วันพุธ, มกราคม 01, 2568
อนุทิน ตั้งเป้า เลือกตั้งครั้งหน้า ภูมิใจไทย กวาด 251 สส. โว ยิ่งถูกขวางยิ่งโต
31 ธ.ค. 2567
ข่าวสดออนไลน์
“อนุทิน“ ชี้ ภูมิใจไทยเป็นพรรคปฏิบัติการ พูดแล้วทำ ตั้งเป้า เลือกตั้งครั้งหน้า กวาด 251 สส. โว ยิ่งถูกขวาง พรรคยิ่งโต แจงไม่ลุยสนามท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงจุดแข็งและเป้าหมายของพรรคภูมิใจไทยว่า เราเอาผลงานเข้าแลกผ่านสโลแกน “พูดแล้วทำ” สิ่งที่ไม่ได้พูดก็ทำ เราไม่ได้ดีแต่พูด
ซึ่งเป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า อย่างน้อยนี่เป็นเครดิตและความเชื่อถือที่ประชาชนจับต้องได้ และให้คะแนนเราในเรื่องของการปฏิบัติ แม้พูดไม่ค่อยเก่ง พูดไม่ค่อยเพราะ เอาใจคนไม่ค่อยเป็น แต่เวลาทำงานเราทำอย่างเต็มที่ มีผลงานเป็นรูปธรรมจับต้องได้
เมื่อถามว่าอุดมการณ์ของพรรคภูมิใจไทยต้องการให้เป็นรูปแบบพรรคแนวประชาธิปไตยหรืออนุรักษ์นิยม นายอนุทิน กล่าวว่า เราเป็นพรรคปฏิบัติการ ทำตามหน้าที่ วันนี้เราเป็นรัฐบาลก็ทำหน้าที่เป็นรัฐบาล หากวันไหนเป็นฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออยู่กับประชาชนตลอด ในพื้นที่เป็นความรับผิดชอบของ สส.ภูมิใจไทย ไม่ว่าจะสอบได้หรือสอบตกก็อยู่กับประชาชน ไม่ใช่ว่าอยู่กับประชาชนแค่ตอนเป็น สส. ในทางกลับกันหากไม่ได้รับเลือกเป็น สส. ก็ยิ่งต้องทำงานหนักขึ้น 2-3 เท่า ซึ่งจากสถิติผู้แทนของพรรคภูมิใจไทย เมื่อพลาดการเลือกตั้งครั้งเก่า การเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะกลับมาทำงานให้ทุกคนเต็มที่แบบ 100%
เมื่อถามว่าเป้าหมายของพรรคภูมิใจไทยจะยังคงเป็นภาคอีสานและภาคใต้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่แล้ว ตอนนี้เมื่อดูสัดส่วนในภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง และภาคใต้ รวมถึงภาคอีสาน ไม่ทิ้งห่างกันเท่าไร เราไม่ใช่พรรคท้องถิ่นแล้ว แต่เป็นพรรคที่สามารถมีผู้แทนจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งการทำงานก็ง่าย
เมื่อถามว่าในพื้นที่ภาคใต้ พรรคการเมืองเจ้าของพื้นที่เดิมดูจะอ่อนแอลง พรรคภูมิใจไทยจะขยายพื้นที่ด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราก็เป็นตัวของเราเอง ไม่ใช่ว่าคนอื่นอ่อนแอแล้วเราจะไปโฟกัสตรงนั้น เพราะเราทำงานแบบยั่งยืนและมั่นคงมาโดยตลอด นี่คือวิธีการทำงานของตนและพรรค ภูมิใจไทย ส่วนในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ยอมรับว่าไม่ใช่พื้นที่แข็งแรงของพรรคภูมิใจไทย แต่ก็ไม่เป็นไร
เมื่อถามถึงเป้าหมายตัวเลข สส.ของพรรคภูมิใจไทยในสมัยหน้า นายอนุทิน กล่าวว่า ก็คงอยากจะได้ สส. 251 เสียงอยู่แล้ว แต่จะทำได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลาที่ลงสมัครแล้ว พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครเป็นพิธี แต่จะได้รับเลือกหรือไม่ขึ้นอยู่กับแต่ละคนและพื้นที่ด้วย
เท่าที่ตนทำพรรคภูมิใจไทยมา 2 ครั้งในการเลือกตั้ง เห็นว่าพรรคเติบโตในระดับเกือบเท่าตัวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นระบบการเลือกตั้งใบเดียวหรือสองใบ หากมองด้วยจิตใจที่เป็นธรรมแล้ว การเลือกตั้งในปี 2566 พรรคภูมิใจไทยโตขึ้นมากและโตทุกเขต ไม่ใช่โตด้วยคะแนนถัวเฉลี่ยแบบปาร์ตี้ลิสต์เหมือนการเลือกตั้งในปี 2562
