วันศุกร์, พฤษภาคม 02, 2568

ตัวอย่างจริง Why Nations Fail หากประเทศไทยไม่เร่งปฏิรูปสถาบันหลัก ๆ โดยเฉพาะ rule of law, คอร์รัปชั่น และประชาธิปไตย เรามีสิทธิ์ fail อย่างมาก


Pipat Luengnaruemitchai
19 hours ago
·
ระวังไทยจะกลายเป็นบทหนึ่งของหนังสือ…

อยากแนะนำให้อ่านหนังสือ Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity, and Poverty ของนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล

หนังสือเล่มนี้อธิบายว่า ความร่ำรวยหรือยากจนของประเทศหนึ่ง ๆ ไม่ได้เกิดจากภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม หรือความขยันของประชาชน แต่สิ่งที่ “กำหนดอนาคต” อย่างแท้จริงคือ สถาบันการเมืองและเศรษฐกิจ ที่ประเทศนั้นสร้างขึ้น

ถ้าประเทศมี สถาบันแบบ Inclusive (ครอบคลุม-เปิดโอกาส):
• มี rule of law (นิติรัฐ) ที่เข้มแข็ง
• คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน
• มีประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมจริง
ประเทศจะสร้างโอกาสอย่างทั่วถึงและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

ถ้าประเทศติดกับ สถาบันแบบ Extractive (เอาเปรียบ-กอบโกย):
• กลุ่มอำนาจบิดเบือนกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
• ขัดขวางการแข่งขันและนวัตกรรม
• ระบบการเมืองคอร์รัปชันและไร้ความโปร่งใส
ผลคือ ติดกับดักความยากจนและเหลื่อมล้ำแบบไม่มีทางออก



ตัวอย่างจริงจากทั่วโลก:

• สหรัฐอเมริกา vs เม็กซิโก:
หนังสือยกตัวอย่าง “Nogales” เมืองชายแดนที่แบ่งครึ่งด้วยรั้ว—ครึ่งหนึ่งอยู่ในรัฐแอริโซนา (สหรัฐฯ) อีกครึ่งในโซโนรา (เม็กซิโก)

แม้ทั้งสองฝั่งมีวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์คล้ายกัน แต่ฝั่งสหรัฐฯ มีรายได้ต่อหัวและคุณภาพชีวิตสูงกว่าอย่างชัดเจน เพราะสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจที่มี rule of law เข้มแข็งกว่า เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วม ขณะที่ฝั่งเม็กซิโกเผชิญกับการคอร์รัปชัน ความไร้เสถียรภาพ และโครงสร้างอำนาจที่กดขี่

• เกาหลีเหนือ vs เกาหลีใต้:
จุดเริ่มต้นเหมือนกัน แต่วันนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน เพราะสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจต่างกันโดยสิ้นเชิง

• โคลอมเบีย vs คอสตาริกา:
โคลอมเบียติดกับดักความรุนแรงและคอร์รัปชัน ขณะที่คอสตาริกาสร้างสถาบันประชาธิปไตยและการศึกษาที่มั่นคง

• บอตสวานา vs ซิมบับเว:
สองประเทศในแอฟริกาที่ตัดสินใจคนละเส้นทาง บอตสวานามีการบริหารจัดการโปร่งใส ส่วนซิมบับเวพังทลายเพราะคอร์รัปชันและการกดขี่



บทสรุปสำคัญของหนังสือ:
เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อสถาบันการเมืองและเศรษฐกิจทำงานเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพื่อชนชั้นนำกลุ่มเล็ก ๆ ประเทศที่ไม่กล้าปฏิรูปสถาบัน แม้จะดูแข็งแรงในบางช่วงเวลา สุดท้ายจะเจอกับจุดตันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้



และเมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย — สัญญาณอันตรายหลายอย่างที่หนังสือเล่มนี้เตือน เรา “กำลังเห็นกับตา” อยู่แล้ว:

• ระบบการเลือกตั้งที่ ประชาชนเริ่มรู้สึกว่า “ไม่ matter”
• การแทรกแซงอำนาจตุลาการ จนความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมสั่นคลอน
• วัฒนธรรมที่ “คนทำผิดไม่ต้องรับผิด” และการใช้กฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้อง

และนี่คือตัวเลขล่าสุดที่ตอกย้ำว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร:

• Rule of Law Index 2024 (World Justice Project):
ไทยอยู่อันดับ 78 จาก 142 ประเทศ ต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์

• Corruption Perceptions Index 2024 (Transparency International):
ไทยได้คะแนน 36/100 อยู่อันดับ 107 จาก 180 ประเทศ สะท้อนปัญหาคอร์รัปชันเรื้อรัง

• Democracy Index 2024 (The Economist Intelligence Unit):
ไทยถูกจัดเป็น “ระบอบประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง” (Flawed Democracy) อยู่อันดับ 63 จาก 167 ประเทศ

ทุกตัวชี้วัดเลวร้ายลงเรื่อยๆ



นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า หากไทยไม่เร่งปฏิรูปสถาบันหลัก ๆ โดยเฉพาะ rule of law, คอร์รัปชั่น และประชาธิปไตย เราอาจไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกต แต่จะกลายเป็น “กรณีศึกษา” ที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือ Why Nations Fail ในอนาคต

ช่วยกันก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปเถอะครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162488095145700&set=a.38477680699