ประยุทธ์พูดทีไรมีแต่ขี้เลื่อย รายการศาสตร์พระราชาฯ งวดนี้
(วันที่ ๒ พ.ย.) จวกเรื่องวาทกรรมสี่อย่าง วนอยู่กับที่ชาวบ้านบ่นๆ กันนั่นละ
เพราะทำมาหากินไม่คล่องแล้วยังมองไม่เห็นความสุกใสในวันข้างหน้า
แทนที่จะมีทางออกหรือเสนอแผนงานอันจะทำให้คนรู้สึกใจชื้นและมีความหวัง
กลับด่ากราด ต้อง “ตั้งคำถามกับตัวเองด้วย” เงินไม่พอใช้ก็ “ต้องพิจารณาแล้วว่าจะทำอย่างไร...ถ้าไม่พยายามที่จะเข้มแข็ง
ไม่พยายามพัฒนาตนเอง ไม่คิดจะพึ่งพาตนเองให้ได้ ในระยะแรกจะลำบาก”
อีกทั้ง “จะต้องใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙”
เอ๊ะนี่กลายเป็นว่าประยุทธ์เองนั่นแหละที่ ‘วาทกรรมซ้ำซาก’ ไม่มีรัฐบาลไหนในโลกนะที่บอกประชาชน
‘อย่า’ อยากได้อะไรที่ไม่มี
จุดมุ่งหมายของการเป็นรัฐบาลคือทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข
ไม่ใช่ยากเร้นอย่างไรต้องทนอยู่อย่างนั้น ด้วยความ ‘พอเพียง’ อดตายเพื่อปรัชญาของชาติอย่างนั้นหรือ
อีกเรื่อง “การเอื้อประโยชน์ ดูแลแต่เศรษฐกิจรายใหญ่”
รวยกระจุกจนกระจาย ประยุทธ์อ้างกฎหมาย (ที่อันไหน คสช. ไม่เขียนเองขึ้นใหม่
ก็แก้ไขให้เกาะหาง ‘คำสั่ง คสช.’ แบบนี้ไม่ใช่การค้าเสรีจริงๆ
ดังที่อวด
ตนเองไม่มีปัญญาหาเงินมาหนุนคลังสำหรับจับจ่าย
ตลอดจะห้าปีมีแต่ใช้เงินมากมาย ถึงคราวขาดแคลนก็หันไป ‘ถอนขนห่าน’
แล้วยังจะมีหน้าบอก “ภาษีก็เพียงเล็กน้อย ไม่ได้มากมายอะไร”
มาถึงเรื่องปฏิรูป “มีคนพูดว่า
รัฐบาลนี้ไม่ได้ปฏิรูปอะไรเพื่อใครเลย” ได้ฟังประยุทธ์ตอบอย่างไรแล้วหนาว “ทุกคนน่าจะพอทราบอยู่แล้วบ้าง
ต้องไปดูว่าใครได้อะไร ใครยังไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้จะต้องแก้ไขอะไร
ปรับปรุงตัวเองอย่างไร”
ไฉนมันไปลงที่ประชาชน หรือคนอื่นร่ำไป ตลอดห้าปีนี่อะไรที่มันไม่ดีทั้งหลายโทษรัฐบาลก่อนทิ้งไว้ให้ทั้งนั้น
อะไรที่หาไม่ได้ดันโทษประชาชนไม่ขวนขวายเสียอีก ลงท้าย “ขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลบ้าง
เพราะต้องดูแลคนทั้งประเทศและทุกมิติ ทุกปัญหา”
อ้าว ก็หน้าที่รัฐบาลคือการดูแลผู้คนทั้งประเทศ “ทุกมิติ
ทุกปัญหา” โดยเท่าเทียมกันด้วยนะ นักการเมืองที่ขันอาสา
เสนอตัวเข้ามาชิงคะแนนความไว้วางใจจากประชาชนให้อาณัติไปบริหารประเทศชาตินั่น เพื่อหลักการอย่างนั้นอยู่แล้ว
อย่างนั้นแล้วจะมีรัฐบาลไว้ทำห่านอันไร มีแต่เผด็จการทหาร
เช่น คสช. นี่เท่านั้นเอง ที่ละเมิดหลักการบริหารปกครอง แล้วยังทำเป็นสั่งสอนประชาชนให้พอเพียง
ให้ปรับปรุงตน ให้สยบยอมอย่างราบคาบเพราะทหารมีอาวุธไว้ขู่บังคับได้กระนั้นหรือ
คำของ ‘จ๋า’ นฤมล
วรุณรุ่งโรจน์ ‘ผู้หญิงยิง ฮ.’ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าใช้ปืนยิงเครื่องบินเฮลิค้อปเตอร์ของทหารที่บินวนโปรยใบปลิวและทิ้งระเบิดน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม
ในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่เมื่อเมษา ๕๓ เธอถูกจับกุมและคุมขังเป็นเวลา ๑ ปี ๔ เดือน
จึงได้รับประกันตัวและต่อมาศาลยกฟ้อง เธอเพิ่งสิ้นชีวิตอย่างอนาถาเมื่อ ๑ พ.ย. นี้
ที่ว่า “ติดคุก (ฟรี) แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลย
เหลือแต่รอยแค้น รอวันที่ประชาชนเอาคืน เพราะคุณรังแกประชาชนไม่มีทางสู้
ประชาชนลืมไม่ลงหรอก รสชาตินี้”
นั้นสะท้อนความค่นแค้นต่ออาการหยามเหยียดศักดิ์ศรี
กดขี่ข่มเหง ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แสดงออกมาในการปาฐกถาออกอากาศรายการศาสตร์พระราชาดังกล่าวอย่างเข้าไคล้เหมาะเจาะทีเดียว
คำอาลัยของ ‘แหวน’ ณัฏฐธิดา
มีวังปลา อีกหนึ่งหญิงโดนคดีติดคุก
หลังจากที่เป็นพยานปากเอกผู้อยู่ในเหตุการณ์สไน้เปอร์ทหารยิงใส่กลุ่มอาสาสมัครพยาบาลและประชาชนที่อยู่ภายในบริเวณวัดปทุมวนาราม
‘เขตอภัยทาน’ เสียชีวิต ๖ ศพ ตอนพฤษภา
๕๓ ว่า
“หลับให้สบายนะ แหวนรักพี่จ๋า...สัญญาหนูจะเอาคืน” เป็นเครื่องยืนยันชัดแจ้งว่าการครองอำนาจของ
คสช.ตลอดเกือบห้าปี และกำลังจะครองต่ออีกอย่างน้อยๆ ๕ ปี ไม่ใช่ ‘เพื่อประเทศชาติ’
แต่อย่างใด ในเมื่อข้ออ้างที่พร่ำไว้ช่วงสองสามปีแรกว่า “เข้ามาเพื่อสร้างความปรองดอง”
นั้นมุสาโดยสิ้นเชิง