
IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง
Yesterday
·
“ไทดำรำพัน” เรื่องราวของรากเหง้าที่ไม่อยากให้เลือนหาย…
.
ชาติพันธุ์ไทดำ หรือที่รู้จักกันว่า ไทยทรงดำ/ลาวโซ่ง มีถิ่นกำเนิดจากเวียดนามเหนือ อพยพข้ามแดนเพราะสงครามและการปราบปราม ก่อนกระจายตัว ตั้งชุมชนอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย
.
แม้จะพลัดถิ่นมาอย่างยาวนาน แต่สิ่งที่ยังคงอยู่เสมอ...คือ วัฒนธรรมอันล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นชุดไทดำ ที่มีดีเทลไม่เหมือนใคร จากเสื้อผ้าย้อมครามด้วยมือ กระดุมเงินดอกผักบุ้งไปจนถึงเสื้อที่ตัดเย็บอย่างประณีต บ้านเรือนไม้ไผ่ ที่เรียบง่ายแต่สะท้อนวิถีชีวิตดั้งเดิม บทเพลงไทดำรำพัน ถ่ายทอดความเจ็บปวดของการจากบ้านเกิดที่หลายคนคุ้นหูเป็นอยา่งดี ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษและแถน ที่คอยปกป้องลูกหลาน แม้ในสมัยปัจจุบันก็ยังมีการสอนภาษาไทดำในโรงเรียน เพื่อไม่ให้ภาษาและอัตลักษณ์ของเราเลือนหายไป
.
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป...แต่หัวใจของชาวไทดำยังคงผูกพันกับ “ถิ่นเดิม” อย่างลึกซึ้ง
“หงำมาน้ำตาไตไหล ยามเมือจากไกลสูเจ้าเปิ่นลา…”
นี่คือเสียงของไทดำที่ยังอยากบอกโลกว่า
เรายังไม่ลืม และจะไม่มีวันลืมว่าเราเป็นใคร
IMN ชวนอ่านบทความฉบับเต็ม :https://imnvoices.com/?p=5787
.
ขวัญเมือง เรียนผง: เขียน
ณฐาภพ สังเกตุ: เรียบเรียง
.
#ไทดำรำพัน #วัฒนธรรมไทดำ #ชาติพันธุ์ไท #ไม่ลืมรากเหง้า #สืบสานวัฒนธรรม
.....

Pod Nathaphob
5 hours ago
·
สรุปเหตุการณ์ชาวไทดำบ้านนาเดิม จาก จ.สุราษธานี เดินทางมาชุมนุมเรียกร้อง เรื่องปัญหาที่ดินที่ถูกนายอำเภอปักป้ายไล่ที่ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
.
เท้าความตามคำบอกเล่าของชาวไทดำ ปู่ ย่า ตา ยาย ของพวกเขาอพยพมาจากภาคกลาง ไปซื้อที่ดินต่อจากคนท้องถิ่นที่ จ.สุราษฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496
.
แน่นอนว่าในยุคนั้นยังไม่มีระบบสัญญาซื้อ ขาย หรือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดิน ที่ชัดเจนเหมือนทุกวันนี้ แต่มีทะเบียนบ้านในปี 2502 และได้มีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ในปี 2509 ทำให้ชาวไทดำก็อยู่อาศัยในพื้นที่ ทำไรทำสวนกันตามปกติ จนกระทั่งปี 2529 มีการออก นสล (หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง คือหนังสือสําคัญที่ทางราชการออกเพื่อแสดงแนวเขต ที่ตั้ง จํานวนเนื้อที่และการใช้ประโยชนในที่ดินของรัฐ)
.
ชาวไทดำตอนนั้นไม่รู้หรอกว่า นสล คืออะไร จนกระทั่งปี 2549 ระหว่างที่ชาวไทดำกำลังทำไร่ของตนเองอยู่ นายอำเภอก็เข้ามาบอกว่าพวกเขาบุกรุกที่หลวง กลายเป็นจุดเริ่มต้นปัญหามาจนถึงปัจจุบัน
.
ในปี 2561 ภาครัฐภายใต้ คสช. มีนโยบายต้องการทำโครงการแก้มลิงในพื้นที่ จึงเกิดความคิดที่จะนำที่ดินแปลงนี้ของชาวไทดำมาทำแก้มลิง มีการเริ่มดำเนินการรื้อถอนสวนปาล์มของชาวบ้านไปกว่า 200 ไร่
.
ทำให้ภายหลังชาวไทดำทั้ง 8 คน ที่พืชผลทางการเกษตรเสียหาย รวมตัวกันฟ้องศาลปกครอง
.
