วันเสาร์, เมษายน 01, 2566

‘จุลเจิม’ ยอมรับว่าการใช้ ม.๑๑๒ เล่นงานผู้ประท้วงนั้น “แปดเปื้อนถึงพระองค์ทั่น”

ฮ้า จุลเจิม กล้ายอมรับแทนเหนือหัวเชียวเหรอว่า การใช้ ป.อาญา ม.๑๑๒ นั้น “แปดเปื้อนถึงพระองค์ทั่น” อันเป็นความจริงมานานนม เหมือนจะบอกว่าพวกข้าเริ่มฉลาด หลังจากที่เอะอะก็ ๑๑๒ มาตลอด ทั้งที่ไม่เข้าข่ายความผิด

ตอนนี้หันมาใช้กฎหมายอื่นเข่นเขาโคแทน เช่นคดีศิลปินพ่นสีเครื่องหมายแอนาร์คี่ กับขีดฆ่าเลข ๑๑๒ บนกำแพงวังหลวงด้านวัดพระแก้วฯ นั้นไม่มีการฟ้องด้วย ม.๑๑๒ แต่แถไปใช้ พรบ.โบราณสถาน กับ พรบ.ความสะอาดแทน

ฉบับแรก ม.๓๒ ระบุ “ผู้ใดบุกรุกโบราณสถาน หรือทําให้เสียหาย ทําลายทําให้เสื่อมค่าหรือทําให้ไร้ประโยชน์ซึ่ง โบราณสถาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินเจ็ดแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ” Mr.Yugala คัดมาให้ดู

ว่าถึงไม่หนักเท่าก็ไม่เบานักหรอก อย่างที่ “ศาลเยาวชนฯ ยกฟ้องคดี ม.๑๑๒สายน้ำนักกิจกรรม” ที่ไปแปะกระดาษและพ่นสีสเปรย์ใส่รูป ร.๑๐ ให้เหตุผล “หลักฐานไม่ชัดเจนว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด” แต่ยังไงก็ต้องลงโทษให้ได้

เลยบิดไปยัดข้อหา “ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉินฯ ปรับเป็นเงิน ๔ พันบาท” เท่านั้น เป็นข้อยืนยันว่าศาลสมัยนี้ชอบเล่นปาหี่อวดเจ้านาย แต่ก่อนมีแต่พวกตุลาการองค์กรอิสระชอบทำเพื่อให้คนที่แต่งตั้งมาสบายใจ เดี๋ยวนี้ลามไปถึงศาลยุติธรรมปกติด้วย

กรณีล่าสุดของศาลรัฐธรรมนวยก็คดีการเมือง ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ถูกสมาชิกสภาผู้แทนฯ ๔๗ คนยื่นคำร้องให้วินิจฉัย ตามมาตรา ๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ ว่า ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เสนองบประมาณเอื้อประโยชน์แก่บริษัทซึ่งตนเป็นเจ้าของ

ทั้งที่เขา “มีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น” พูดตามตรงก็คือ รมว.เซ็นเห็นชอบโครงการที่ผู้บริจาคเงินเข้าพรรคตนต้องการ

คดีนี้ศาล รธน. ไม่รู้จะตัดสินอย่างไรดี หรือไม่สามารถตัดสินตามเนื้อผ้าได้ เพราะจะทำให้รัฐบาลมัวหมอง ก็เลยไม่รับฟ้องเสียดื้อๆ อ้างว่าเรื่องงบประมาณนี่ ร่างพรบ.รายจ่ายประจำปี ได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายใช้บังคับแล้ว”

ศาลหัวคูณไม่สามารถพิจารณาร่างที่จบกระบวนของรัฐสภาแล้วได้ ต้องเป็นเรื่องของร่าง พรบ.ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเท่านั้นจึงจะเข้าข่าย ม.๑๔๔ ดังกล่าว...ฮ่วย

(https://www.matichon.co.th/politics/news_3902896 และ https://prachatai.com/journal/2023/03/103407) 

ถามได้ดี คนประเภทไหน ถึงจะเรียกว่า Neoไหร่ (ไพร่ในยุคปัจจุบัน)

นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนไทยเยือนวอชิงตัน กระตุ้นสหรัฐฯ จับตาเลือกตั้ง 14 พ.ค.



นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนไทยเยือนวอชิงตัน กระตุ้นสหรัฐฯ จับตาเลือกตั้ง 14 พ.ค.

มีนาคม 31, 2023
Warangkana Chomchuen
VOA Thailand

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย ได้เดินทางมายังกรุงวอชิงตัน เพื่อพบปะกับเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และคณะทำงานของรัฐสภา เพื่อขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ จับตาดูกลไกการเลือกตั้งของไทย

ศิริกาญจน์ เจริญศิริ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการบริหาร โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ ไอลอว์ (iLaw) เป็นหนึ่งในกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิและเสรีภาพ ที่เดินทางมากรุงวอชิงตัน และได้พบปะกับเจ้าหน้าที่อาวุโสแห่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สมาชิกคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการด้านวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ

ทั้งคู่ได้ถ่ายทอดความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. นี้ ว่าอาจจะไม่ใช่การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม เพราะระบบการเมือง ระบบกฎหมาย และองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ยังอยู่ภายใต้กลไกที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ในขณะที่ประชาชนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี

“การเลือกตั้งที่จะถึงนี่มันดำเนินไปภายใต้โครงสร้างกฎหมาย และกระบวนการที่มันบกพร่องมาก ๆ ตั้งแต่หลังรัฐประหารแล้ว ก่อนการเลือกตั้ง จึงอยากให้มีการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมีความตั้งใจที่จะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปอย่างสุจริต โปร่งใส และเป็นธรรมมากที่สุด ซี่งสามารถทำได้ด้วยการยุติบรรยากาศที่มีการปิดปาก การดำเนินคดีกับประชาชนในประเทศ” ศิริกาญจน์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ทนายจูน” กล่าวกับวีโอเอไทย

“อีกข้อหนึ่งที่เราอยากจะให้สหรัฐฯ ใช้ความสัมพันธ์ทางการเมือง และทางการทูตที่มีอยู่ ให้ส่งสัญญาณล่วงหน้าไปถึงกองทัพ แล้วก็กลุ่มคนที่มีอำนาจด้านความมั่นคงต่าง ๆ ว่าจะต้องไม่แทรกแซงกระบวนการการเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็น ก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้ง แล้วเราขอให้ครั้งนี้มีการแสดงออกที่ทันทีมากขึ้น แล้วก็ยืนยันหลักการมากขึ้นว่า ถ้ามีการรัฐประหารอีก หรือว่าการใช้อำนาจพิเศษใด ๆ มาตัดตอนกระบวนการเลือกตั้ง มันจะเกิดผลอะไรบ้างกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ”

การเลือกตั้งทั่วไป ภายใต้เงา คสช.

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์มองว่า กลไกและกติกาในการจัดการเลือกตั้งมีสิ่งที่เขามองว่าเป็น “ความไม่ปกติ” อยู่มาก เช่น การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ชุดปัจจุบันทั้ง 7 คน ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งมาจากการแต่งตั้งจาก คสช. อีกทีหนึ่ง

หรือการที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ร่างขึ้นภายใต้การปกครองของ คสช. ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ทั้งหมด มีอำนาจกำกับดูแลให้รัฐบาลชุดใหม่ต้องทำตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ คสช. จัดทำขึ้น และยังให้ ส.ว.ทั้ง 250 คนร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นอำนาจ หรือกติกาพิเศษ ที่จะชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นผู้นำของประเทศ

“ถ้าหากว่าดูจากภาพนอก สมมติว่าดูจากอเมริกา บางทีก็เข้าใจว่าคนก็อาจจะไม่ได้เข้าใจทั้งหมดในรายละเอียด ดังนั้นหลายเรื่องมันก็ต้องมาอธิบาย ซึ่งก็ต้องอธิบายทั้งกับคนไทยที่อยู่ที่นี่ด้วย แล้วก็อธิบายกับคนที่นี่ที่เขาสนใจบ้านเมืองไทย” ยิ่งชีพกล่าว

“เราก็กลัวว่ากลไกต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญมันจะทำงานสวนทางกับสิ่งที่ประชาชนโหวตออกมา...ถ้าเสียงโหวตออกมาแบบหนึ่ง แล้วตอนตั้งรัฐบาลมันกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง มันก็จะนำไปสู่ระลอกใหม่ของความขัดแย้ง”

