
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
17 hours ago
·
จับตา ฟังคำพิพากษาอุทธรณ์คดี ม.112 แขวนป้าย “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” หลังศาลจังหวัดเชียงรายยกฟ้อง-อัยการอุทธรณ์ต่อ
.
.
พรุ่งนี้ (14 ส.ค. 2568) เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดเชียงรายนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีของ “แซน” สุปรียา ใจแก้ว อดีตนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงราย และทีมงานพรรคเพื่อไทย ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564 โดยเดิมคดีนี้ ศาลชั้นต้นยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา แต่อัยการยื่นอุทธรณ์ต่อมา
.
.

.
คดีนี้มี ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม อดีตรองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย เป็นผู้กล่าวหา โดยสุปรียาถูกชุดตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบบุกเข้าจับกุมตัวจากหอพักในจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2564 ไปยัง สภ.เมืองเชียงราย ตำรวจมีการแสดงออกหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดเชียงราย โดยที่สุปรียาไม่เคยได้รับหมายเรียกมาก่อน รวมทั้งยังมีการให้ผู้ต้องหานำตรวจค้นห้องพัก โดยไม่มีหมายค้น จากนั้นตำรวจจึงอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน
.
ต่อมาวันที่ 24 มิ.ย. 2565 อัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนี้ โดยแยกเป็น 2 กระทง คือ การกระทำที่เกี่ยวกับการวางป้ายผ้าดังกล่าวใกล้พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ในข้อหาตามมาตรา 112 และการโพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” โดยนำภาพถ่ายป้ายข้อความดังกล่าวมาโพสต์ประกอบคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชนเชียงราย ส่งเข้าประกวดค่ะ” โดยกล่าวหาว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2)
.
ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่า จากพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้วางป้ายข้อความตามฟ้อง ขณะเดียวกัน ยังต่อสู้ว่าข้อความในป้าย ไม่ได้เข้าข้ายตามมาตรา 112 แต่อย่างใด โดยข้อความไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าหมายถึง “สถาบันฯ” ใด แม้จะมีผู้ตีความไปว่าข้อความสื่อถึงว่า “งบประมาณสถาบันกษัตริย์มากกว่างบประมาณเยียวยาประชาชน” ก็ไม่ได้เข้าข่ายมาตรา 112 ทั้งจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว
.
หลังการต่อสู้คดี วันที่ 28 ธ.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา โดยเห็นว่า การนำป้ายผ้าดังกล่าวไปติดไว้บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ทำให้เข้าใจว่าหมายความถึงงบสถาบันพระมหากษัตริย์ และ “งบเยียวยาประชาชน” หมายถึงงบประมาณที่ใช้บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรนา-2019 ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้จัดสรรงบประมาณดังกล่าวเพื่อเยียวยาประชาชน เมื่อนำไปติดบริเวณที่เกิดเหตุจึงหมายถึง “งบสถาบันพระมหากษัตริย์>งบจัดการสถานการณ์ไวรัสโคโรนา”
.
แต่ศาลเห็นว่า ใจความของข้อความคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย และการจัดการงบประมาณแผ่นดินนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นการใส่ความหรือให้ร้ายพระมหากษัตริย์ และเห็นว่าจากความเห็นของพยานโจทก์ ยังแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เห็นว่าเป็นความผิดกับไม่เป็นความผิด ซึ่งการตีความจะต้องพิจารณาจากภววิสัย ไม่ใช่พิจารณาลงโทษจำเลยตามอัตวิสัยตามความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล จึงยังไม่เพียงพอฟังได้ว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112
.
ส่วนการโพสต์รูปภาพและข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก โดยลักษณะความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จะต้องเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ดังนั้นองค์ประกอบภายนอกที่โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จอย่างไร แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นข้อความอันเป็นเท็จ การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2)
.
.

.
ต่อมา ไพศาล ไชยวงษ์ พนักงานอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 5 ปฏิบัติราชการในหน้าที่อัยการศาลสูงจังหวัดเชียงราย ได้เป็นผู้เรียงอุทธรณ์ในคดีนี้ โดยขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยสรุปว่า การนำแผ่นป้ายข้อความดังกล่าวไปติดไว้ที่ใต้บริเวณพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 มีเจตนาเป็นการหมิ่นประมาท ทำให้รัชกาลที่ 10 ได้รับความเสียหาย ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า งบที่ใช้สำหรับช่วยเหลือประชาชนในวิกฤติช่วงโควิด มีน้อยกว่างบที่ทางรัฐบาลจัดสรรให้พระมหากษัตริย์ใช้ส่วนพระองค์ จึงเป็นการสื่อโดยตรงที่ทำให้รัชกาลที่ 10 ได้รับความเสียหาย
.
โจทก์ยังระบุว่าการกระทำดังกล่าวทำให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็นเกิดความเกลียดชัง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง และต่อมายังนำไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ให้บุคคลทั่วไปพบเห็น จึงครบองค์ประกอบในทั้งสองข้อกล่าวหาแล้ว โดยโจทก์ได้อ้างอิงพยานในชั้นสอบสวน คือ กิตติพงษ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ซึ่งเคยมาให้การเกี่ยวกับงบประมาณ ว่าไม่อาจนับว่างบประมาณทุกอย่างที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ว่าเป็นงบที่พระมหากษัตริย์ใช้โดยตรงเพียงพระองค์เดียว โดยการใช้งบประมาณเป็นเรื่องของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ชี้ให้เห็นว่าข้อความในป้ายเป็นเท็จ
.

.
ฝ่ายจำเลยยืนยันว่า การตีความมาตรา 112 ต้องเป็นไปโดยเคร่งครัด โดยจะต้องสามารถ “ระบุเจาะจง” ตัวผู้ถูกใส่ความหรือดูหมิ่นได้ว่าหมายถึงบุคคลใด ทั้งต้องมิใช่เพียงการ “แสดงความคิดเห็น” ลอย ๆ หรือใช้ถ้อยคำที่ไม่อาจเป็นจริงหรือพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกดูหมิ่นโดยตรง การดูหมิ่นนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
.
ทั้งพยานที่โจทก์อ้างอิงสองคน ก็ไม่ได้นำมาเบิกความต่อศาล เป็นเพียงบันทึกคำให้การในชั้นพนักงานสอบสวน และจำเลยก็ไม่ได้รับข้อเท็จจริงในคำให้การดังกล่าวแต่อย่างใด จึงเป็นพยานบอกเล่าที่ต้องห้ามไม่ให้รับฟังตามกฎหมาย และไม่อาจรับฟังมีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้แต่อย่างใด ทั้งพยานทั้งสองยังให้การลักษณะว่างบประมาณที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ไม่ได้เป็นงบประมาณที่พระมหากษัตริย์ใช้ส่วนพระองค์แต่อย่างใด และการจัดสรรงบก็เป็นเรื่องของรัฐบาล
.
ทั้งพยานโจทก์ปากคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่มาเบิกความในศาล เห็นว่าคำว่า “งบสถาบันฯ” หมายความถึงงบประมาณของสำนักทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ โดยเห็นว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด เห็นว่าข้อความไม่ได้สื่อถึงตัวพระมหากษัตริย์ และการจัดสรรงบประมาณเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ องค์พระมหากษัตริย์ไม่สามารถของบประมาณเองได้ และประชาชนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลและรัฐสภาได้
.

.
.

https://tlhr2014.com/archives/77457
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1167549318548870&set=a.656922399611567