ระหว่างนั้นกระบวนการต่อสู้เรียกร้องสิทธิในที่ดินก็เริ่มขึ้นเช่นกัน มีการตั้งคณะทำงานตรวจสอบที่ดินโดยภาครัฐ เพื่อตรวจสอบว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดิน นสล จริงหรือไม่ อ้างอิงเอกสารจากชาวไทดำ ที่ระบุว่าคณะทำงานตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด จนถึงคณะอนุกรรมการมหาดไทย ต่างยอมรับผลการตรวจสอบ มีการระบุที่ดิน นสล ออกผิดตำแหน่งทับกับที่ดินของพวกเขา ทำให้ชาวไทดำก็ดีใจว่าตัวเองจะไม่ถูกกล่าวหาเรื่องการบุกรุกที่หลวงอีกต่อไป
.
อย่างไรก็ดีที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการเพิกถอนสถานะ นสล ในที่ดิน ประกอบกันถ้าจำกันได้ด้านบน ที่ชาวบ้านไปฟ้องศาลปกครองเรื่อง จนท.รัฐ มาทำลายสวนปาล์มของพวกเขา ผลคำตัดสินของศาลชั้นต้น ยกฟ้องเนื่องจากศาลมองว่า ที่ดินตรงนั้นยังมีสถานะเป็นที่ดิน นสล ของรัฐอยู่ ทำให้ชาวบ้านไม่มีกรรมสิทธิ์ในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในที่ดินที่ไม่ใช่ของตนเอง
.
เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่นำโดยนายอำเภอ เมื่อเห็นว่าศาลมีคำตัดสินแบบนี้ ประกอบกลัวว่า ปปช จะมาตรวจสอบการทำงานของตนเอง ว่าปล่อยให้ชาวบ้านบุกรุกที่หลวง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ไปแปะป้ายดังที่ปรากฎ ความคิดเห็นมองว่าคงแปะไปตามหน้าที่ เพื่อให้ตัวเองไม่เดือดร้อนจากมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
.
แต่คนที่เดือดร้อนคือชาวไทดำในพื้นที่ ที่วิตกกังวลว่าตนเองจะไม่มีที่อยู่อาศัย จนต้องรวมตัวกันขึ้นมาที่กทม. เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา
.
จนกระทั่งบทสรุปของการขึ้นมาครั้งนี้ ตัวแทนชาวไทดำได้เข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณะฯ ที่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ในวันที่ 23 เม.ย. สามคืนหลังจากนอนอยู่ข้างถนน
.
มติที่ประชุมก็เลยมีหนังสือไปถึง ผู้ว่าสุราษฯ ว่าขอให้หยุดการคุกคามชาวไทดำ โดยอ้างถึงอำนาจจากมติครม. 16 ต.ค. 2566 อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทำให้ประเด็นไม่จบคือ การที่รองผู้ว่าสุราษฯ ยืนยันว่า ที่ดินที่ชาวไทดำอยู่ คือที่ นสล และบอกว่าไม่มีการออกที่ผิดตำแหน่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวไทดำโกรธ เพราะที่ผ่านมารัฐเป็นคนตรวจสอบเอง และยืนยันเองว่ามันผิดตำแหน่ง แต่พอมาวันนี้กลับคำพูดของตัวเอง
.
ทำให้ภายใน 30 วันต่อจากนี้ จะต้องมีการให้ทั้งฝ่ายชาวบ้าน และ จนท.ฝ่ายปกครองในสุราษฯ เอาหลักฐานมายืนยันกันที่กระทรวงมหาดไทยว่าใครถูกใครผิด
.
ท่ามกลางคำถามจากผู้เข้าร่วมประชุมท่านหนึ่ง ที่ตั้งข้อสังเกตว่า การที่ จนท.รัฐไม่ยอมรับว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่พันกว่าไร่นั้น เป็นการออก นสล ผิดตำแหน่ง เพราะเนื้อที่ที่มันถูกตำแหน่งนั้น ถูกใครสักคนครอบครองไปแล้วหรือไม่? ใครสักคนที่อาจจะมีอำนาจในพื้นที่นั้นๆ ความเดือดร้อนจึงมาตกอยู่ที่ชาวไทดำ ที่ต้องมาพิสูจน์สิทธิในที่ดินของตนเอง ที่เกือบทุกคนที่มานั้นต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาเกิดและเติบโตบนผืนดินแห่งนั้นของพวกเขา
https://www.facebook.com/photo/?fbid=9571655889621894&set=a.144595802327997
https://imnvoices.com/?p=5787