วีโอเอไทยได้ติดต่อไปยังทีมโฆษกรัฐบาลเพื่อสอบถามเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว และข้อเรียกร้องของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนไทยต่อสหรัฐฯ ครั้งนี้ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบหรือการติดต่อกลับ

จับตาโอกาสเกิดรัฐประหาร - ส.ว.สหรัฐฯ เรียกร้องนับคะแนนโปร่งใส

นอกจากนี้ การที่เกิดรัฐประหารที่สำเร็จในไทยถึง 13 ครั้งในช่วง 90 ปีที่ผ่านมา และวงจรของการพยายามสืบอำนาจของผู้ก่อรัฐประหาร ทำให้ยิ่งชีพมองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับคนในประเทศ

“คือพอคนมันจำวงจรนี้ได้ มันก็จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้าฝ่ายทหารแพ้ เขาจะรัฐประหารไหม? ดังนั้นอำนาจต่อรองในทางการเมืองของบ้านเรามันไม่เคยเท่าเทียมกัน มันไม่ได้ต่อรองกันว่าใครที่ประชาชนเลือกเยอะ ใครที่มีเก้าอี้นั่งในสภาเยอะ แต่มันต่อรองโดยมันรู้สึกว่า ฝ่ายทหารมีอำนาจพิเศษในมืออยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ทุกอย่างมันไม่ได้เดินไปตามหลักคณิตศาสตร์ตามปกติ ที่ 251 ต้องมากกว่า 200” ยิ่งชีพ หรือ "เป๋า" กล่าว

ไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวไทยได้เคยถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหารหลังเลือกตั้ง ซึ่งทั้งคู่กล่าวว่าจะไม่มีการยึดอำนาจโดยทหารเกิดขึ้น หากบ้านเมืองเป็นหนึ่งเดียวและไม่เกิดความขัดแย้ง

การมาเยือนของกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนครั้งนี้ เกิดขึ้นในสัปดาห์เดียวกับที่วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้ รัฐบาลไทย “สร้างเงื่อนไขสำหรับการเลือกตั้งให้น่าเชื่อถือและยุติธรรม” และ “ให้แน่ใจว่าการนับคะแนนเสียงจะเป็นไปอย่างยุติธรรมและโปร่งใส”

โดยเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ส.ว.เอ็ดเวิร์ด มาร์คีย์ (Edward Markey) จากรัฐแมสซาชูเซตส์ และ ส.ว.ริชาร์ด เดอร์บิน (Richard Durbin) จากรัฐอิลลินอยส์ ออกแถลงการณ์ว่า “ประชาชนไทยสมควรมีการเลือกตั้งที่ยุติธรรมและโปร่งใส”

และยังกล่าวว่า “สหรัฐอเมริกาต้องสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เพื่อให้อำนาจทางการเมืองกลับมาอยู่ในมือของประชาชนชาวไทย ไม่ใช่ผู้นำทหาร”

วีโอเอไทยได้สอบถามไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ว่าสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งของไทยบ้างหรือไม่ นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวผ่านข้อความว่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งตามกรอบรัฐธรรมนูญไทย และทราบมาว่าทาง กกต.จะจัดบรรยายสรุปให้คณะทูตและสื่อมวลชนต่างประเทศต่อไป

“ในการหารือกับฝ่ายต่างๆ เราก็แจ้งกรอบเวลาการดำเนินงาน ขั้นตอนต่างๆ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ก็เล่าให้ฟังถึงการดำเนินการเตรียมการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร โดยประสานงานใกล้ชิดกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง” นางกาญจนากล่าวผ่านข้อความ

เด็ก-เยาวชนถูกดำเนินคดีมากขึ้น

ศิริกาญจน์ ผู้ได้รับรางวัล “ผู้หญิงกล้าหาสากล” หรือ International Women of Courage Award จากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อ 5 ปีก่อน กล่าวว่าการละเมิดสิทธิโดยรัฐในไทย เกิดขึ้นมาตลอด ไม่ได้เพิ่งมาเกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร 2557 ภายใต้รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น

“การละเมิดสิทธิโดยรัฐมันเกิดอยู่เสมอ แต่จะเกิดมากเกิดน้อย เกิดเยอะเกิดใหญ่ เกิดเป็นระบบ มันดูที่ระบบกฎหมาย ระบบการถ่วงดุล ตรวจสอบ ระบบที่เอาคนผิดที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือมีความเกี่ยวข้องกับรัฐมาลงโทษ ซึ่งเราก็เห็นชัดว่า ประเทศเรามันมีปัญหาในเรื่องของพื้นฐานเรื่องพวกนี้อยู่เยอะมาก ตั้งแต่สูงสุด รัฐธรรมนูญ ลงมาถึงคนบังคับใช้กฎหมาย”

อย่างไรก็ตาม ทนายจูนแสดงความกังวลว่า ตั้งแต่ปี 2563 มีการดำเนินคดีประชาชนที่แสดงออกหรือชุมนุมทางการเมืองกว่า 1,800 คน ฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำมาใช้เป็นเวลา 2 ปีครึ่ง โดยเป็นเด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเกือบ 300 คน ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นเยาวชนที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และถูกดำเนินคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ประมาณ 230 คน โดยคนที่มีอายุน้อยที่สุดคือ 14 ปี

นี่เป็นประเด็นที่เธอได้เน้นย้ำกับพันธมิตรเก่าแก่ของไทย และกล่าวว่าการเลือกตั้ง 14 พ.ค. มีอนาคตของเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นเดิมพัน

“คือจะมีประชาชนคนรุ่นใหม่เดินเข้าคุกอีกเยอะนะ ถ้าเกิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือว่าเจตจำนงในการที่จะผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือว่าการเสนอแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่มันละเมิดสิทธิไม่สามารถไปต่อได้ เราจะมีคนรุ่นใหม่เข้าคุก เพราะว่าคดี 112 คดี พรก.ฉุกเฉิน ทั้งหมดยังดำเนินอยู่ในศาลทุกวัน”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อต้นสัปดาห์ว่า ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้รุนแรงอย่างที่หลายคนพูด รัฐบาลมีการระมัดระวังผ่อนผัน ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน นอกจากนั้นการบริหารประเทศของตนยังได้ช่วยทำให้ความขัดแย้งของคนในประเทศลดความรุนแรงลงอีกด้วย

ทิศทางสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยหลังเลือกตั้ง

ในการจัดอันดับ Democracy Index หรือดัชนีประชาธิปไตยปี 2565 ของ Economist Intelligence Unit (EIU) ไทยเป็นประเทศที่ได้คะแนนเพิ่มขึ้นมากที่สุดในการพัฒนาประชาธิปไตย โดยเพิ่มจาก 6.04 เป็น 6.67 คะแนน ทำให้ไทยเลื่อนขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 55 จากทั้งหมด 167 ประเทศ เมื่อเทียบกับอันดับที่ 72 ในปี 2564

EIU กล่าวในรายงานว่า คะแนนที่เพิ่มขึ้นของไทยเกิดจากการเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมากขึ้น และมีภัยของการก่อความไม่สงบน้อยลง แต่ไทยยังถูกจัดเป็น flawed democracy หรือ "ประเทศที่ประชาธิปไตยมีตำหนิ" และเป็นประเทศที่มีกระบวนการทางประชาธิปไตยที่บอบบางและชั่วครั้งชั่วคราว EIU มองว่า “รัฐบาลยังคงมีอำนาจในด้านความมั่นคงและระบบตุลาการ” และยังมีข้อได้เปรียบจากกฎหมายรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งอีกด้วย

นักเคลื่อนไหวไทยมองว่า การพัฒนาส่งเสริมสถานการณ์สิทธิ เสรีภาพในการแสดงออกในไทยนั้น ยังต้องเดินไปบนเส้นทางอีกยาวไกล

