วันเสาร์, ตุลาคม 18, 2568

สำนักข่าว "คลั่งชาติ" ควรอ่าน “ตอนนั้นเราเป็นนักศึกษาพยาบาลปีสุดท้าย ส่วนเขา (สมชาย นีละไพจิตร) เป็นรุ่นพี่ค่ายอาสาที่จัดโดยสมาคมยุวมุสลิม ภาพแรกที่เห็นคือ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขน ถือกระป๋องน้ำและแปรงเข้าไปขัดห้องน้ำของโรงเรียน เห็นแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่รังเกียจงาน ..หลังจากทำความรู้จักกันสักระยะ เราสองคนตัดสินใจแต่งงานกัน"


มนุษย์กรุงเทพฯ
March 11, 2024
·
“ตอนนั้นเราเป็นนักศึกษาพยาบาลปีสุดท้าย ส่วนเขา (สมชาย นีละไพจิตร) เป็นรุ่นพี่ค่ายอาสาที่จัดโดยสมาคมยุวมุสลิม ภาพแรกที่เห็นคือ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขน ถือกระป๋องน้ำและแปรงเข้าไปขัดห้องน้ำของโรงเรียน เห็นแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นคนไม่รังเกียจงาน พอวันถัดมา เรานั่งอยู่ในห้องพยาบาล เขาเห็นเรากำลังนั่งเขียนอะไร เลยไปเอาพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วมาให้ใช้ หลังจากค่ายอาสาครั้งนั้น เขาโทรมาถามไถ่ทุกข์สุข เล่าว่าตัวเองมาจากครอบครัวชาวนา ไม่ได้มีเงินมากมาย ทำงานเป็นทนายความ นอกจากว่าความคดีทั่วไป เขาทำคดีช่วยเหลือชาวบ้านกับทนายอาสาอย่างพี่ทองใบ ทองเปาด์ ด้วย

“หลังจากทำความรู้จักกันสักระยะ เราสองคนตัดสินใจแต่งงานกัน อีกไม่นานก็มีลูกคนแรก พอมีลูกคนที่สอง เราตัดสินใจลาออกจากงานพยาบาล มารับงานแปลเอกสาร ตรวจปรู๊ฟหนังสือ และงานที่ทำที่บ้านได้ ช่วงหลังเขาทำคดีช่วยเหลือชาวบ้านที่สามจังหวัดภาคใต้เป็นหลัก เขามักถามชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือว่า ‘ทำจริงหรือเปล่า ถ้าทำ รับนะ แล้วจะได้ลดโทษ ถ้าไม่ทำ อย่ายอมนะ’ เป็นคำพูดที่เราได้ยินตลอด เขาเชื่อว่าถ้าทำผิดก็ควรได้รับโทษ แต่ต้องได้สัดส่วนกับความผิด คนที่ติดต่อมารู้ว่าทนายสมชายช่วยโดยไม่คิดเงิน ส่วนตำรวจมักมองว่าเป็นทนายโจร หลังจากเขาหายตัวไป เช้าวันรุ่งขึ้นยังมีพาดหัวข่าวเลยว่า ‘อุ้มทนายโจร’

“ช่วงนั้นที่บ้านมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นบ้าง เช่น มีคนโทรเข้าบ้านแล้วไม่พูดอะไร มีคนมาเขย่าประตูตอนดึก แต่ไม่ว่าเราจะถามยังไง เขาไม่บอก ไม่เล่า คาดคั้นมากก็ไม่ได้ ในใจคงมองเป็นความหวังดี ไม่อยากให้ครอบครัวมารับรู้ไปด้วย แต่เรามองว่ามันไม่แฟร์เลย คนอยู่ด้วยกันต้องรับความเสี่ยง การไม่รู้อะไรทำให้ตั้งรับไม่ได้เลย เราคุยกันเรื่องงานบ้าง ก่อนวันที่จะหายตัวไป เขากำลังรวบรวมรายชื่อเสนอยกเลิกกฎอัยการศึก เตรียมจะเอารายชื่อไปให้คุณทักษิณที่จะลงพื้นที่นราธิวาส

“วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2547 เป็นวันที่เขาไม่กลับบ้าน เราคิดว่าคงนอนบ้านเพื่อน วันเสาร์มีประชุมกับทีมทนายอีก เลยไม่ได้เอะใจ พอวันอาทิตย์ เพื่อนทนายของเขามาที่บ้าน บอกว่าเขาไม่มาประชุม ติดต่อไปก็ปิดโทรศัพท์ ทั้งที่เขาไม่เคยขาดประชุมเลย เขาต้องเดินทางไปนราธิวาสวันอาทิตย์ จองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว พอเช็คแล้วรู้ว่าไม่ได้เดินทาง เป็นอันรู้แล้วว่าไม่ปกติ เราขับรถไป สน.บางยี่เรือ แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ บอกว่าหายตัวไปไม่ถึง 48 ชั่วโมง ตำรวจยังพูดแบบขำๆ เลยว่า ‘พวกพี่ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า’ ตอนนั้นเรายังคิดว่าอาจเป็นอุบัติเหตุ เลยขอให้ตำรวจช่วยเช็คข้อมูล แต่ก็ไม่เจออะไร

“พอวันจันทร์เปิดประชุมวุฒิสภา พี่สัก กอแสงเรือง หมอนิรันดร์ พี่โต้ง ไกรศักดิ์ ที่เป็น สว. เอาสิ่งที่เกิดขึ้นไปพูดในสภาจนกลายเป็นข่าวใหญ่ หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนก็จับตัวผู้ต้องหาได้ เป็นตำรวจ 4 นาย ภายหลังออกหมายจับอีก 1 นาย รวมเป็น 5 นาย หากดูจากสัญญาณการใช้โทรศัพท์ ตำรวจ 4 คนอยู่ด้วยกันตลอด ส่วนคนที่ 5 เป็นลักษณะการสั่งการ แต่ตอนอุ้มคนที่ 5 ก็อยู่แถวนั้น คำให้การของทั้ง 5 คนบอกว่า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ในช่วงเวลาเกิดเหตุ ทุกคนอยู่ตรงนั้นหมดเลย และตามที่พนักงานสอบสวนเบิกความในศาล วันที่ 12 มีนาคม ทั้ง 5 คนโทรติดต่อกัน 70 กว่าครั้ง ตอนนั้นยังไม่มีกฎหมายอุ้มหาย ถ้ายังไม่พบศพก็ฟ้องฆาตรกรรมไม่ได้ เราเลยทำได้แค่ฟ้องข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและลักทรัพย์

“ศาลชั้นต้นยกคำฟ้องเรื่องลักทรัพย์ เพราะสุดท้ายได้รถคืน แล้วลงโทษแค่ 1 คน โทษจำคุก 3 ปีในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว เพราะมีประจักษ์พยานจำได้ ส่วนคนที่เหลือไม่มีหลักฐานเพียงพอ สมัยยี่สิบปีก่อน แทบไม่มีการคุ้มครองพยาน พยานเป็นผู้หญิงทำงานโรงงาน เดินมาศาลคนเดียว เบิกความไปร้องไห้ไป ไม่กล้าหันไปมองหน้าจำเลย ตำรวจที่โดนโทษจำคุกได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ตอนนั้นเขาถูกพักราชการ มีข่าวว่าไปทำงานที่เขื่อนแถวพิษณุโลก แล้วอยู่ๆ ก็มีข่าวว่าตกน้ำหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทนายจำเลยก็มายื่นที่ศาลว่าหายสาบสูญ ศาลเลยจำหน่ายคดี ศาลฎีกาพิพากษาว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติ ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งผลักสมชายขึ้นรถที่เตรียมมาจริง แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดใคร

