วันเสาร์, เมษายน 26, 2568

25 เมษายน 2549 กำเนิด ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ทำลายระบบยุติธรรมของประเทศเพื่อ กำจัดทักษิณ ผ่านไปไม่ถึง 20 ปี ทักษิณกลับมาแล้ว แต่ระบบยุติธรรมยังคงพังหนักขึ้นเรื่อยๆ



The Momentum
22 hours ago
·
25 เมษายน 2549
กำเนิด ‘ตุลาการภิวัฒน์’
.
ย้อนกลับไปในปี 2548 การเมืองบนท้องถนนเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เพื่อขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เมื่อความขัดแย้งในสังคมกำลังบานปลาย สุดท้ายรัฐบาลต้องตัดสินใจยุบสภาฯ และจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 เพื่อหวังให้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นคลี่คลายลง แต่สิ่งที่หวังกลับไม่ประสบความสำเร็จ
.
เพราะพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย หรือพรรคมหาชน ต่างก็ตั้งใจไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง รวมทั้งมีการฟ้องร้องพรรคการเมืองฝั่งรัฐบาลว่ามีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหลายข้อ ประกอบกับการชุมนุมทางการเมืองบนท้องถนนที่เพิ่มมากขึ้น และสงครามสีเสื้อกำลังส่อเค้ารุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ‘เว้นวรรค’ แสดงความรับผิดชอบในประเด็นการเมือง โดยเฉพาะการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์
.
วันที่ 25 เมษายน 2549 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชฯ รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสต่อตุลาการศาลปกครองสูงสุดและผู้พิพากษาศาลยุติธรรม ในวาระถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง ณ วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
.
พระราชดำรัสที่พระราชทานให้กับศาลปกครองสูงสุดมีใจความสำคัญช่วงหนึ่งว่า
.
“ได้ยินเขาพูดเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และโดยเฉพาะเรื่องเลือกตั้งของผู้ที่ได้คะแนนได้แต้มไม่ถึง 20% แล้วก็เขาเลือกตั้งอยู่คนเดียว ซึ่งมีความสำคัญเพราะว่าไม่ถึง 20% แล้วก็เขาคนเดียว ในที่สุดการเลือกตั้งไม่ครบสมบูรณ์ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับท่านหรือเปล่า แต่ความจริงน่าจะเกี่ยวข้องเหมือนกัน เพราะว่าถ้าไม่มีจำนวนผู้ที่ได้รับเลือกตั้งพอ ก็กลายเป็นว่า การปกครองแบบประชาธิปไตยดำเนินการไม่ได้
.
“แล้วก็อีกข้อหนึ่ง คือการที่จะบอกว่าจะมีการยุบสภาฯ และต้องเลือกตั้งภายใน 30 วัน ถูกต้องหรือไม่ ไม่พูดถึง ไม่พูดเลย ถ้าไม่ถูกก็จะต้องแก้ไข แล้วก็อาจจะให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือไม่ ซึ่งท่านจะมีสิทธิที่จะบอกว่า อะไรที่ควรหรือไม่ควร ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลไม่ดี แต่ว่าเท่าที่ฟังดู มันเป็นไปไม่ได้ในการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เลือกตั้งขึ้นพรรคเดียวคนเดียว ไม่ใช่ทั่วไป มีคนที่สมัครเลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย
.
“เมื่อไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านก็ควรคิดว่า ต้องดูว่าเกี่ยวข้องกับศาลปกครองหรือไม่ ขอฝากอย่างดีที่สุดถ้าท่านจะทำได้ ท่านลาออก ท่านเอง ไม่ใช่รัฐบาลลาออก ท่านเองต้องลาออก ทำไม่ได้ รับหน้าที่ไม่ได้ ตะกี้ที่ปฏิญาณไป ดูดีๆ จะเป็นการไม่ได้ทำตามที่ปฏิญาณ”
.
ส่วนพระราชดำรัสที่พระราชทานให้กับผู้พิพากษาศาลยุติธรรมมีใจความสำคัญช่วงหนึ่งว่า
.
“ต้องขอร้องฝ่ายศาลให้ช่วยกันเถิด เวลานี้ประชาชนทั่วไปเขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา และศาลอื่นๆ ประชาชนบอกว่า ศาลดียังมีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ เพราะได้เรียนรู้กฎหมายมา และพิจารณากฎหมายที่ต้องศึกษาดีๆ ประเทศชาติจึงจะรอดพ้นได้ ถ้าไม่ทำตามหลักกฎหมาย หลักของการปกครองที่ถูกต้อง ประเทศชาติไปไม่รอด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่าสภาฯ ไม่มีสมาชิกถึง 500 คน ทำงานไม่ได้ก็ต้องพิจารณาดูว่า จะทำยังไงสำหรับให้ทำงานได้”