“การพัฒนาเรื่องสิทธิมนุษยชน คิดว่ามันเหมือนกระบวนการพัฒนาด้านประชาธิปไตยนั่นแหละค่ะ การเลือกตั้งครั้งสองครั้งมันไม่ได้พลิกทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ทันที มันเป็นกระบวนการจริง ๆ แต่ว่าเราต้องการให้กระบวนการมันดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงคิดว่ากระบวนการประชาธิปไตยที่มันสามารถอนุญาตให้ประชาชนส่วนใหญ่มีสิทธิ์มีเสียง แล้วก็สามารถเข้ามาร่วมได้ เป็นสิ่งที่เราจะต้องปกป้องและส่งเสริม มากกว่าที่จะไปส่งเสริมระบอบที่มีคนอยู่ไม่กี่คนที่จะมีอำนาจในการควบคุม” ศิริกาญจน์กล่าว

ยิ่งชีพหวังว่าหลังการเลือกตั้ง จะได้เห็นการลดลงของจำนวนคดีที่คั่งค้างอยู่ ที่เป็นการเอาผิดกับประชาชนที่ออกมาเสนอความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

“ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน คุณค่าของมันบางทีก็จับต้องไม่ได้ มันไม่สำคัญว่ารัฐธรรมนูญจะรับรองไหม กฎหมายมันเขียนว่าอะไร แต่มันสำคัญว่าคนมันรู้สึกถึงสิ่งนี้หรือเปล่า มันเป็นเรื่องบรรยากาศ เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ ซึ่งสิ่งนี้ ไม่สามารถเกิดลำพังได้จากการแก้ไขกฎหมายให้สำเร็จมาตราใดมาตราหนึ่ง หรือฉบับใดฉบับหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ค่อยสร้างกัน” เขากล่าว

“เรื่องที่เราพยายามสื่อสาร เรื่องที่เราพยายามบอกโลก จริง ๆ เราพยายามบอกคนไทยตลอดเวลา เป้าหมายหลักของเราไม่ได้มาอเมริกาเพื่อจะบอกว่าอเมริกาเป็นเจ้าโลก และอเมริกาจะกลับไปสั่งประเทศไทยให้ทำตาม แล้วประเทศไทยต้องทำตามอเมริกา ไม่ใช่ แต่ (สิทธิมนุษยชน) เป็นเรื่องที่ต้องทำไปพร้อมกัน...เราต้องเข้าใจด้วยว่า มันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับโลก โลกก็ต้องเข้าใจด้วยว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเรา”

"เราจะไม่เงียบ" ชื่อของ โซฟี โชล ไม่เป็นที่รู้จักมากนักนอกประเทศเยอรมนี แต่เธอคือบุคคลสำคัญในประเทศนี้ และมีเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่ง ชวนรู้จักเธอ


ธีร์ อันมัย updated his cover photo.
2d
ในเช้าของวันที่โซฟี โชลล์จะถูกนำตัวไปประหารชีวิตโดยการตัดหัวด้วยเครื่องกิโยตินนั้น หญิงสาววัย 21 ปี พูดว่า
"ช่างเป็นวันที่แสงแดดสดใส และฉันต้องไปแล้ว...ความตายของฉันมีความหมายอย่างไรนะหรือ ถ้าเพราะพวกเรา ผู้คนนับพันหมื่นจะได้ตื่นรู้และลุกขึ้นสู้"
ที่มาของข้อความ - https://www.bbc.com/thai/international-57050825 โซฟี โชล นักศึกษาผู้ไม่ยอมก้มหัวให้เผด็จการนาซี และเป็นแรงบันดาลใจให้เยอรมนี
ภาพดัดแปลงจาก - https://www.facebook.com/photo/?fbid=266146592419857&set=a.204432178591299&locale=th_TH
.....

โซฟี โชล นักศึกษาผู้ไม่ยอมก้มหัวให้เผด็จการนาซี และเป็นแรงบันดาลใจให้เยอรมนี


โซฟี โชล เป็นที่จดจำของคนเยอรมันจากการลุกขึ้นขัดขืนการปกครองของจอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม

เจนนี ฮิลล์
ผู้สื่อข่าวบีบีซี เบอร์ลิน
10 พฤษภาคม 2021

ชื่อของ โซฟี โชล ไม่เป็นที่รู้จักมากนักนอกประเทศเยอรมนี แต่เธอคือบุคคลสำคัญในประเทศนี้ และมีเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่ง

ปี 2021 เป็นวาระ 100 ปีชาตกาล โซฟี โชล หญิงสาวผู้เป็นที่จดจำของคนเยอรมันจากการลุกขึ้นขัดขืนการปกครองของจอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม

เรื่องราวการต่อสู้ของเธอถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ ภาพยนตร์ และละครนับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนเยอรมันมาจนถึงทุกวันนี้

โซฟี เกิดวันที่ 9 พ.ค. ปี 1921 ในช่วงที่เยอรมนีกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตในวัยเด็กของเธอก็มีความมั่นคงและสะดวกสบาย

พ่อของโซฟีเป็นนายกเทศมนตรีเมืองฟอร์ชเท็นแบร์ก ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี (แต่ในเวลาต่อมาครอบครัวได้ย้ายไปอยู่เมืองอูล์ม) เธอกับพี่น้องหญิงชายอีก 5 คนเติบโตมาในครอบครัวชาวคริสต์นิกายลูเธอรัน ซึ่งยึดมั่นในค่านิยมแบบคริสเตียน

เมื่อโซฟีย่างเข้าสู่วัยรุ่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้กุมอำนาจปกครองประเทศของเธอ

ในตอนแรกโซฟีและพี่ชายของเธอที่ชื่อ ฮันส์ ให้การสนับสนุนพรรคสังคมนิยมแห่งชาติ (National Socialist Party) ของฮิตเลอร์แบบที่หนุ่มสาวเยอรมันจำนวนมากทำกัน โดยเขาเป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนฮิตเลอร์ (Hitler Youth) ขณะที่โซฟีเป็นสมาชิกในเครือเดียวกันสำหรับเด็กผู้หญิงที่เรียกว่า สหพันธ์เยาวชนหญิงเยอรมัน (League of German Girls)


ภาพของฮันส์ (ซ้าย) และโซฟี (ขวา) ขณะเป็นนักศึกษาประมาณปี 1940

พ่อของโซฟี ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านฮิตเลอร์ตัวยงรู้สึกตกใจกับความศรัทธาที่ลูกทั้งสองของเขามีต่อผู้นำพรรคนาซี อย่างไรก็ตาม ค่านิยมของครอบครัวและเพื่อนฝูงเริ่มมีอิทธิพลต่อโซฟีและพี่ชายของเธอ

ในที่สุด แนวคิดที่เอียงไปทางเสรีนิยมของพี่น้องคู่นี้ ก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับกับแนวคิดทางการเมืองของพรรคนาซีเยอรมนีได้ และการได้เห็นคนรู้จักและศิลปินชาวยิวถูกเลือกปฏิบัติอย่างเลวร้าย ก็ทำให้ความคิดต่อพรรคนาซีของพวกเขาเปลี่ยนไป

"อย่าบอกฉันว่ามันคือการทำเพื่อปิตุภูมิ"

เมื่อฮิตเลอร์เข้ารุกรานโปแลนด์ ความคิดต่อต้านนาซีของพี่น้องคู่นี้ก็ยิ่งแข็งกร้าวขึ้น

ตอนที่ชายหนุ่มชาวเยอรมันถูกส่งไปรบในสงคราม โซฟีเขียนถึง ฟริตซ์ ฮาร์ตนาเกิล แฟนหนุ่มที่เป็นทหารว่า "ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงยังเอาชีวิตคนอื่นไปเสี่ยง ฉันไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้ และคิดว่ามันแย่มาก อย่าบอกฉันว่ามันคือการทำเพื่อปิตุภูมิ"

ในเวลาต่อมา โซฟีได้ตามฮันส์ ผู้เป็นพี่ชายไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมิวนิค ซึ่งเขาเรียนด้านการแพทย์อยู่ นี่จึงทำให้สองพี่น้องได้มีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน อีกทั้งยังมีความสนใจเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม และปรัชญาเหมือนกันด้วย โดยโซฟี ซึ่งเรียนด้านชีววิทยา ชอบเต้นและเล่นเปียโน รวมทั้งยังเป็นจิตรกรที่มีพรสวรรค์

ในตอนนั้นคือช่วงเวลาที่บ้านเมืองอยู่ท่ามกลางความรุนแรง นักศึกษาหลายคนเข้าร่วมกับกองทัพ แต่โซฟีและฮันส์ ต่างมีอุดมการณ์แน่วแน่ที่จะไม่ก้มหัวให้ผู้ปกครองเผด็จการ

