วันศุกร์, พฤศจิกายน 12, 2564

จากแผนยุบพรรคก้าวไกล ย้อนไปสู่ค่านิยม ‘ปิดโทรทัศน์’ ตอนสองทุ่ม และไม่ยืนในโรงหนัง

แผนยุบพรรคก้าวไกล เพื่อตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามของกลุ่มการเมืองสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ปรากฏแจ่มแจ้งในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เป็นการล้มล้างการปกครอง ไม่เพียง ณฐพร โตประยูร ชงให้ กกต.เอาไปโยง

หากทว่า ไพบูลย์ นิติตะวัน ก็กดดัน กกต.ให้เปิดการตรวจสอบพรรคการเมืองและนักการเมือง ที่สนับสนุนการเรียกร้องของคณะราษฎร ๖๓ ว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายล้มล้างการปกครองด้วย เขาว่า “เป็นหน้าที่ของกกต.​ต้องพิจารณา”

ซึ่ง กกต.ก็แสดงท่าคล้อยตาม ทั้งที่ในเรื่องความไม่ชอบมาพากลของตนเอง ไม่สามารถแสดงให้ใสสะอาดต่อสายตาสาธารณะได้ ดังกรณีถูกปูดด้วยภาพฟ้องว่า ในห้องทำงาน กกต.มีตู้เก็บไวน์อย่างดีตั้งไว้ใช้ ข้อแก้ตัวอย่างสวะๆ บอกว่าไว้แช่น้ำผลไม้

เมื่อไม่นานมานี้ กกต.ได้เรียก ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ๑๓ คนไปให้ปากคำ แต่ทางพรรคได้ขอเลื่อนเวลาไปจนกว่าจะปิดประชุมสภาสมัยนี้ โดยที่ ๙ ประเด็นในคำร้องให้สอบเป็นเรื่องการไปเป็นนายประกัน หรือสนับสนุนการแก้ไข ม.๑๑๒

แน่ละ ทั้งณฐพรและไพบูลย์ต่างโยงยึดกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นฐานเสียงในสภาของกลุ่มสืบทอดอำนาจทหาร จึงควรแล้วที่เลขาธิการพรรคก้าวไกลรีบออกแถลง “การกระทำของเราไม่เข้าเหตุยุบพรรค...ข้อกล่าวหาเหล่านั้นเป็นการกล่าวหาเท็จ

...และมีเจตนาที่จะทำลายล้างพวกเราในทางการเมือง” ชัยธวัช ตุลาธน กล่าวในการแถลงท่าทีต่อคำวินิจฉัยศาลฯ ตอนหนึ่ง “ไม่ว่าจะมีแรงเสียดทานอย่างไรก็ตาม...เราก็จะต่อสู้เรื่องนี้อย่างถึงที่สุด...เพื่อพิพักษ์ระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของประชาชน”

และว่า “ในตลอดชีวิตของผมนะครับ ผมเคยเห็นการล้มล้างการปกครองแบบเดียวคือการรัฐประหาร ซึ่งปัจจุบันหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรี” มันสะท้อนความไม่ซื่อตรงต่อพันธะหน้าที่แห่งตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะเจาะจงที่ ความเที่ยงธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลขัดแย้งต่อสภาพการณ์ตามความเป็นจริงแห่งยุคสมัยอย่างสิ้นเชิง หนึ่งวันหลังคำวินิจฉัย ปรากฏมีการประท้วงอย่างแยบยลโดยเยาวชนสี่คน ที่ห้างสรรพสินค้าสยามพารากอน

มีการแปะกระดาษข้อความหน้าประตูร้าน ‘SIRIVANNAVARI’ ข้อความหนึ่งว่า “#ปฏิรูปไม่เท่ากับล้มล้าง” อีกแผ่นเขียน “ยกเลิก112” ตำรวจเข้าล้อมจับขณะทั้งสี่อยู่ในรถแท็กซี่ นำตัวไป สน.ปทุมวันแล้วปรับ ๒ พันบาทข้อหา “สร้างความเดือดร้อนรำคาญ”