“ถามว่าสาเหตุของเรื่องนี้คืออะไร คนมักพูดกันว่า ‘ทนายคนนี้ทำคดีแล้วยกฟ้องหมดเลย’ มันยกฟ้องจริง ประเด็นคือตำรวจทำสำนวนตั้งข้อกล่าวหาและมีพยานหลักฐานแบบเดิมๆ สุดท้ายไม่มีหลักฐานชัดเจนก็หลุด คงมีคนคิดว่าถ้าหายไปสักคนอะไรๆ คงง่ายขึ้น ซึ่งทนายสมชายไม่ใช่คนแรกที่โดนอุ้ม เราจำได้ว่าตำรวจที่เป็นจำเลยนั่งหัวเราะในศาล ไม่มีท่าทางซีเรียส พอคดีจบ บางคนเปลี่ยนชื่อ บางคนเปลี่ยนนามสกุลด้วย แต่ปัจจุบันหลายคนเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้รับการยกย่อง เรารู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมเลย เหมือนว่าชีวิตคนที่หายไปไม่มีค่า คุณลองถามตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในปัจจุบันได้เลย หลายคนรู้ว่าใครเป็นคนทำ

“พอคดีจบลงแบบนั้น สิ่งที่ครอบครัวต้องเผชิญคือความคลุมเครือ ถ้าเรารู้ว่าตายแล้ว มีศพ มีหลุมศพ เราสามารถทำบุญให้เขาได้ ไปหาได้ แต่พอคลุมเครือ เราไม่รู้ว่าจะจัดการตัวเองยังไง ช่วงเวลานั้นเราออกไปตลาด ลูกไปโรงเรียน สิ่งที่พวกเราเจออยู่ตลอดคือคำถามว่า ‘เจอพ่อหรือยัง’ ‘ตกลงเป็นยังไง’ บางคนก็พูดเลยว่า ‘ทำอะไรไม่ได้หรอก’ ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่รู้จะตอบยังไง มันเป็นคำถามที่ตอบไม่ได้ เวลาเด็กๆ กรอกเอกสาร พ่อยังมีชีวิตอยู่ หรือไม่มีชีวิตแล้ว เวลาเรากรอกแบบฟอร์ม ไม่รู้เลยว่าต้องกรอกยังไง เป็นม่ายหรือเปล่า แต่เราไม่ได้หย่านะ

“เรารณรงค์เรื่องกฎหมายอุ้มหายมาตลอด เป็นหนึ่งในคนที่ร่าง จนเมื่อกุมภาพันธ์ 2566 ได้เกิดเป็น พ.ร.บ.อุ้มหาย (พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565) สาระสำคัญคือ นิยามของเหยื่อหรือผู้เสียหายจะรวมถึงครอบครัวโดยไม่ต้องมีทะเบียนสมรสก็ได้ การกระทำให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดต่อเนื่อง ไม่มีอายุความ หายตัวไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนนี้ก็ยังหายตัว ถือว่ายังกระทำผิดอยู่ อายุความจะเริ่มต่อเมื่อทราบชะตากรรมแล้ว มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติมาทำงานควบคู่กับพนักงานสอบสวน คือมี 4 หน่วยงาน คือ ตำรวจ อัยการ กรมการปกครอง และดีเอสไอ ถ้าดีเอสไอมาทำคดีให้ใช้ พ.ร.บ.คดีพิเศษ แล้วอยู่ในเขตอำนาจของศาลคดีทุจริต ใช้ระบบไต่สวน ภาระในการพิสูจน์อยู่กับจำเลย