"เราจะไม่เงียบ"

ตอนที่ฮันส์ และอเล็กซานเดอร์ ชมอเรลล์ เพื่อนของเขา ร่วมกันก่อตั้งขบวนการ "กุหลาบขาว" (White Rose) นั้น มีสมาชิกกลุ่มเพียง 6 คน ซึ่งรวมถึง โซฟี, คริสตอฟ โพรบส์, วิลลี กราฟ และหนึ่งในอาจารย์ของพวกเขาที่ชื่อว่า เคิร์ต ฮูแบร์


หนังเยอรมันในปี 1982 เรื่อง The White Rose บอกเล่าเรื่องราวของโซฟี ฮันส์ และเพื่อนร่วมขบวนการอีก 4 คน

ด้วยความช่วยเหลือจากเครือข่ายเพื่อนฝูงและผู้สนับสนุน ขบวนการกุหลาบขาวได้ตีพิมพ์และแจกจ่ายใบปลิวเรียกร้องให้คนเยอรมันลุกขึ้นต่อต้านการปกครองของนาซี ประณามการเข่นฆ่าชาวยิว และเรียกร้องให้ยุติสงคราม

"พวกเราจะไม่เงียบ" คือข้อความหนึ่งที่ปรากฏในใบปลิว "เราคือฝ่ายที่รู้ผิดชอบของพวกคุณ กุหลาบขาวจะไม่ปล่อยให้พวกคุณอยู่กันอย่างสงบสุข"

กลุ่มได้ผลิตใบปลิวฉบับที่ 6 ช่วงต้นปี 1943 ที่มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า

"ชื่อของเยอรมนีจะเสียหายไปตลอดกาล หากเยาวชนเยอรมันไม่ยอมลุกฮือขึ้นคิดบัญชีและไถ่โทษ พร้อมกำจัดผู้ทรมานพวกเขา และสร้างยุโรปที่มีอุดมการณ์ใหม่"

มันคือใบปลิวฉบับสุดท้ายของกลุ่ม


โซฟี ผลักปึกใบปลิวให้ตกลงไปที่โถงใหญ่ของอาคารในมหาวิทยาลัยมิวนิค

วันที่ 18 ก.พ. ปี 1943 ฮันส์และโซฟี กำลังไปแจกใบปลิวที่มหาวิทยาลัยของพวกเขา

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเหตุใดโซฟีจึงเดินขึ้นไปที่ระเบียงชั้นบนสุดของอาคารมหาวิทยาลัย ซึ่งมองเห็นโถงขนาดใหญ่อยู่เบื้องล่าง ก่อนจะใช้มือผลักใบปลิวปึกใหญ่ให้ตกไปข้างล่าง หลายคนเดาว่าเธออาจต้องการให้นักศึกษาได้เห็นใบปลิวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ในขณะที่กระดาษกำลังปลิวลงสู่พื้นนั้น มีสายตาของภารโรงคนหนึ่งเฝ้ามองการกระทำของโซฟี แล้วนำเรื่องไปแจ้งต่อตำรวจลับของพรรคนาซี

โซฟีและฮันส์ถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำ และหลังจากการพิจารณาคดี ทั้งคู่ก็ถูกตัดสินประหารชีวิต พวกเขาไม่ยอมทรยศสมาชิกร่วมขบวนการคนอื่น แต่ในที่สุดทางการก็ตามตัวพวกเขาได้อยู่ดี และภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือนสหายของขบวนการกุหลาบขาวก็ถูกประหารชีวิตหมดทุกคน


โรแลนด์ ฟริสเลอร์ (ขวา) ที่รู้จักในนาม "ผู้พิพากษาของฮิตเลอร์ สั่งตัดสินประหารชีวิตโซฟี, ฮันส์ และคริสตอฟ โพรบส์ ในเดือน ก.พ. ปี 1943

ในเช้าของวันที่โซฟีจะถูกนำตัวไปประหารชีวิตโดยการตัดหัวด้วยเครื่องกิโยตินนั้น หญิงสาววัย 21 ปี พูดว่า

"ช่างเป็นวันที่แสงแดดสดใส และฉันต้องไปแล้ว...ความตายของฉันมีความหมายอย่างไรนะหรือ ถ้าเพราะพวกเรา ผู้คนนับพันหมื่นจะได้ตื่นรู้และลุกขึ้นสู้"

ถ้อยคำอันหาญกล้าของโซฟียังคงได้รับการยกย่องในเยอรมนีมาจนถึงปัจจุบัน ชื่อของเธอและพี่ชายถูกนำไปตั้งเป็นชื่อโรงเรียนและถนนหลายสาย แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายคนรู้สึกผิดหวังที่สมาชิกคนอื่น ๆ ของขบวนการกุหลาบขาวไม่ได้รับการยกย่องเท่ากับสองพี่น้องตระกูลโชล


ชื่อของโซฟี และฮันส์ โชล เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วเยอรมนี แต่สมาชิกร่วมขบวนการที่เหลือ คือ คริสตอฟ โพรบส์, วิลลี กราฟ, เคิร์ต ฮูแบร์ และอเล็กซานเดอร์ ชมอเรลล์ กลับเป็นที่รู้จักน้อยกว่า

ในวาระ 100 ปีชาตกาล โซฟี โชล ทางการเยอรมีได้ออกเหรียญที่ระลึกของเธอ นอกจากนี้ยังมีการจัดพิธีทางศาสนา และมีการเปิดช่องอิสตาแกรมใหม่เกี่ยวกับเธอ

ขณะเดียวกัน ชาวเยอรมันจำนวนมากยังคงระลึกถึงชีวิตของหญิงสาวผู้นี้ ซึ่งความกล้าหาญและการพิพากษาลงโทษเธอยังคงปลุกเร้าจิตใจและความคิดของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน
.....

สังคมนี้มีปัญหา - จุดจบของคดีทำลายโบราณสถาน"อาคารศาลฏีกา"...คนแจ้งความเป็นถึงอธิบดี โดนเด้ง


Saiseema Phutikarn
8h
<จุดจบของคดีทำลายโบราณสถาน"อาคารศาลฏีกา"...คนแจ้งความโดนเด้ง>
ใครสงสัยว่าจุดจบของ กรณีทำลายอาคารศาลฎีกา เป็นอย่างไร? ในเมื่อกรมศิลปากรยืนยันว่าเป็น "โบราณสถาน" จนอธิบดีไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง สุดท้ายแล้ว ผู้รับเหมา หรือ ผู้บริหารศาล โดนฟ้องต้องไปเป็นจำเลยในศาลเองไหม?
มันจบแบบ "ช็อตฟีล" หน่อยๆ คือ สหวัฒน์ แน่นหนา "อธิบดีกรมศิลปากร" ที่ยืนยันว่าอาคารศาลฏีกาเป็นโบราณสถานต้องดำเนินคดีอย่างไม่ละเว้นสุดท้ายแล้ว "โดนเด้ง" ไปเป็นผู้ตรวจราชการ ทั้งที่เหลืออายุราชการอีกแค่ 2 เดือนก็จะเกษียณ หลังจากนั้นเรื่องทุบโบราณสถาน แห่งนี้ก็เงียบหาย ไม่มีใครในกรมศิลฯเอ่ยถึงอีก
//สรุป Timeline//
- 5 ม.ค. 56 กรมศิลปากรแจ้งจับผู้รับเหมารื้ออาคารศาลฎีกา
https://www.posttoday.com/politics/197178
- 27 ม.ค. 56 ลือสะพัด!! จ่อเด้ง อธิบดีกรมศิลปากร เซ่นทุบศาลฎีกา
https://www.sanook.com/news/1166592/
- 19 ก.ค. 56 เด้ง"สหวัฒน์"พ้นเก้าอี้อธิบดีกรมศิลป์
https://www.posttoday.com/hits/235410
- 26 ก.ค. 56 อธิบดีกรมศิลป์ ลาออก ประจาน “สนธยา” โยกย้ายไม่เป็นธรรม
https://mgronline.com/qol/detail/9560000092051
... หลังจากนั้นกรมศิลป์ก็อยู่ตามทิศทางลมมาตลอด ...
- 19 เม.ย. 2560 กรมศิลป์ ชี้ "หมุดคณะราษฎร" ไม่ใช่โบราณวัตถุ
https://tna.mcot.net/tna-102223
- 14 ส.ค. 2563 กรมศิลป์ ชี้ "สกาล่า" ไม่เข้าข่ายโบราณสถาน
https://thestandard.co/not-accepting-scala-cinema.../
-21 ก.ย. 2563 กรมศิลป์ จ่อเอาผิด ฝัง “หมุดคณะราษฎร” ทำโบราณสถานเสียหาย
https://www.pptvhd36.com/.../%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0.../133534
//โพสท์ที่เกี่ยวข้อง//
- ทำไม “พระบรมมหาราชวัง” ไม่ถูก “กรมศิลปากร” จัดให้เป็นโบราณสถาน!?
https://www.facebook.com/saiseema.p/posts/pfbid0cy3F3cNUuFXB51eEKhAjrSP4XHcWffXN2GaYSaVY4W6Uj2s39fADkteRzu9PETpil
.....
https://www.facebook.com/saiseema.p/posts/pfbid0273FdHBiPxq9A1y455AqAHuNbdhALNHchyYxhbk5FQiRafCLZDnLWoBTEjmAFEn9sl