ซึ่งน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีของพรรคภูมิใจไทยที่แต่ละเขตเรามีความแข็งแรง จาก 39 ที่นั่งในปี 2562 มาเป็น 68 ที่นั่งในปี 2566 จึงมองว่าหากเติบโตในระดับเท่านี้ได้ การเลือกตั้งในปี 2570 เราก็น่าจะเติบโตกว่านี้ ซึ่งเราต้องคิดเป็นบวกไว้ก่อน
เมื่อถามว่าในอนาคตคาดหวังว่าจะเป็นพรรคแกนนำหลักในการเป็นนายกฯ บ้างหรือไม่ หรือจะเป็นพรรคตัวแปร นายอนุทิน กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เมื่อถึงการเลือกตั้งทุกพรรคก็ต้องเสนอผู้ที่เหมาะสมมาเป็นนายกฯ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยก็เสนอหัวหน้าพรรคมาโดยตลอด
และในส่วนของความเป็นพรรคการเมือง เมื่อถึงการเลือกตั้งเมื่อใดก็ต้องนึกเสมอว่า หากได้เป็นนายกฯ ประเทศไทยจะได้อะไรจากพรรคภูมิใจไทย แต่ระหว่างกลางแบบนี้ไม่ต้องมีใครมากังวล เพราะมันจบเป็นครั้ง ถึงเวลาเลือกตั้งเราก็มาสู้กัน ต่างคนก็ต่างทำแคมเปญ
เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้มีกระบวนการอื่นๆ พยายามมาขัดขวาง นายอนุทิน กล่าวว่า ยิ่งขวางก็จะยิ่งโต และเดี๋ยวนี้การสื่อสาร การกระจายข่าวหรือฝ่ายที่จ้องจะทำลายไม่ได้ทำได้อยู่ฝ่ายเดียว เดี๋ยวนี้ทุกคนเป็นเจ้าของสถานีทีวีกันหมด สามารถชี้แจงได้เอง ทุกคนรู้เท่าทันกันหมด
หากเรามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้เป็นไปตามนั้นจริง ก็ไม่ต้องกลัวอะไร เพราะมันพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐาน แต่ถ้าใครทำผิดก็เตรียมตัวตาย หากทำอะไรที่ไม่ถูกต้องแล้วคนออกมาตีแผ่ให้เห็นชัดเจน ทำอย่างไรก็ไม่รอด
ฉะนั้น พรรคภูมิใจไทยยึดอยู่อย่างเดียวว่า หากใครไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัว แต่ใครทำผิดก็ตัวใครตัวมัน ไม่ต้องมาขอให้ช่วย แม้แต่คนในพรรคเองทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
เมื่อถามว่ามีโอกาสเห็นพรรคภูมิใจไทยลุยสนามเลือกตั้งท้องถิ่นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เราไม่ได้ลุยในนามพรรค แต่เรามีเครือข่ายอยู่แล้ว เพราะอย่างที่ตนเคยอธิบายว่า บางท่านก็เป็นญาติกัน น้องช่วยพี่ ญาติช่วยญาติ
แต่หากมายึดโยงกับพรรคภูมิใจไทย และคนที่มาช่วยอยู่อีกพรรคการเมืองหนึ่ง ถึงแม้อยากจะช่วยเขาก็ช่วยไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะทำให้พรรคคู่แข่งนั้นโตขึ้นมา สุดท้ายมันไม่ได้เป็นประโยชน์กับใคร และไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนในท้องถิ่นนั้น
พรรคภูมิใจไทยคำนึงถึงประชาชนเป็นหลักอยู่แล้ว เราถอนตัวออกมาในการส่งในนามพรรค ซึ่งหากเครือข่ายของพรรคภูมิใจไทยท่านใดจะลงสมัครในท้องถิ่น เราก็มีความยินดีที่จะช่วยสนับสนุนให้กำลังใจให้เขาได้รับชัยชนะ
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่า วันนี้ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ในการรับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยในการเลือกตั้ง ในฐานะรมว.มหาดไทย ที่ออกหนังสือเวียนให้ข้าราชการมหาดไทยทั่วประเทศวางตัวเป็นกลาง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ในเมื่อเป็นรมว.มหาดไทย จะไปเชียร์ใครออกนอกหน้าก็ไม่เหมาะสม กฎหมายไม่ได้ห้าม แต่มันไม่เหมาะสม
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9571208