
เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) สภายุโรป (European Parliament) มีมติประณามประเทศไทยในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ
สภายุโรปลงมติประณามไทย ส่งกลับอุยกูร์–กดปราบผู้เห็นต่างด้วยกฎหมาย นัยต่อประเทศไทยคืออะไร ?
14 มีนาคม 2025
สภายุโรปลงมติประณามไทย ส่งกลับอุยกูร์–กดปราบผู้เห็นต่างด้วยกฎหมาย นัยต่อประเทศไทยคืออะไร ?
14 มีนาคม 2025
บีบีซีไทย
ประเด็นเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยกลับมาเป็นประเด็นถกเถียงในระดับนานาชาติอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) สภายุโรป (European Parliament) มีมติด้วยคะแนนเสียง 482 ต่อ 57 และงดออกเสียง 68 เสียง ประณามประเทศไทยจากกรณีการเนรเทศชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเยาวชน นักการเมือง และนักกิจกรรมทางการเมือง
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการอภิปรายเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยเน้นย้ำว่าผลลัพธ์ของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีนั้นมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงการเคารพประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศภาคีด้วย
บีบีซีไทยสรุปสาระสำคัญจากการอภิปรายของสภายุโรปเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายและสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ที่นำมาซึ่งการโหวตด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นลงมติประณามไทย รวมถึงสำรวจผลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการประณามของยุโรปต่อไทยในครั้งนี้
สภายุโรปประณามไทย กรณีส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน
การอภิปรายในที่ประชุมใหญ่สภายุโรปเรื่องหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่เรื่องการตัดสินใจของประเทศไทยในการส่งชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนกลับประเทศจีน โดยในแถลงการณ์ระบุว่า ชาวอุยกูร์ดังกล่าวถูกกักขังในประเทศไทยเป็นเวลานานกว่า 11 ปี และยังมีชาวอุยกูร์จำนวน 5 ราย ที่เสียชีวิตเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ในสถานกักตัวและการขาดแคลนการดูแลทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ
โดยสภายุโรปมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศภายใต้ หลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
มิเรียม เล็กซ์แมนน์ สมาชิกสภายุโรปจากประเทศสโลวาเกีย กล่าวประณามประเทศไทยในที่ประชุมว่า ไทย "ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงต่อการรับรองศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์" โดยเธอเรียกร้องให้ประเทศไทยแสดงถึงการยืนหยัดในจุดยืนต่อเรื่องดังกล่าว
"พวกเขา [ชาวอุยกูร์] ถูกกักขังในสภาพที่ไร้มนุษยธรรมก่อนจะถูกส่งกลับประเทศจีน และเสี่ยงต่อการถูกทรมานและจำคุก… นโยบายต่างประเทศที่มีหลักการเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องสิทธิมนุษยชนและช่องทางเศรษฐกิจของเรา [สหภาพยุโรปและประเทศพันธมิตร] ได้ ประเทศไทยต้องตัดสินใจถึงจุดยืนของพวกเขา" เธอกล่าว
ประเด็นเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยกลับมาเป็นประเด็นถกเถียงในระดับนานาชาติอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) สภายุโรป (European Parliament) มีมติด้วยคะแนนเสียง 482 ต่อ 57 และงดออกเสียง 68 เสียง ประณามประเทศไทยจากกรณีการเนรเทศชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเยาวชน นักการเมือง และนักกิจกรรมทางการเมือง
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการอภิปรายเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ และอาจเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ โดยเน้นย้ำว่าผลลัพธ์ของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีนั้นมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับเกณฑ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงการเคารพประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศภาคีด้วย
บีบีซีไทยสรุปสาระสำคัญจากการอภิปรายของสภายุโรปเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายและสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ที่นำมาซึ่งการโหวตด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นลงมติประณามไทย รวมถึงสำรวจผลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการประณามของยุโรปต่อไทยในครั้งนี้