ศาลไทยนอกจากละเมิดรัฐธรรมนูญไทย กรณีไม่ให้ประกันตัวคดีการเมืองแล้ว ข้อบังคับศาล ว่าด้วยการ“ละเมิดอำนาจศาล" ยังไม่สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งไทยเข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี 2539

https://www.facebook.com/auaaree.engchanil/posts/pfbid0RRoMDfMZrVYFv6ZgtsPVjizpS3iaunAhNMFRCf7iFGKFWT9VXMdczXRAvAwSPczul
Aua-aree Jah Engchanil
Yesterday
เอกสารคำแนะนำเกี่ยวกับคดีละเมิดอำนาจศาลของสำนักงานศาลยุติธรรมประจำภาค 1 เผยแพร่เมื่อปี 2562 ในข้อ 3 และข้อ 4 มีความไม่สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งไทยเข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี 2539 ดังนี้
ข้อ 3 “ละเมิดอำนาจศาลเป็นกฎหมายพิเศษที่ศาลมีอํานาจค้นหาความจริงได้โดยการไต่สวน ไม่จําต้องกระทําต่อหน้าผู้ถูกกล่าวหาดังเช่นการพิจารณาคดีอาญาทั่วไป....ไม่ต้องสอบถามหรือตั้งทนายความให้ผู้ถูกกล่าวหา” นั้น
การลงโทษไม่ว่าจะอยู่ในกฎหมายที่มีชื่อเรียกว่าอะไร หากมีลักษณะทางอาญา (criminal matters) สิ่งนั้นคือโทษทางอาญา ซึ่งความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลแม้จะอยู่ใน ป.วิฯ แพ่ง แต่ก็มีโทษจำคุก จึงเป็นเนื้อหาทางอาญา ดังนั้น เมื่อลักษณะการลงโทษเป็นสภาพทางอาญา ก็ต้องนำกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเข้าคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยด้วย
การตีความว่าละเมิดอำนาจศาลเป็นกฎหมายพิเศษ ไม่ใช่โทษทางอาญา ทำให้คำแนะนำฯไม่สอดคล้องกับ “สิทธิในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม” (Right to Fair Trial) ตามข้อ 14 ของกติกา ICCPR กล่าวคือ
1. คำแนะนำฯ ที่กล่าวว่า “การไม่ต้องดำเนินการต่อหน้าและให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยมีโอกาสต่อสู้คดี” ไม่สอดคล้องกับข้อ 14 (3) (d) ว่าด้วย “สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาต่อหน้าบุคคลนั้น” และ
2. คำแนะนำฯ ที่กล่าวว่า “การไม่ต้องสอบถามหรือตั้งทนายความให้ผู้ถูกกล่าวหา” ไม่สอดคล้องกับข้อ 14 (3) (d) ว่าด้วย “สิทธิในการมีทนายความ”
คำแนะนำฯ ตามข้อ 3 สะท้อนการตีความกฎหมายตามตัวอักษรว่า เมื่อบทบัญญัติดังกล่าวอยู่ใน ป.วิฯแพ่ง สิ่งนั้นคือ วิฯ แพ่ง หรือเมื่อเรียกว่าเป็นกฎหมายพิเศษแล้วจึงไม่ต้องนำหลักประกันสิทธิทางอาญามาใช้ จึงทำให้ผู้ถูกดำเนินคดีละเมิดอำนาจศาลไม่มีโอกาสต่อสู้คดี หรือไม่ต้องมีทนาย เพราะศาลกลัดกระดุมเม็ดแรกว่าไม่ใช่โทษทางอาญา
แม้คำแนะนำฯ ตามข้อ 3 จะเป็นการนำฎีกาที่ 1159/2526 มาอธิบาย แต่แนวคิดเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้วในเรื่องดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับความก้าวหน้าของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในโลกปัจจุบัน
ข้อ 4 “กรณีผู้ถูกกล่าวหากระทำต่อหน้าศาลและอยู่ในบริเวณศาล ให้องค์คณะผู้พิพากษาไต่สวน โดยสอบคำให้การผู้ถูกกล่าวหา...และศาลย่อมลงโทษได้ทันที...” นั้น
คำแนะนำฯ ในข้อ 4 ทำให้ศาลเป็นทั้งผู้กล่าวหาและผู้สั่งลงโทษในคนๆ เดียวกัน ถือเป็นการขัดกันของอำนาจหน้าที่ ไม่สอดคล้องกับหลักการพิจารณาคดีโดยศาลที่เป็นกลาง (impartiality) ตามข้อ 14 (1) ของกติกาฯ ICCPR เนื่องจาก
1. การที่ผู้พิพากษาทำการเริ่มต้นคดี – ค้นหาพยานหลักฐาน - ตัดสินคดี โดยใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งของผู้พิพากษาคนเดียวกัน ถือว่าเป็นการขาดความเป็นกลางโดยสภาพของการปฏิบัติหน้าที่ และ
2. หากการละเมิดอำนาจศาลเกิดขึ้นต่อหน้าศาลเอง ถือว่าศาลเป็นคู่กรณีผู้มีส่วนได้เสีย ศาลย่อมขาดความเป็นกลางในลักษณะตัวบุคคล เพราะบุคคลทั่วไปย่อมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อความเป็นกลาง และอคติของผู้พิพากษาแล้ว
ทั้งนี้ คำแนะนำฯ เผยแพร่ในปี 2562 แต่ถ้าในปัจจุบันศาลยุติธรรมมีแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับกติกา ICCPR ก็จะเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ท่านใดมีข้อมูลที่อัพเดทในเรื่องดังกล่าว ช่วยแชร์ความคืบหน้าด้วยค่ะ
#ละเมิดอำนาจศาล
.....
Thanapol Eawsakul
19h
ศาลไทยนอกจากละเมิดรัฐธรรมนูญไทย กรณีไม่ให้ประกันตัวคดีการเมืองแล้ว
ข้อบังคับศาล ว่าด้วยการ“ละเมิดอำนาจศาล" ยังไม่สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งไทยเข้าเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี 2539

"ระหว่างที่นั่งรถมา เจ้าหน้าที่ที่พามาพูดจาเหยียดหยามน้อง(หยก)มาตลอดทาง โดยมีเจ้าหน้าที่ชาย 1 คนเป็นคนขับ และเจ้าหน้าที่หญิง 2 คนมาด้วย 'มีการใช้คำพูดประมาณว่า "ได้แค่เศษเงิน" ใช้คำว่า "มึง"กับหนูด้วย คือทุกอย่างมันแย่มาก เค้าสบประมาทหนูว่า "ทำแบบนี้ได้กี่ร้อย" - แล้วไอ้พวกรักเจ้านี่มันได้คนละกี่บาท


