณะดังกล่าวของ คสช. นำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง รวมถึงสร้างผลกระทบทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

ยกตัวอย่างเช่น ช่วงแรกหลังการรัฐประหาร คสช. พยายามควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองโดยใช้การออกคำสั่ง คสช. ให้บุคคลเข้ารายงานตัวต่อกองทัพหรือเจ้าหน้าที่ทหาร อย่างน้อย 36 ครั้ง และมีคนถูกเรียกไปรายงานตัวโดยไม่ทราบเหตุผลและไม่ทราบสถานที่ควบคุมตัวอย่างน้อย 292 คน แต่จากการตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่ถูกเรียกเข้าไปรายงานตัวและถูกควบคุมตัวต่อจากนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มนักการเมือง นักวิชาการ นักกิจกรรมทางการเมือง สื่อมวลชน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะเป็นคู่ขัดแย้งหรือต่อต้านคสช.

หรืออย่าง คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ซึ่งยังไม่ได้รับการยกเลิกทั้งหมด และยังคงอำนาจให้ทหารตั้งแต่ยศร้อยตรี เรือตรี และเรืออากาศตรีซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย’ ใช้อำนาจต่างๆ ในคดีอาญาได้เช่นเดียวกับตำรวจในคดีเกี่ยวกับ ‘ความมั่นคง’ รวมทั้งกระทำการอื่นใดตามที่ คสช. มอบหมาย เช่น การควบคุมตัวหรือค้นบ้านบุคคลโดยไม่ต้องมีหมายศาล และนำตัวไปสอบสวน 7 วัน โดยไม่เปิดเผยสถานที่ ทั้งนี้ การใช้อำนาจดังกล่าวเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง เช่น การบังคับให้สูญหาย หรือ การซ้อมทรมานผู้ต้องหา

ทั้งนี้ แม้ว่า ในปัจจุบันสถานะของ คสช. จะสิ้นสุดลงไปแล้วหลังมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ยังให้การรับรองการใช้อำนาจของ คสช. ที่ผ่านมาไว้อยู่ ทำให้การตรวจสอบอำนาจหรือลบล้าผลพวงจากการใช้อำนาจดังกล่าว หรือการเอาผิดการใช้อำนาจโดยมิชอบไม่สามารถกระทำได้ และอาจนำไปสู่การสร้างวัฒธรรม “ลอยนวลพ้นผิด” ที่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ อีกทั้งยังเป็นช่องให้การทำรัฐประหารไม่ต้องรับผิดจนกลายเป็นวงจรอุบาทว์ทางการเมือง


วิกฤตรัฐธรรมนูญที่บอกว่าแก้ได้ แต่จริงๆ แก้แทบไม่ได้

รัฐธรรมนูญปี 2560 มีวิธีการแก้ไขที่ยุ่งยากเมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ต้องมีเสียงวุฒิสภา (ส.ว.) 1 ใน 3 หรือ 84 คน และฝ่ายค้านร้อยละ 20 ในจำนวนเสียงครึ่งหนึ่งของสองสภาที่ใช้ลงมติเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังบังคับให้ทำประชามติถ้าจะแก้ไขในประเด็นบททั่วไป กษัตริย์ วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญ คุณสมบัตินักการเมือง อำนาจศาลและองค์กรอิสระ อีกทั้งยังให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาวินิจฉัยชี้ขาดว่าแก้ได้หรือไม่อีกด้วย

หากย้อนกลับไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ถึงเดือนธันวาคม 2565 ที่ประชุมรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วย สส. และ สว. ต่างต้องเคยพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งหมด 5 ครั้ง รวมทั้งหมด 26 ข้อเสนอ โดยมาจากทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และภาคประชาชนที่ร่วมกันล่ารายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเอง แต่จนแล้วจนรอด ส.ว. ก็ยังทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญของ คสช. ได้อย่างแข็งขัน ปัดตกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมด ผ่านได้เพียงแค่ร่างเดียวคือข้อเสนอแก้ไขระบบเลือกตั้งที่เสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ หรือ หมายความ มีผ่านแค่ 1 ข้อเสนอ และถูกปัดตกถึง 26 ข้อเสนอ

ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2563 รัฐสภาเคยมีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากในการพิจารณาในวาระที่สาม (วาระสุดท้ายก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมาย) ที่ประชุมรัฐสภามีเสียงเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ถึง ‘กึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา’ อีกทั้ง สว. ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังลงมติเห็นชอบไม่ถึงหนึ่งในสามจึงทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอันตกไป

จนกระทั่ง ในปี 2567 ความหวังในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ก็มีมากขึ้น เนื่องจากมีพรรคการเมืองที่มีนโยบายการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ มี สส. ในสภา ไม่น้อยกว่า 300 เสียง ดังนั้น หากมี สว. ชุดใหม่ที่มาจากการเลือกกันเอง เห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในครั้งนี้เกินหนึ่งในสาม หรือ 67 เสียง กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะเกิดขึ้นได้จริง

แต่ทว่า เส้นทางการร่างรัฐธรรมนูญใหม่กลับต้องถูกสกัดโดยพันธมิตรการเมืองระหว่างสภาบนอย่าง กลุ่ม สว.สีน้ำเงิน และสภาล่างอย่างพรรคภูมิใจไทย

โดยการขัดขวางครั้งแรก มาจากการเตะถ่วง พ.ร.บ.ประชามติฯ - ยื้อประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่

โดยที่มาที่ไปของเรื่องนี้คือ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ที่ระบุให้การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยนั้นจะมีการทำประชามติสามครั้ง ในขณะเดียวกันก่อนที่จะทำประชามติครั้งแรกได้ก็จะต้องแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติฯ เพื่อปลดล็อคกลไก “เสียงข้างมากสองชั้น” หรือ Double Majority เสียก่อน

ต่อมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างแก้ พ.ร.บ.ประชามติฯ ในวาระสาม โดยมีสาระสำคัญคือการปลดล็อคเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้น แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ทาง สว. ได้พลิกมติ สส. ด้วยการฟื้นหลักเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้นกลับมา จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของรัฐสภา แต่ในท้ายที่สุด ทั้ง สส. และ สว. ก็ยังเป็นต่างกัน โดย สส. เสียงข้างมาก ไม่เห็นด้วยกับการฟื้นหลักเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้น แต่พรรคภูมิใจไทย และ สว. กลับเห็นไปในทางเดียวกันคือ ต้องการฟื้นหลักเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้น จนทำให้ พ.ร.บ.ประชามติฯ ถูกยับยั้ง ไม่สามารถนำมาพิจารณาได้เป็นเวลา 180 วัน และเป็นผลให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ตามโรดแมปเดิมของรัฐบาลไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

สำหรับการขัดขวางครั้งที่สอง มาจากการที่ สว. จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจรัฐสภาในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยประกาศไม่ยอมสังฆกรรม หรือ จะร่วมลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในวันที่ 13 และ 14 กุมภาพันธ์ 2568 นี้

โดยการยื่นศาลรัฐธรรมนูญของ สว. และการไม่ยอมเข้าร่วมการประชุมของพรรคภูมิใจไทยเป็นเพียงเทคนิกในการยื้อกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ เนื่องจากในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 และในคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากก็ระบุชัดว่า รัฐสภาสามารถดำเนินการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ได้ ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ หรือ ไม่ยอมเข้าร่วมการประชุมรัฐสภา เว้นเสียแต่ว่า ต้องการขัดขวางการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่