วันอาทิตย์, ตุลาคม 31, 2564

เปิดประเทศพรุ่งนี้ยิ่งกว่าอึมครึม ทั้งโควิดและเศรษฐกิจยังจมปลัก เนื่องจาก “ทหารเฒ่าเล่นการเมืองยิ่งเน่าไปกันใหญ่”

“นักการเมืองว่าเน่า ทหารเฒ่าเล่นการเมืองยิ่งเน่าไปกันใหญ่” ประโยคนี้ที่คนระอาเผด็จการอิงราชา ประมุขประชาธิปไตย พูดและตรึกคิดกันมาพักใหญ่ (สัก ๗ ปีเห็นจะได้) ไทยรัฐเอามาใช้ในบริบทที่ “ประยุทธ์หาทางไปต่อลำบาก”

แม้ขณะนี้กำลัง ขาลอย ไปกล๊าสโกว์ ก็เชื่อว่าจะไม่มีเหตุปัจจุบันทันด่วนอะไรเกิดขึ้นให้หลัง มีแต่เหตุกัดกร่อนบ่อนทำลายแผน อยู่ยาวมากยิ่งๆ ขึ้นทุกวี่วันเท่านั้น เพียงว่าจะอยู่รอดดูความล่มสลายถึงกลางปีหน้า ก่อนเลือกตั้งใหม่ที่คาดว่าจะมาไหม

ที่แน่ๆ สภาพการณ์เศรษฐกิจและสังคม โค้งสุดท้ายปลายปี ๒๕๖๔ ข้าวยากหมากแพงไม่มีทางหนี จีดีพี หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศอย่างดีเพียง ๑.๕% อย่างชั่วช้าต่ำกว่า ๑% ประธานหอการค้าไทย สนั่น อังอุบลกุล ยืนยันเรื่องนี้

“รัฐบาลต้องเร่งนำงบประมาณที่มีอยู่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อต่อลมหายใจให้กับภาคธุรกิจ และภาคประชาชนได้ทันเวลา” เขาอ้างถึงการที่รัฐบาลเขียนกฎหมายใหม่ยกเพดานการกู้หนี้ขึ้นไปเป็น ๗๐% แล้วยังมีงบประมาณเหลือใช้อีก ๕ แสนล้าน

เขายังพูดอย่างไม่ถนอมน้ำใจใครว่า “ในส่วนของภาคประชาชน หรือผู้บริโภคเองก็ต้องเตรียมใจกับราคาสินค้าที่จะแพงขึ้นจากปัญหาเหล่านี้” ได้เห็น ของแพง ตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง ทั้ง “สินค้าอุปโภค บริโภค หรือวัสดุก่อสร้าง”

แม้การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจ่ายเงินช่วยกอบกู้เศรษฐกิจไทย เริ่มพรุ่งนี้ก็ยังเป็นที่กังขาต่อบรรดานักธุรกิจพ่อค้าแม่ค้า ว่าจะช่วยให้พวกตนกลับมาลืมตาอ้าปากกันได้สักแค่ไหน การแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ก็ยังต้องเฝ้าระวัง

ในเมื่อการเร่งฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยๆ ๗๐% ของประชากรก่อนเปิดประเทศ ก็ทำไม่ได้ สรุปผลเมื่อ ๓๐ ตุลา “ไทยฉีดวัคซีนครบแล้วร้อยละ ๔๒.๗ ของประชากร และเข็มที่ ๓ อีกร้อยละ ๓.๓” รวมแล้วก็คือ ๔๖% เท่านั้น

ซ้ำ เริ่มวันที่ ๑ พฤศจิกา รถบรรทุกจำนวน ๗-๘ หมื่นคันจะจอด ไม่ออกบริการเป็นเวลา ๑ เดือน ประท้วงต่อการที่เรียกร้องรัฐบาลตรึงราคาดีเซลไว้ที่ ๒๕ บาทต่อลิตร แล้วรัฐบาลไม่รับฟัง ยังคงประกาศราคาควบคุมที่ ๓๐ บาทต่อไป

สหพันธ์การขนส่งทางบกฯ “ก็จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเอง และอาจจะต้องขึ้นราคาค่าขนส่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาต่อประชาชนทั้งประเทศ” ผู้ประกอบการต่างๆ “ก็จะต้องปรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นตามต้นทุนค่าขนส่ง” ขอให้คิดดู

ไหนจะปัญหาใกล้ตัวประยุทธ์ จากการสั่งปิดเหมืองทองอัคราของออสเตรเลีย เป็นคดีในศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งเลื่อนการออกคำสั่งชี้ขาดมา ๓ หนแล้ว จากกำหนดดั้งเดิม ๓๑ มกรา ๖๔ ไปเป็นต้นเมษา ๖๔ มาถึง ๓๑ ตุลา ๖๔

คราวนี้เลื่อนอีกครั้งไปเป็น ๓๑ มกรา ๖๕ ซึ่ง ส.ส.จิราพร สินธุไพร (น้ำ) @j_sindhuprai ตั้งข้อสังเกตุ “รบ.ไทยปิดลับสุดยอด รบ.กำลังมีการเจรจาแลกเปลี่ยนอะไรที่ไม่อยากให้ประชาชนรับทราบหรือเปล่า” เรื่องนี้มีเสียงแซร่ซร้องออกมาแล้ว

ถ้าประเทศไทยโดนปรับ (หลายหมื่นล้านบาท) ตู่ ต้องรับผิดชอบ เพราะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จสั่งเอง ก็ต้องจ่ายเอง หากแต่รัฐบาลพยายามเลี่ยง แอบเจรจากับ คิงเกตแบบปิดลับ แต่มีข่าวเล็ดลอดว่า เสนอคืนสัมปทานและเพิ่มพื้นที่มากกว่าเดิม

วันนี้ ๓๑ ตุลา “สวนดุสิตโพล ชี้ประชาชนหนุนมีเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยคะแนนนำ ตามด้วยก้าวไกล ขณะนายกฯ ที่อย่ากได้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ ๒๘.๖๗ รองลงมาคือ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ ๒๑.๒๗”

โดย ชมพูนุท วิริยะสุนทร อาจารย์แผนกกฎหมายและการเมือง ม.สวนดุสิต ตีความโพลว่า “เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงการยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่...ถึงแม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะออกมายืนยันว่าไม่มีทางยุบสภา

แต่การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ โดยตัวเร่งที่เป็นปัจจัยให้นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจยุบสภา คือเหตุภายในสภา เรื่องความแตกแยกภายในพรรคพลังประชารัฐที่ยากเกินจะเยียวยา” มันจึงวกไปถึงเรื่องที่ว่า

“กองกำลังชนกลุ่มน้อยยึดค่ายพลังประชารัฐให้ บิ๊กตู่ ไม่ได้ ก็คงจะอยู่ร่วมชายคากันยาก ประยุทธ์ หาทางไปต่อลำบาก ประวิตร ก็คงเหลือแค่ซากของค่ายที่แตกยับเยิน”

(https://www.thairath.co.th/news/politic/2231720, https://www.facebook.com/suandusitpoll/posts/4951328231562347 และ https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_481513)