Nithiwat Wannasiri
11h
วันนี้ หยกThanalop Phalanchai มีภารกิจรายงานตัวเข้าม.4 ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ สาขาศืลป์ภาษาจีน
แต่เธอถูกศาลของคู่กรณีม.112สั่งคุมขังอยู่
.....
โมกหลวงริมน้ำ
15h
30 มีนาคม 2566
ณ บ้านปรานี จังหวัดนครปฐม
เก็ทต้องเดินทางไปหาหยกเป็นการด่วน เนื่องจากวันนี้เป็นวันมอบตัวของโรงเรียนที่หยกพึ่งสอบเข้าได้ ทำให้มีเหตุฉุกเฉิน ที่จะต้องบอกกับหยก
หยกสวมเสื้อบอลคอปกสีเขียวขาว
แววตามุ่งมั่น มีท่าทางดีใจที่ได้เจอเก็ท หยกมีน้ำเสียงสั่นเครือและพยายามกลั้นร้องไห้ด้วย
หยกต้องกักตัวอยู่ในห้องกับเพื่อน 1 คนเป็นเวลา 5 วัน ยังลงมาทำกิจกรรมกับเพื่อนๆไม่ได้
หยกยังยืนยันที่จะปฏิเสธกระบวนการยุติธรรม และพยายามเล่าว่าระหว่างที่นั่งรถมา เจ้าหน้าที่ที่พามาพูดจากเหยียดหยามน้องมาตลอดทาง โดยมีเจ้าหน้าที่ชาย 1 คนเป็นคนขับ และเจ้าหน้าที่หญิง 2 คนมาด้วย
'มีการใช้คำพูดประมาณว่า "ได้แค่เศษเงิน" ใช้คำว่า "มึง"กับหนูด้วย คือทุกอย่างมันแย่มาก เค้าสบประมาทหนูว่า "ทำแบบนี้ได้กี่ร้อย" แล้วเค้าพูดถึงเรื่องเสื้อยกเลิก 112 ที่หนูใส่ว่าใส่มาแบบนี้ได้กี่บาท (น้องเล่าตะกุกตะกักแต่บอกว่ากดดันและรู้สึกแย่มาก แต่ไม่รู้จะทำไง)'
เมื่อถามว่าน้องอยากฝากอะไร หยกบอกว่า ตอนที่หนูโดนอุ้มและพาขึ้นรถมา มันทำให้หนูรู้สึกอยากให้มีการพูดถึง พรบ.ป้องกันการซ้อมทรมานและการอุ้มหาย
ก่อนกลับเมื่อได้ถามว่าโอเคมั้ย หยกบอกว่าโอเค แต่ด้วยเสียงสั่นเครือ แม้แววตายังมุ่งมั่น
สุดท้ายนี้หยกบอกว่าขอบคุณมากๆที่มา
-----
หยก ธนลภย์ ถูกตำรวจ สน.พระราชวังจับตัว เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. และควบคุมตัวกักขังจนถึงเวลาประมาณ 22.00 น. จากนั้นจึงถูกส่งตัวไปยัง สน.สำราญราษฎร์ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่อง ก่อนที่ตำรวจสำราญราษฎร์จะควบคุมตัวเธอไว้ทั้งคืน และนำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในวันที่ 29 มีนาคม 2566
เช้าวันที่ 28 มีนาคม 2566 ก่อนที่จะถูกตำรวจ สน.พระราชวังรุมจับและอุ้มไปนั้น หยกได้ไปเที่ยวที่สวนน้ำมาพร้อมกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนคนอื่น ๆ
เธอเพิ่งมีอายุครบ 15 ปี ได้ประมาณ 3 อาทิตย์เท่านั้น

ประมวลภาพกิจกรรม “จากกำแพงวัง ถึงสถานพินิจ บ้านปราณี สามพราน”



ไข่แมวชีส
8h
ประมวลภาพกิจกรรม “จากกำแพงวัง ถึงสถานพินิจ บ้านปราณี สามพราน”
31มีค66 เมื่อเวลา 14.00น. กลุ่มมวลชลอิสระได้นัดรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และได้เดินทางไปที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนหญิง “บ้านปราณี” ที่ จ.นครปฐม เพื่อเยี่ยมน้อง #หยก (สหายนอนน้อย) เยาวชนอายุ 15 ปี จากการถูกออกหมายจับในคดี #มาตรา112 ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่อนุญาตให้มวลชนเข้าเยี่ยม
ต่อมากลุ่มมวลชนได้ทำการเขียนป้ายผ้า และข้อความต่างๆ เพื่อส่งสารไปถึงกระบวนการยุติธรรม
เช่น
“จากกำแพงวัง ถึงกำแพงคุก ปลุกความยุติธรรม @บ้านปราณี”
ยกเลิก112
และมีการแปะเทปกาว เป็นเครื่องหมายกากบาทที่ป้าย คำว่า ปราณี และ ยุติธรรม
ทั้งนี้ น้อง #หยก ได้ถูกคุมตัวเป็นวันที่ 3 แล้ว
*อ่านข่าวเพิ่มเติมจากประชาไท
https://prachatai.com/journal/2023/03/103427?mibextid=Zxz2cZ
ภาพโดย มิตรสหายท่านหนึ่ง


ถ้าวัดพระแก้วไม่ไช่โบราณสถานของชาติแล้ว พระแก้วมรกต ล่ะครับ เป็นของชาติหรือไม่ ???


.....
กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG
2d
กำแพงวังที่ถูกพ่นสี เคยเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ปัจจุบันเป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”
____________________
พระบรมมหาราชวังที่มีผู้ไปพ่นสีสเปรย์ใส่กำแพงเป็นข้อความยกเลิกมาตรา 112 เดิมจัดเป็น “ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ที่จะต้องใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่เมื่อมีการตรา พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ในยุครัฐประหาร คสช. ก็ถูกเปลี่ยนเป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ที่การจัดการและการจัดหาผลประโยชน์ต่างๆ ให้เป็นไป “ตามพระราชอัธยาศัย” รายได้จากทรัพย์สินเหล่านี้ให้นำไปจ่ายหรือลงทุนได้ตามที่กษัตริย์อนุญาต ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายหรือใช้สอยได้ก็แต่โดยกษัตริย์ตามราชอัธยาศัย หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลก็ถูกตัดขาดความยึดโยงกับประชาชน ไปอยู่ใต้กษัตริย์โดยสมบูรณ์
(อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่
https://drgth.co/grand_palace_used_to_be_a_public_property/)


กำแพงวังที่ถูกพ่นสี เคยเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ปัจจุบันเป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”



29 มีนาคม 2023
DRG

28 มีนาคม 2566 เกิดเหตุการณ์ที่ “บังเอิญ” (นามสมมติ) ชายอายุ 25 ปี เข้าไปพ่นสีสเปรย์บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง เป็นข้อความแสดงจุดยืนสนับสนุนการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และสัญลักษณ์แนวคิดอนาธิปไตย (Anarchism) และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังจับกดหัวลงกับพื้นจนได้รับบาดเจ็บ ก่อนจะควบคุมตัวไปโดยไม่ให้ทนายความเข้าพบเป็นเวลาหลายชั่วโมง และท้ายสุดตำรวจได้แจ้งข้อหาทำให้เสียหายหรือทำให้เสื่อมค่าซึ่งโบราณสถาน ตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน พ.ศ. 2504 มาตรา 32 และพ่นสีที่กำแพงที่ติดกับถนน ตาม พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 12 (ซึ่งกฎหมายเหล่านี้มักถูกใช้เป็น “กฎหมายสำรอง” เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ที่แสดงออกทางการเมืองด้วยวิธีการต่างๆ ในยามที่ผู้มีอำนาจไม่ต้องการใช้กฎหมายที่มีชื่อเสียงในทางไม่ดี เช่น มาตรา 112, มาตรา 116 ในขณะที่ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นการพ่นสีดังกล่าวสามารถทำความสะอาดได้โดยง่าย)

นอกจากนี้ยังมีกรณีของ “หยก” เยาวชนอายุ 14 ปี ที่เดินทางไปติดตามความเป็นไปของบังเอิญที่ สน.พระราชวัง ทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวโดยอ้างหมายจับคดีมาตรา 112 ก่อนหน้านี้ รวมถึงกรณีของสื่อมวลชนที่ถูกตำรวจนอกเครื่องแบบตามคุกคามให้ลบภาพการพ่นสีของบังเอิญด้วย

พระบรมมหาราชวังนั้น แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นที่ประทับและประกอบพิธีการของกษัตริย์และสมาชิกราชวงศ์ แต่ก็มีส่วนที่เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมสถานที่ภายในได้ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หรือลานด้านหน้าพระที่นั่งต่างๆ

