จากข่าว ๓ มิติที่ว่าหน่วยสอบสวนกลางเข้าจับกุมบริษัทนอมินีจีนในภาคตะวันออก กว้านซื้อที่ดิน ๗๒ ไร่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและระยอง ทั้งลงมือก่อสร้างคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ มูลค่ากว่า ๒ พันล้านบาท โดยตั้งบริษัทขายวัสดุ ผลิตคอนกรีตเอง
ยิ่งไปกว่านั้น คนคุมงาน วิศวกร ช่างไฟ ช่างประปา ไปจนถึงแรงงาน เป็นคนสัญชาติจีนทั้งหมด นี่แสดงว่าถ้าสร้างเสร็จก็จะมีชาวจีนเข้าไปอยู่ในนิคมเป็นจำนวนนับร้อยๆ คนเป็นอย่างน้อย แล้วปัญหาสังคมก็จะตามมาเฉกเช่นที่เกิดขึ้นในจังหวัดปราจีนบุรี
จังหวัดปราจีนนั้น โดยเฉพาะในภาคตะวันออกตั้งแต่อำเภอศรีมหาโพธิ์ไปถึงกบินทร์บุรี มีโรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งประกอบชิ้นส่วนสินค้าไปตั้งอยู่จำนวนมากนับเป็นทศวรรษมาแล้ว คนงานส่วนมากก็เป็นแรงงานข้ามชาติ
มีคนเล่าว่าในบางพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ์และศรีมโหสถ ไม่กี่ตารางกิโลเมตรที่มีโรงงานอยู่มาก มีร้านสะดวกซื้อ ‘เซเว่นอีเล็พเว่น’ นับเป็นสิบๆ แห่ง เมื่อไปถึงกบินทร์บุรีและบ่อทองซึ่งเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยนิคมชาวจีน ก็จะมีความแออัด ไร้ขื่อแปจนเกิดปัญหา
เพจ ‘รู้ทันจีน’ ตีพิมพ์เรื่องราว เสียงสะท้อนจากปราจีนบุรี “ฉันอยู่ไม่ไหวแล้ว นิคม ๓๐๔ กบินทร์บุรีบ่อทอง จีนยึดหมดแล้วค่ะ...ตัวเราเองสิ้นปี ๒๕๖๙ เราคิดจะย้ายจังหวัดแล้วค่ะ อยู่ไม่ไหวจริง ๆ เราไม่ใช่คนพื้นที่ แค่มาทำงานก็รับสภาพไม่ได้แล้วค่ะ”
ผู้เขียนบอกว่าสถานการณ์ที่ปราจีนสาหัสมาก “คิดว่าหนักกว่าระยองค่ะ...ไม่ใช่ปัญหาแค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ลึกถึงโครงสร้างอำนาจและการเมืองท้องถิ่น” คงทราบกันถึงเรื่องผู้ว่าราชการจังหวัดต้องยอมยกเลิกแต่งตั้งคนจีนเป็นที่ปรึกษา หลังจากโดนด่าขรม
“พฤติกรรมของชาวจีนที่เข้ามาก็สร้างความอึดอัดในชีวิตประจำวัน ตลาด ๓๐๔ คนจีนกร่าง เดินสูบบุหรี่ไปทั่ว ขากเสลดตรงร้านค้าเลย ใครกินได้ก็กิน สูบบุหรี่พ่นใส่เด็ก” เมื่อปีที่แล้วมีข่าวคนจีนฟันแขนคนไทยเกือบขาด “เพราะไปช่วยผู้หญิงที่โดนฉุดในร้านเหล้า”
หากสถานการณ์เช่นนี้ยังไม่ได้รับการเหลียวแล แยแส ปัญหาที่ผู้เล่าความเอ่ยถึง “อธิปไตยที่กำลังสั่นคลอน” อาจเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า รวมไปถึงพื้นที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระยองหรือชลบุรี คงจะได้ประสพเหตุการณ์ที่ ‘ทนไม่ได้’ แบบเดียวกันแน่ๆ
(https://www.facebook.com/permalink.story=61562103846756 และ https://www.facebook.com/watch?v=995944466062211)