ปรากฏการณ์เช่นนั้นแม้จะเล็กน้อย ก็เป็นการปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นรูปธรรมจะแจ้ง ว่าคนรุ่นนี้ไม่ยอมรับการยัดเยียดความศักดิ์สิทธิ์แห่งสถาบันอีกแล้ว ข่าวที่ตีพิมพ์บนนิตยสารบิลด์เมื่อวานนี้ เกี่ยวกับคณะกษัตริย์ไทยในเยอรมนี เป็นอีกตัวอย่าง

ผู้สื่อข่าวนิตยสารดังกล่าวที่เข้าไปถ่ายภาพ ร.๑๐ และราชินีขณะเสด็จพระราชดำเนินไปยังสระน้ำของโรงแรม อันเป็นพื้นที่สาธารณะ ถูกมหาดเล็กรักษาพระองค์เข้าไปคุกคาม บังคับให้ลบภาพที่ถ่ายไปนั้น นักข่าวบิลด์ต้องเรียกตำรวจไปคุ้มครองความปลอดภัย

ข่าวอย่างนั้นไม่เป็นมงคลต่อการแปรพระราชฐานขนาดมโหฬาร ข้าราชบริพารนับร้อย และสุนัขพูเดิ้ลอีก ๓๐ ตัว แสดงว่าในพื้นที่ซึ่งไม่สามารถบังคับได้ด้วยอำนาจตำรวจ ทหาร หรือศาลเช่นนั้น การพยายามถวายความเป็นส่วนพระองค์ก็เกิดครหาได้

แม้ในประเทศก็เถอะ การสร้างธรรมเนียมกึ่งบังคับให้ผู้เข้าชมภาพยนตร์ ต้องยืนนิ่งแสดงความเคารพต่อเพลงสรรเสริญพระบารมี ก่อนหนังฉาย ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ศักดิ์สิทธิ์จนนายกรัฐมนตรีไปพูดในโอกาสเปิดหลักสูตร วปอ.รุ่น ๖๔

“ฝากดูในเรื่องของการยืนในห้องชมภาพยนตร์ด้วย มีคนอยากยืนแต่ไม่กล้ายืน เพราะกลัวโดนบูลลี่ เราต้องกล้าหาญที่จะยืน” กลายเป็นเรื่องย้อนเกล็ดไปเสียฉิบ “เมื่อก่อนคนที่ไม่อยากยืนเคารพเพลงสรรเสริญฯ ต้องกล้าและเสี่ยง”

Pravit Rojanaphruk@PravitR รำลึกเมื่อ ๙ ปีที่แล้ว Chotisak Onsoong ไม่ยอมยืนในโรงหนัง จนถูก “ล่าแม่มด ต้องลี้ภัยไปอินโดแรมปี มาวันนี้ประยุทธ์ต้องมาบอก นร.วปอ ให้กล้าๆยืนหน่อย!” อย่างไรก็ดีทุกวันนี้ โชติศักดิ์ อ่อนสูง ขายเสื้อ “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากรรม” สำราญไป

เช่นกันกับที่มีคนชี้ให้เห็นถึงโครงการฝึกอบรมของสถาบันอิศรา “หลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง” เกี่ยวกับกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ รุ่น ๑ กลุ่ม ๓ ที่ว่า “ทำอย่างไรจึงจะทำให้ คนรุ่นใหม่ดูข่าวในพระราชสำนัก”

เหตุจากค่านิยม ปิดโทรทัศน์ ตอนสองทุ่ม แสดงถึงความ ตาสว่างจากภาพคณะยึดอำนาจเข้าเฝ้า ร.๙ และราชินียามดึกเวลาตีหนึ่ง เมื่อเกิดการรัฐประหาร ๒๕๔๙ เป็นต้นมา

(https://www.matichon.co.th/politics/news_3035787, https://waymagazine.org/move-forward-party-against-junta.../ และ https://www.bbc.com/thai/thailand-59243848TKA)