“กฎหมายนี้ยังบอกอีกว่า รัฐต้องสืบสวนจนกว่าจะรู้ตัวผู้กระทำผิด ดังนั้นมันคือหน้าที่ของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องที่ต้องหาหลักฐานและดำเนินการสืบสวน ไม่ใช่หน้าที่ของผู้เสียหาย ดีเอสไอเคยบอกเราว่า ‘ถ้ามีหลักฐานเพิ่มเติมให้มาบอกได้เลยนะ’ แต่คนธรรมดาไม่ได้มีอำนาจไปทำอะไรได้หรอก เจ้าหน้าที่มีภูมิคุ้มกันโดยบอกว่า ‘กำลังสืบอยู่ แต่ยังไม่พบหลักฐาน’ แต่เรามองว่าถ้าจะหาจริงๆ ก็หาเจอ สิ่งที่เราทำได้คือการตั้งคำถามกับรัฐไปเรื่อยๆ

“บางประเทศผ่านไปหลายสิบปีถึงมีการเปิดเผยความจริง บางทีต้องรอให้คนทำผิดตายหรือหมดอำนาจแล้วถึงจะมีคนยอมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วมีการคืนศพกับญาติ คดีทนายสมชายคนรู้กันทั่วโลก เราหวังว่าสังคมจะร่วมกันปกป้อง ในระดับโลกมีคนจำนวนมากที่เจอเรื่องนี้ แล้วต้องจากโลกไปพร้อมกับความคลุมเครือ วันหนึ่งเราอาจเป็นแบบนั้น แต่หวังว่าจะมีคนรุ่นต่อๆ ไปทวงถามความยุติธรรม แม้ไม่ใช่ครอบครัวนีละไพจิตรก็ตาม เพราะคดีของทนายสมชายไม่ใช่คดีระหว่างปัจเจก แต่เป็นคดีระหว่างรัฐกับประชาชน เป็นอาชญากรรมโดยรัฐ

“คนรุ่นเราต่อสู้ให้คนตระหนักเรื่องสิทธิมนุษยชน ขณะที่คนรุ่นนี้โตมาโดยมีหลายอย่างเปลี่ยนไป ผู้คนเคารพคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่ว่าคุณทักษิณหรือคนสูงอายุที่ต้องป่วยตายในเรือนจำ ทุกคนมีคุณค่าความเป็นคนเท่ากัน จำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ตัวเองเลยอยากขอให้คนรุ่นนี้รักษาสิ่งที่มีไว้ และพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อย่าคิดว่าการอุ้มหายเป็นเรื่องปัจเจก เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใคร มันคือหน้าที่ของคนในสังคมที่ต้องช่วยกัน

“ถ้าวันนั้นไม่หายตัวไป เราว่าปัจจุบันเขาก็ยังว่าความเหมือนเดิม คงกำลังขึ้นโรงขึ้นศาลสักที่ น่าจะยังไม่เกษียณตัวเองจากอาชีพทนายความ และทำจนกว่าจะทำไม่ไหว เขาภูมิใจในวิชาชีพของเขามาก เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เขาไม่กลัวการแพ้คดีเลย อยากสู้ให้ถึงที่สุด มีความเชื่อมั่นว่าจะชนะ ต่อให้ศาลชั้นต้นลง หลายครั้งเลยที่ศาลฎีกาก็ยก

“เขาเกิดในสภาพแวดล้อมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ บางเรื่องเขาก็คิดว่าสิ่งนี้ผู้หญิงไม่ควรทำ เราเองต่อสู้เรื่องความเสมอภาคทางเพศในครอบครัวมาตลอด เมื่อก่อนก็เถียงกัน ถ้าวันนี้เขาอยู่ก็คงเถียงกัน บทสนทนาไม่ได้เออออกันทุกเรื่อง แต่ไม่ใช่ความขัดแย้งที่รุนแรง ลูกๆ เคยคุยกันว่า เมื่อก่อนพ่อเสียงดัง ถ้าตอนนี้พ่ออยู่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง คงเถียงแพ้พวกเราแล้วแน่เลย (ยิ้ม)”
.

อังคณา นีละไพจิตร
  
https://www.facebook.com/photo/?fbid=942585823903870&set=a.649473419881780