ทั้งนี้ในอดีตตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระบรมมหาราชวังจัดเป็น “ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” มีนิยามความหมายว่า “ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยฉะเพาะ เช่น พระราชวัง” โดยมาตรา 5 ของ พ.ร.บ. ดังกล่าว กำหนดให้ทรัพย์สินประเภทดังกล่าวอยู่ในความดูแลรักษาของสำนักพระราชวัง ซึ่งเป็นส่วนราชการที่ไม่สังกัดกระทรวง ทบวง หรือกรมใดๆ แต่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าพระบรมมหาราชวังนั้นแม้ถือเป็น “ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์” แต่ก็มีสถานะเป็น “สาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ที่จะต้องใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน มิใช่ประโยชน์ส่วนตัวของกษัตริย์หรือสมาชิกราชวงศ์ โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรักษาก็เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับประมุขฝ่ายบริหารที่ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน มิใช่กษัตริย์ที่สืบทอดตำแหน่งทางสายเลือด

ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมีการตรา พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ในยุครัฐประหาร คสช. (และตามมาหลังจากนั้นด้วย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561) มีมาตรา 10 วรรค 2 กำหนดให้ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม พ.ร.บ. ฉบับเดิม ที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่ พ.ร.บ. นี้ใช้บังคับ เป็น “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ตาม พ.ร.บ. นี้

โดยทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ตาม พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 (ซึ่งเปลี่ยนคำเรียกเป็น “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์”) มาตรา 6 กำหนดให้การจัดการ การดูแลรักษา การจัดหาผลประโยชน์ และการดำเนินการอื่นใด ให้เป็นไป “ตามพระราชอัธยาศัย” (โดยอาจมอบหมายให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บุคคลใด หรือหน่วยงานใดเป็นผู้จัดการแทนได้)

มากไปกว่านั้น ในมาตรา 8 วรรค 5 ยังกำหนดว่ารายได้จากทรัพย์สินเหล่านี้ ให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ซึ่งก็เป็นหน่วยงาน “ในพระมหากษัตริย์” มีหน้าที่ดำเนินการตามที่กษัตริย์มอบหมาย โดยตาม พ.ร.บ. ฉบับเดิมยังมีการกำกับดูและโดยคณะกรรมการที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน) นำไปจ่ายหรือลงทุนได้ตามที่กษัตริย์อนุญาต ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายหรือใช้สอยได้ก็แต่โดยกษัตริย์ตามราชอัธยาศัย

นอกจากนี้สำนักพระราชวังที่เคยเป็นผู้ดูแลรักษาพระราชวังตาม พ.ร.บ. ฉบับเดิม ก็มี พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 กำหนดให้โอนบรรดากิจการ อำนาจหน้าที่ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินงบประมาณของหน่วยงานดังกล่าวไปเป็นของส่วนราชการในพระองค์ และให้โอนข้าราชการประจำหน่วยงานไปเป็นข้าราชการในพระองค์ด้วยเช่นกัน

เท่ากับว่าปัจจุบันนี้ทั้งพระบรมมหาราชวัง ทั้งพระราชวังอื่นๆ รวมไปถึงที่ดิน, หุ้น และทรัพย์สินอื่นๆ อีกจำนวนมาก ได้กลายไปเป็นทรัพย์สินที่กษัตริย์สามารถใช้สอยได้เองตามอัธยาศัยไปแล้ว ไม่อาจเรียกว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนทุกคนในประเทศถือเป็นเจ้าของร่วมกันได้อีกต่อไป มูลค่าต่างๆ ที่ทรัพย์สินเหล่านี้สร้างขึ้นก็ตกเป็นความมั่งคั่งส่วนตัวของกษัตริย์เท่านั้น ส่วนหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแล ไม่ว่าจะเป็นสำนักพระราชวัง หรือสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ก็ถูกตัดขาดความยึดโยงกับประชาชน ไปอยู่ใต้กษัตริย์โดยสมบูรณ์ (ในขณะที่การซ่อมบำรุงทรัพย์สินเหล่านี้ รวมถึงโครงการที่สร้างขึ้นใหม่อีกมากมาย ก็ยังต้องใช้เงินภาษีจากประชาชนกันต่อไป)

การออกแบบระบบกฎหมายและโครงสร้างการเมืองเช่นนี้ ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์กลายเป็นเสมือนนายทุนและเจ้าที่ดิน ที่สามารถสั่งสมอำนาจและอิทธิพลต่างๆ ของตัวเองได้ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยที่ผู้ใช้อำนาจต้องยึดโยงกับประชาชน สถาบันกษัตริย์มิพึงเป็นศูนย์รวมอำนาจเสียเอง

แต่ในประเทศไทย เมื่อประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงสภาวะเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องเจอคือการถูกปิดปากด้วยกฎหมายอย่างมาตรา 112 นี่จึงเป็นเหตุที่มีผู้ออกมาพ่นสีสเปรย์เพื่อรณรงค์ให้ยกเลิกมาตราดังกล่าว

https://prachatai.com/journal/2023/03/103385
https://twitter.com/TLHR2014/status/1640668605980508165

การท้าทายที่น่ารักของเด็กเปรตในศาลเยาวชน


Somyot Pruksakasemsuk
12h
การท้าทายที่น่ารักของเด็กเปรตในศาลเยาวชน
หลังรัฐประหาร 2549 การตัดสินคดีความต่างๆของศาลยุติธรรม ‘ในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์’ มีส่วนต่อการผลิกผันการเมืองไทยและทำให้ความเชื่อมั่นต่อความยุติธรรมลดน้อยถอยลงเริ่มจากการยอมรับการทำรัฐประหารว่าชอบด้วยกฎหมาย การตัดสินคดีแบบสองมาตรฐาน การยุบพรรคการเมือง จนกระทั่งล่าสุดการไม่ให้การประกันตัวแกนนำราษฎรที่ถูกยัดเยียด ข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 จนมีการชุมนุม เดินขบวนเรียกร้องสิทธิการประกันตัวหลายครั้งล่าสุดตะวันและแบมได้อดอาหารและน้ำ ในเวลาไล่เลี่ยกันมีการออกหมายจับต่อน้องหยก เยาวชนอายุ 15 ปี ด้วยข้อหาตามมาตรา 112 โดยเธอท้าทายต่ออำนาจศาล ด้วยการนั่งหันหลังให้กับบัลลังก์ศาล ไม่ขอประกันตัว ไม่แต่งตั้งทนายความ ทำให้ศาลเยาวชนต้องสั่งคุมขังเธอที่บ้านปราณี
ผมเห็นภาพน้องหยกนั่งหันหลังศาลเช่นนี้แล้ว ดูไปก็เป็นการท้าทายที่น่ารักที่สุดของเด็กอายุ 15ปี การท้าทายของเยาวชนต่อศาลเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน บางคนอาจอุทานมาก็ได้ว่า ไอ้เด็กเปรต แต่เห็นภาพนี้แล้วก็ยังนึกไม่ออกเลยว่า ความกล้าหาญและความรู้ของเธอเกิดขึ้นได้อย่างไร ผลที่เกิดขึ้นศาลอาจทำให้เธอสุญเสียอิสรภาพในวัยอันสดใส สูญเสียโอกาสทางการศึกษา(กำลังเข้าเรียนม.4 เตรียมอุดม)และชีวิตเยาว์วัยที่มีคุณค่าต่อสังคมไทยไป
แต่ศาลที่เคารพรัก จะรู้สึกกันบ้างไหมว่านี่เรากำลังสู้กับเด็กๆ ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ความคิดเห็นของเด็กเหล่านี้มากับกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ลองหาเวลาว่างถอดเสื้อครุยแล้วมารับฟังความคิดเห็นของเด็กเหล่านี้กันอย่างจริงจังแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมเราต้องช่วยกันสร้างหลักประกันในสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและจะได้เข้าใจว่าทำไมเธอจึงต้องการให้มีการยกเลิกมาตรา 112
ปล่อยเด็กๆเหล่านี้ไปเถิด ไปให้พวกเธอได้เรียนรู้จากประสพการณ์ชีวิตของการลองถูกลองผิด ไปสู่ความฝันในสิทธิเสรภาพ เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยสู่ความทันสมัย


