วันพุธ, กันยายน 04, 2567

ทหารผลิตยาใช้เอง ซ้ำซ้อนกับสาธารณสุขหรือไม่ ซ้ำร้ายยาตัวหนึ่ง “ใช้เป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดได้”

เรื่องยาสองชนิดที่ทหารผลิต ซึ่ง ส.ส.พรรคประชาชนนางหนึ่งเอาไปอภิปรายปัญหางบประมาณ โดยอ้างข้อมูลว่าหนึ่งในสองชนิดนั้น ใช้เป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดได้ ทำให้คิดกันไปต่างๆ นานา เพราะเคยมีการจับยาไอ๊ซ์ ยาบ้าแล้วทหารมีเอี่ยว

แต่ว่ายาทั้งสองชนิด Pseudoephedrine และ Alprazolam เป็นยาที่มีประสิทธิภาพ ชนิดแรกแก้อาการคัดจมูก น้ำมูกไหลได้ชงัด อีกชนิดเป็นยานอนหลับ (อย. เรียกว่ายาเสียตัว) ล้วนอยู่ในความควบคุมเข้ม หมอเท่านั้นที่สั่งจ่ายได้

หลังการอภิปรายของกัลยพัชร รจิตโรจน์ มีเสียงท้วงติงว่าข้อมูลของเธอเกี่ยวกับยาสองตัวนี้ไม่สมบูรณ์ เจ้าตัวมาแก้ภายหลังว่า การอภิปรายของเธอมุ่งหมายให้ “พิจารณาถ่ายโอนธุรกิจหรือกิจการของกองทัพซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจความมั่นคง ให้ไปอยู่กับหน่วยงานด้านสาธารณสุข”

เธอมีทางออกเสนอแนะ “สำหรับยาที่ผลิตน้อย บริษัทเอกชนผลิตไม่คุ้มค่า แต่ยังจำเป็นต้องใช้ในการทหาร ก็สามารถใช้จ้างผลิตได้ กองทัพไม่จำเป็นต้องตั้งโรงงานผลิตเอง ซึ่งจะเป็นภาระงบประมาณของประเทศโดยไม่บังควร”

และตั้งคำถามว่า “การที่กองทัพมีโรงงานผลิตยาเป็นของตนเองนั้นคือภารกิจที่ซ้ำซ้อนหรือไม่ เหมาะสมมากน้อยเพียงใด...โดยเฉพาะงบประมาณภายใต้กระทรวงกลาโหมในสัดส่วนนี้ ซึ่งอาจซ้ำซ้อนกับงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข”

ทว่าการวิพากษ์โจมตีต่อเธอ โดยเฉพาะจากนายแบกพรรคเพื่อไทย กลับไปเน้นว่าเป็น “ความอ่อนด้อยของพรรคนี้...ไม่มีความรู้เรื่องกระบวนการทำงานของหน่วยงานรัฐ” น่าจะเพราะพรรคนี้ข้ามขั้วกันเสียจนเคยชิน คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ทหารไปแย่งงานกระทรวงอื่นทำ

น.ส.กัลยพัชรนั้นจัดว่าเป็นที่ได้ร่ำเรียนมาทางแพทย์ ปริญญาตรีแพทย์ศาตร์ จุฬาฯ ปริญญาโททางโรคผิวหนัง (Dermatology) จากอังกฤษ เคยประจำที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า นนทบุรี ในฐานะแพทย์ใช้ทุน แล้วไปเปิดคลีนิคโรคผิวหนังของตนเอง

เธอยอมรับความผิดพลาดในการอภิปรายว่ามีอยู่เรื่องเดียว ที่บอกว่ายาซูโดอีเฟรดีนนั้นทั่วโลกเขาเลิกผลิตกันแล้ว นอกนั้นประเด็นต่างๆ ที่เธอพูดถึงอยู่ในกรอบของญัตติว่า ไม่เหมาะที่ทหารเอางานของหน่วยอื่นมาทำมากล้นจนเกินไป

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ การผลิตยาโดยกองทัพ “หน่วยงานของพลเรือนแทบไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ดิฉันขอเอกสารจากกองทัพแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับอะไรกลับมา” ความสุ่มเสี่ยงสูงถ้าเกิดมีการแปลงสารเคมีตั้งต้นไปเป็นยาเสพติด

คุณหมอนิวชี้ด้วยว่า ไทยมีข้อตกลง ความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน หรือ PCA อยู่กับประชาคมยุโรป โดยมาตรา ๒๙ ระบุถึงความร่วมมือในนโยบายด้านยาเสพติดไว้ด้วย แม้ในประเทศจะไม่มีความละอายกัน แต่ระดับนานาชาติมีข้อผูกมัดอยู่นะ

(https://x.com/owner_duck/status/1831154828917309463)