สภายุโรปประณามไทย กรณีส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน
การอภิปรายในที่ประชุมใหญ่สภายุโรปเรื่องหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่เรื่องการตัดสินใจของประเทศไทยในการส่งชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนกลับประเทศจีน โดยในแถลงการณ์ระบุว่า ชาวอุยกูร์ดังกล่าวถูกกักขังในประเทศไทยเป็นเวลานานกว่า 11 ปี และยังมีชาวอุยกูร์จำนวน 5 ราย ที่เสียชีวิตเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ในสถานกักตัวและการขาดแคลนการดูแลทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ
โดยสภายุโรปมองว่ากรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศภายใต้ หลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) และอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
มิเรียม เล็กซ์แมนน์ สมาชิกสภายุโรปจากประเทศสโลวาเกีย กล่าวประณามประเทศไทยในที่ประชุมว่า ไทย "ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงต่อการรับรองศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์" โดยเธอเรียกร้องให้ประเทศไทยแสดงถึงการยืนหยัดในจุดยืนต่อเรื่องดังกล่าว
"พวกเขา [ชาวอุยกูร์] ถูกกักขังในสภาพที่ไร้มนุษยธรรมก่อนจะถูกส่งกลับประเทศจีน และเสี่ยงต่อการถูกทรมานและจำคุก… นโยบายต่างประเทศที่มีหลักการเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องสิทธิมนุษยชนและช่องทางเศรษฐกิจของเรา [สหภาพยุโรปและประเทศพันธมิตร] ได้ ประเทศไทยต้องตัดสินใจถึงจุดยืนของพวกเขา" เธอกล่าว
ภาพด้านหน้าสถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ซึ่งมีการรายงานว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวมานานกว่า 11 ปี ได้รับการปฏิบัติที่ย่ำแย่และไม่ถูกหลักสุขอนามัย
นอกจากนี้ สภายุโรปยังเรียกร้องให้ประเทศไทยเปิดเผยถึงความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในสถานที่กักขังในประเทศไทย ยุติการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนในอนาคต และให้ความเป็นธรรมในการดำเนินคดีกับชาวอุยกูร์ รวมถึงให้ความร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในความพยายามในการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมของประเทศไทยก็ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมาถึงกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนในครั้งนี้เป็นการกลับโดยความสมัครใจ และทางการไทยได้ดำเนินการตามกฎหมายสากลและกฎหมายภายในประเทศ
จี้ไทยเร่งแก้ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ม.112 – กังวล 44 สส.ฝ่ายค้านเสี่ยงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกอภิปรายในสภายุโรปคือการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านตัวเลขการดำเนินคดีนับตั้งแต่ปี 2020 โดยมีนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักข่าว มากกว่า 1,960 คน รวมถึงเยาวชนอีกกว่า 280 คน ถูกฟ้องร้องหรือถูกประณามเนื่องจากการแสดงความเห็น โดยการใช้กฎหมาย ม.112 และกฎหมายกดปราบอื่น ๆ เช่น กฎหมายมาตรา 116 หรือ ข้อหายุยงปลุกปั่น พรบ.การชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ สมาชิกสภายุโรปยังได้ยกกรณีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งถูกตัดสินโทษจำคุกยาวนานจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน เช่น อานนท์ นําภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน, อัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการกรมสรรพากร และ มงคล ถิระโคตร พ่อค้าออนไลน์ เป็นต้น
นอกจากนี้ สภายุโรปยังเรียกร้องให้ประเทศไทยเปิดเผยถึงความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในสถานที่กักขังในประเทศไทย ยุติการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนในอนาคต และให้ความเป็นธรรมในการดำเนินคดีกับชาวอุยกูร์ รวมถึงให้ความร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในความพยายามในการส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่สาม