บทเรียนจากสิงคโปร์ กับการแก้ปัญหาหมอกควันพิษ แม้ปัญหาจะเกิดในประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้นิ่งเฉย ใช้มาตรการทุกอย่างกดดันและบีบบังคับบริษัทสิงคโปร์เหล่านี้ให้ยกเลิกการตัดไม้เผาป่า โดยใช้เครื่องมือสำคัญคือการออกกฎหมายหมอกควันข้ามพรมแดน หรือ Transboundary Haze Pollution Act เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2557

ประกายพฤกษ์ จิตกาธาน
1d
บทเรียนจากสิงคโปร์ กับการแก้ปัญหาหมอกควันพิษ
บริษัทน้ำตาลรายใหญ่ของไทยได้รับอนุมัติสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน 123,547 ไร่ เพื่อเพาะปลูกอ้อยและตั้งโรงงานน้ำตาลเป็นเวลานาน 70 ปี และบริษัทน้ำตาลอีกรายก็ได้รับสัมปทานปลูกอ้อยในสปป.ลาวนับแสนไร่เช่นกัน
หมอกควันพิษที่ลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้านจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเชื่อมโยงถึงบริษัทเกษตรกรรมรายใหญ่ของไทย แต่ดูเหมือนรัฐบาลไทยไม่ได้มีมาตรการระหว่างประเทศอะไรเลยเพื่อยับยั้งหมอกควันพิษที่ลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้าน
ลองหันมาเปรียบเทียบการแก้ปัญหาหมอกควันพิษในประเทศสิงคโปร์ว่าเขาจัดการอย่างไร
เป็นเวลานับสิบปีแล้วที่ประชาชนชาวสิงคโปร์ต้องทนทุกข์กับหมอกควันพิษที่ลอยมาจากการเผาป่าและพืชไร่บนเกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียวของประเทศอินโดนีเซีย
รัฐบาลสิงคโปร์ทำการสืบสวน พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเผาป่าสำหรับเพาะปลูกปาล์มน้ำมัน โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในสิงคโปร์เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในบริษัทปาล์มน้ำมันและอุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ
แม้ปัญหาจะเกิดในประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลสิงคโปร์ไม่ได้นิ่งเฉย ใช้มาตรการทุกอย่างกดดันและบีบบังคับบริษัทสิงคโปร์เหล่านี้ให้ยกเลิกการตัดไม้เผาป่า โดยใช้เครื่องมือสำคัญคือการออกกฎหมายหมอกควันข้ามพรมแดน หรือ Transboundary Haze Pollution Act เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2557 เพื่อเป็นกลไกทางกฎหมายสำหรับควบคุมการดำเนินธุรกิจสวนปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซียของบริษัทที่มีที่ตั้งในสิงคโปร์ ไม่ให้เผาป่าเพื่อบุกเบิกพื้นที่การเกษตร อันเป็นการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนที่ต้นเหตุ
กฎหมายฉบับนี้ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้มีส่วนในการสร้างหมอกควันพิษต้องรับผิดชอบทั้งในทางอาญาและแพ่ง และกฎหมายนี้ได้ครอบคลุมไปถึงบริษัทที่แม้จะไม่ได้เผาซากปาล์มน้ำมันโดยตรง แต่หากพิสูจน์ได้ว่ารับซื้อปาล์มน้ำมันหรือมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ประชาชนชาวสิงคโปร์ทั่วไปก็สามารถมีสิทธิ์ฟ้องได้ นอกจากนั้นประเทศสิงคโปร์ยังใช้มาตรการคว่ำบาตรสินค้าที่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยในเดือนตุลาคม ปี 2558 สภาสิ่งแวดล้อมแห่งสิงคโปร์ได้ระงับการใช้ฉลากเขียวของ Universal Sovereign Trading ผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท Asia Pulp & Paper Group (APP) ผู้ผลิตเยื่อและกระดาษของอินโดนีเซีย
เนื่องจากบริษัทดังกล่าวต้องสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรด้วยการเผาป่าในอินโดนีเซีย ทำให้ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในสิงคโปร์ดำเนินการในการนำผลิตภัณฑ์ของ APP ออกจากชั้นวางภายใน 2 สัปดาห์อย่างรวดเร็ว
https://thestandard.co/lessons-singapore-smog-solution/

31 มี.ค.66 ช่วงค่ำที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า ได้พบเห็นสัญลักษณ์ อนาคิสต์ และ ยกเลิก112 ปรากฎขึ้นที่ กลางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่เสาชิงช้า และที่อื่นๆ


ไข่แมวชีส
4h ·
31 มี.ค.66 ช่วงค่ำที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า ได้พบเห็นสัญลักษณ์ อนาคิสต์ และ ยกเลิก112 ปรากฎขึ้นที่
กลางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และที่เสาชิงช้านั้น ก็มีเช่นกัน ทั้งนี้ที่เสาชิงช้า ยังมีข้อความพ่นว่า
“หยกโดน 112 ตรงนี้”
.....

คนสมุทรปราการตอนนี้


Eakapop Luara
20h
Oh My GRRROODDD
— feeling excited
......

Thanapol Eawsakul
19h
ตำแหน่ง "จะอยู่กับเราไม่นาน"
ตำนาน "จะอยู่กับเราตลอดไป"
.......................
" วินาทีที่ว่า นั่นก็คือ จู่ๆ ได้มีชาย 2 คน สวมหมวกกันน็อก วิ่งปรี่เข้าไปในคูหาเลือกตั้งที่ 7 หน้าพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จ. สมุทรปราการ ในวันที่ 2 พ.ค.2542 จากนั้นได้กระทำการที่สุดจะอุกอาจเกินกว่าที่จะมีใครคาดหมาย โดยชายคนแรกตรงเข้าใช้กุญแจที่พกติดตัวมา เปิดหีบบัตรเลือกตั้งอย่างง่ายดาย ส่วนชายคนที่ 2 ได้นำถุงกระดาษที่เตรียมมาซึ่งภายในบรรจุบัตรเลือกตั้งที่มีการกาเลือกเบอร์แล้ว รวมกว่าร้อยใบ ลงไปในหีบบัตรเลือกตั้ง ต่อหน้าต่อตา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ประจำคูหาเลือกตั้ง รวมถึงประชาชนจำนวนหนึ่งที่มารอใช้สิทธิ โดยที่ทุกคนที่เห็นการกระทำทั้งหมด และส่วนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ที่ต้องอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับการเลือกตั้ง ทำได้เพียงอ้าปากค้าง และหยุดนิ่งราวกับไม่หายใจ ปล่อยให้ชายคนดังกล่าว กระทำการอหังการ ท้าทายความกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยนี้ ตามอำเภอใจ ซึ่งช่วงวินาทีประวัติศาสตร์รอยด่างดำของประเทศนี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่หลังจากสถานีโทรทัศน์ ITV นำเผยแพร่สู่สายตาประชาชน แทบทุกคนในชาติเวลานั้น ต่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่นึกฝันว่า สยามประเทศของเรา จะมีผู้ใดที่หาญกล้ากระทำการอุกอาจได้ถึงเพียงนั้น และนั่น จึงเป็นที่มาของคำว่า โคตรโกงเลือกตั้ง "
อาทิตย์อัสดงที่ปากน้ำ ย้อนรอย 16 ปี ปิดฉากคดี โคตรโกงเลือกตั้ง!
https://www.thairath.co.th/news/local/516361?optimize=d
...
Ed Ind
ตำนานจริง
- - - - -
ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 7,539 คน มีผู้มาแสดงตนใช้สิทธิ 3,633 คน แต่ปรากฏว่า มีผู้มาใช้สิทธิตามแบบรายงานผล 4,467 คน มีจำนวนบัตรปลอมที่ไม่ได้จัดพิมพ์ส่วนท้องถิ่น 1,897 ใบ และมีบัตรที่ไม่ได้กาคะแนนแต่ถูกขานคะแนน 301 ใบ สรุปผลจากการพิจารณาของศาลได้ 4 ประเด็น คือ 1. มีการปลอมแปลงบัตรเลือกตั้ง 2. มีการทำกุญแจเปิดหีบโดยไม่ได้รับอนุญาต 3. มีการนับคะแนนให้ผู้สมัครทั้งที่ไม่ได้กาบัตรเลือกตั้ง และ 4. มีการกรอกคะแนนให้ผู้สมัครโดยไม่มีผู้มาใช้

Ekchart Pullarp
ขอแสดงความยินดีกับชาวปากนำ้