.
นอกจากนี้ ยังทรงมีพระราชดำรัสถึงกลุ่ม ‘พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย’ ในเวลานั้น ผ่านไปยังศาลตอนหนึ่งว่า
.
“พอดีดูทีวี เรือหลายหมื่นตันโดนพายุจมลงไป 4,000 เมตรในทะเล เขายังต้องดูว่าเรือนั้นลงไปอย่างไร ลงไปจะจมลงไปลึกกว่า 4,000 เมตร กู้ไม่ได้กู้ไม่ขึ้น ฉะนั้น ท่านเองก็จะต้องจมลงไป ประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จะจมลงไปในมหาสมุทร
.
“เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤตที่สุดในโลก ฉะนั้น ท่านก็มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติปรึกษากับผู้ที่มีความรู้ เพื่อที่เขาจะเรียกกู้ชาติ เดี๋ยวนี้เอะอะอะไรก็กู้ชาติ กู้ชาติ กู้ชาติ ยังไม่ได้จม ทำไมถึงจะกู้ชาติ แต่ว่าป้องกันไม่ให้จมลงไปแล้วเราจะต้องกู้ชาติจริงๆ แต่ถ้าจมแล้วกู้ชาติไม่ได้ จมไปแล้ว ฉะนั้น ต้องไปพิจารณาดูดีๆ ว่าเราจะทำอะไร”
.
พระราชดำรัสดังกล่าว ถูกตีความไปหลากหลาย และต่างฝ่ายต่างก็ตีความเข้าข้างตนเอง มีการพิมพ์พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 แจกทั้งในหมู่กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณ และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเมือง ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับ ‘การเมือง’ โดยตรง
.
จากพระราชดำรัสดังกล่าวจึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ประธาน 3 ศาลมาประชุมกัน ประกอบด้วย ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญ และได้ออกแถลงการณ์สำคัญ 3 ข้อ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวดังนี้
.
1. ศาลจะเร่งพิจารณาพิพากษาคดีให้เร็วที่สุด ทันต่อความจำเป็น
2. ไม่ว่าคดีความจะขึ้นสู่ศาลใด การใช้กฎหมายและตีความกฎหมายจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน
3. การดำเนินการของแต่ละศาลยึดหลักความเป็นอิสระ ให้ดำเนินการไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายด้วยความสุจริตยุติธรรม
.
แถลงการณ์นี้ทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้ว่า หมายถึงคดีความเกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ที่ยังไม่ปรากฏผลเป็นที่แน่ชัด ไม่นานศาลรัฐธรรมนูญก็มีคำวินิจฉัยว่า การจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการเลือกตั้งในวันดังกล่าวเป็นโมฆะ และให้มีการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน
.
หลังจากนั้นไม่นาน ธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 9 มาตีความและขยายความต่อ มีการแถลงข่าวที่โรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณ พร้อมกับมีการเสนอคำว่า ‘ตุลาการภิวัฒน์’
.
คำว่าตุลาการภิวัฒน์ คือการที่ตุลาการใช้อำนาจตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารผ่านการตีความแบบก้าวหน้า (Judicial Activism) หรืออาจเรียกว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการการเมืองโดยศาลในฐานะผู้พิทักษ์ระบอบการเมือง ซึ่งทำผ่านคำพิพากษาและผ่านการตีความอย่างกว้างก็ได้เช่นกัน
.
นับจากนั้น คำว่า ‘ตุลาการภิวัฒน์’ ก็กลายเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และบทบาทของศาลตามนิยามของธีรยุทธ ก็ยังดำรงอยู่จวบจนทุกวันนี้
.
ที่มา:
- https://prachatai.com/journal/2006/04/8196
.
ภาพ: AFP

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1114863070687742&set=a.654659416708112