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมของประเทศไทยก็ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมาถึงกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนในครั้งนี้เป็นการกลับโดยความสมัครใจ และทางการไทยได้ดำเนินการตามกฎหมายสากลและกฎหมายภายในประเทศ
จี้ไทยเร่งแก้ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ม.112 – กังวล 44 สส.ฝ่ายค้านเสี่ยงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกอภิปรายในสภายุโรปคือการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านตัวเลขการดำเนินคดีนับตั้งแต่ปี 2020 โดยมีนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักข่าว มากกว่า 1,960 คน รวมถึงเยาวชนอีกกว่า 280 คน ถูกฟ้องร้องหรือถูกประณามเนื่องจากการแสดงความเห็น โดยการใช้กฎหมาย ม.112 และกฎหมายกดปราบอื่น ๆ เช่น กฎหมายมาตรา 116 หรือ ข้อหายุยงปลุกปั่น พรบ.การชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ สมาชิกสภายุโรปยังได้ยกกรณีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งถูกตัดสินโทษจำคุกยาวนานจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน เช่น อานนท์ นําภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน, อัญชัญ ปรีเลิศ อดีตข้าราชการกรมสรรพากร และ มงคล ถิระโคตร พ่อค้าออนไลน์ เป็นต้น

อานนท์ นําภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน
สภายุโรปยังแสดงความกังวลกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินยุบพรรคก้าวไกลด้วย จากการรณรงค์แก้ไขกฎหมาย ม.112 รวมถึงการดำเนินคดีกับ สส. จำนวน 44 คนของพรรคซึ่งเสนอร่างแก้ไข ม.112 ทำให้เสี่ยงถูกตัดสิทธิทางการเมือง โดยในกรณีร้ายแรงที่สุดคือการลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
ที่ประชุมสภายุโรปยังแสดงความกังวลอย่างสูงต่อการดำเนินคดีความทางการเมืองโดยการใช้กฎหมาย ม.112 รวมถึงต่อการดำเนินคดีนักการเมืองฝ่ายค้านจากพรรคประชาชน เช่น ปิยรัฐ จงเทพ, รักชนก ศรีนอก และ ชลธิชา แจ้งเร็ว จากกิจกรรมทางการเมืองของพวกเขาด้วย
ทั้งนี้ หนึ่งในสมาชิกรัฐสภายุโรป ดาเนียล แอตตาร์ด จากสาธารณรัฐมอลตา กล่าวว่าการดำเนินการแก้ไข้ประมวลกฎหมายมาตราดังกล่าวและการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง จะเป็นตัวผลักดันให้ประเทศไทยปฏิบัติตามหลักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนสากลมากขึ้น
"ประชาธิปไตยจะเจริญรุ่งเรืองได้ก็ต่อเมื่อความคิดเห็นถูกนำมาถกเถียง ไม่ใช่ถูกลงโทษ ด้วยเหตุนี้เราจึงขอเรียกร้องอย่างยิ่งให้ทางการไทยทำการนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดี หรือถูกตัดสินจำคุก จากการใช้สิทธิของตนอย่างสันติ" เขากล่าว
ทั้งนี้ สมาชิกสภายุโรปเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน รวมถึงเรียกร้องการนิรโทษกรรมและปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวภายใต้กฎหมาย ม.112 รวมถึงยกเลิกการดำเนินคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมืองต่อสมาชิกรัฐสภา นักกิจกรรม และนักข่าว
มติประณามไทยของรัฐสภายุโรป จะมีผลกระทบต่อไทยอย่างไร ?
ปัจจุบันประเทศไทยภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังเดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปที่มีสมาชิก 27 ประเทศ เพื่อขยายตลาดสินค้าไทย ดึงดูดนักลงทุน และกระจายความเสี่ยงทางการค้า ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าของประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ จากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
หลังจากสภายุโรปมีมติประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยดังกล่าว ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหภาพยุโรปเรียกร้องให้ สมาคมการค้าเสรียุโรป (European Free Trade Association - EFTA) นำข้อเสนอแนะของสมาชิกสภายุโรปมาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นข้อตกลงการค้าเสรีที่ลงนามแล้วยังต้องถูกส่งไปยังสภายุโรป เพื่อขอความเห็นชอบก่อนคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปจะสามารถลงมติเพื่อสรุปข้อตกลงได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ในการทำข้อตกลงทางการค้าทวิภาคีกับสหภาพยุโรปนั้น มักมีเงื่อนไขว่าสหภาพยุโรปไม่จำเป็นต้องทำตามเงื่อนไขที่ระบุใน FTA หากประเทศภาคีไม่ปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือหลักประชาธิปไตย ด้วย
ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ แสดงทัศนะในเรื่องนี้กับบีบีซีไทยว่า ประเทศไทยควรเรียนรู้เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการกระทำของประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง และอำนาจในการเจรจาต่อรองในระดับนานาชาติ ที่อาจเสียหายจากการไม่เคารพกฎกติกาสากล
"ชื่อเสียงในระดับนานาชาติของเรา [ประเทศไทย] ก็ลดทอนลง นั่นก็คือซอฟต์พาวเวอร์ของเราถูกกระทบ อำนาจในการเจรจา ความน่าเชื่อถือเวลาเราจะพูดเรื่องมนุษยชนในเวทีโลก ภาพพจน์เรามันจะถูกกระทบอย่างแน่นอน... เราไม่ได้มีสถิติด้านมนุษยธรรมที่ดีขนาดนั้นในมุมมองของสหภาพยุโรป และเรื่องอุยกูร์เป็นอีกประเด็นที่จะตอกย้ำในเรื่องนี้"
ย้อนไปในเดือน ต.ค. ปีก่อน แม้ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council - UNHRC) วาระปี 2025-2027 แล้ว แต่อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มธ. ชี้ว่าการปฏิบัติตัวของประเทศไทยนั้นสวนทางกับภาพลักษณ์ที่รัฐบาลอยากจะให้ประเทศไทยเป็นบนเวทีโลก
"เราพูดเยอะในเรื่องต่าง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเดียว เรื่องความยั่งยืน (sustainability) แนวคิดการเติบโตสีเขียว (green growth) แต่ถ้าตามดู การปฏิบัติการต่าง ๆ ในประเทศของเราก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น" อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก มธ. ระบุ

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขณะเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum 2025 ณ เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์
ด้านนายกัณวีร์ สืบแสง สส.ฝ่ายค้าย จากพรรคเป็นธรรม ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวบนเฟซบุ๊กของตนเองโดยระบุว่า การที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนกลับจีน เริ่มมีผลกระทบที่นอกเหนือจากด้านมนุษยธรรมแล้ว หลังมีกระแสกดดันเรื่องการค้าระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง "[การ] ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับจีนมันกระทบนอกจากมนุษยธรรมแล้ว วันนี้รัฐสภายุโรปของ 27 ประเทศ มีมติประณามไทย ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 482 พร้อมทั้งเรียกร้องให้ใช้ FTA กดดันให้ไทยปฏิรูปสิทธิมนุษยชน"
นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ก็ได้ออกมาเรียกร้องต่อกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้ผลักดันกรอบข้อตกลงตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement - PCA) และหนึ่งในผู้ร่วมตัดสินใจในการส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ให้ออกมาชี้แจงในเรื่องดังกล่าวด้วย
"การเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรปไม่ใช่เรื่องการค้าการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีคำมั่นและภาระผูกพันที่ไทยต้องปฏิบัติตามหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล และสิทธิมนุษยชนสากล ที่หากไทยละเมิดอาจส่งผลกระทบต่อข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย- EU ตามกรอบความตกลง PCA"
ดร.ฟูอาดี้ เสนอแนะด้วยว่า ในเวลาที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน มีความผันผวนสูง ประเทศไทยไม่ควรตัดความสัมพันธ์กับพันธมิตรประเทศอย่างสหภาพยุโรป และควรพยายามเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาเพื่อรักษาความหลากหลายของประเทศพันธมิตรไว้ เนื่องจากไทยไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ เนื่องจากประเทศไทยต้องมีการค้าขายและมีปฏิสัมพันธ์กับนานาชาติ
"โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกมีความโกลาหลอยู่ในขณะนี้ รัสเซีย จีน สหรัฐฯ มีความไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นพันธมิตรของเราจริง ๆ อาจจะไม่ใช่เป็นเทศมหาอำนาจในระดับจีนหรือรัสเซีย แต่อาจจะเป็นสหภาพยุโรป... เพราะฉะนั้นการที่เรามีครรลองที่ถูกต้องก็จะทำให้ความร่วมมือระหว่างไทยและกลุ่ม EU เป็นไปได้อย่างราบรื่นขึ้น ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มเจรจาเรื่องการป้องกันของประเทศมากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องที่สำคัญมากในอนาคต" อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าวทิ้งท้าย
https://www.bbc.com/thai/articles/cnvzg0lv89qo