วันพุธ, เมษายน 23, 2568

วิเคราะห์แนวทาง "ทีมไทยแลนด์" เจรจาภาษีทรัมป์ เหตุใดเลือกเสนอนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่ม และมันมีความเหมาะสมแค่ไหน ?


นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะเป็นผู้แทนจากไทยเพื่อเข้าเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ

วิเคราะห์แนวทาง "ทีมไทยแลนด์" เจรจาภาษีทรัมป์ เสนอนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่ม เหมาะสมแค่ไหน

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามประกาศเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้า (tariff) จากประเทศอื่น ๆ ยกเว้นจีนออกไป 90 วัน ดูเหมือนคลื่นการเจรจาของแต่ละประเทศอย่างจริงจังจะเริ่มขึ้นแล้ว โดยมีญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก

สำหรับคิวของประเทศไทย ซึ่งตอนแรกถูกกำหนดไว้ ณ วันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้แทน เพื่อเจรจากับ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ก่อนหน้านี้บีบีซีไทยสอบถามไปยัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ว่าทางการมีแผนรับมือในการเจรจาครั้งนี้เพิ่มเติมหรือไม่ เขาตอบกลับมาว่ายังต้องรอแถลงอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี ด้าน นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี และได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกาด้วย บอกกับบีบีซีไทยว่า กรอบการเจรจาเบื้องต้นยังคงเป็น 5 ข้อเดิม ได้แก่
  • การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นไปที่สินค้าเกษตรที่ไทยจะสามารถนำมาต่อยอดได้ อาทิ ข้าวโพด หรือถั่วเหลือง รวมถึงไปสินค้าเชื้อเพลิงต่าง ๆ
  • ผ่อนคลายมาตรการจัดเก็บภาษี หรือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อส่งเสริมการนำเข้า
  • เน้นพัฒนาความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง
  • เพิ่มความโปร่งใสสำหรับสินค้าส่งออกเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ "made in Thailand" จากประเทศที่สาม
  • เพิ่มการลงทุนของธุรกิจไทยในสหรัฐฯ
กรอบต้องกว้าง เพื่อเปิดโอกาสเจรจา


โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง สก็อตต์ เบสเซนต์ นักลงทุนจากวอลล์สตรีท ขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ โดยเบสเซนต์เคยทำงานให้จอร์จ โซรอส และเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์ตั้งแต่ต้นในการเลือกตั้งปีที่แล้ว

นายศุภวุฒิ อธิบายเพิ่มเติมว่าที่กรอบเจรจายังคงไว้ที่ 5 ข้อเหมือนเดิม เป็นเพราะไทยตั้งใจที่จะฟังท่าทีของสหรัฐฯ ซึ่งคล้ายคลึงกับกลยุทธ์ของประเทศอื่น ๆ เพราะ "ทุกคนทำอย่างนั้นหมด ไม่ใช่ไทยอย่างเดียว ญี่ปุ่นเขาไปเขาก็เป็นอย่างนั้น"

นอกจากนี้ แนวคิดหลักของไทยคือการพยายามลดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง

แนวคิดนี้สอดคล้องกับท่าทีของสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน โดยเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ อย่างสก็อตต์ เบสเซนต์ เพิ่งให้สัมภาษณ์กับ Yahoo Finance และย้ำว่า กระบวนการเจรจากับประเทศคู่ค่าของสหรัฐฯ อาจไม่เสร็จสิ้นภายใน 90 วัน

อย่างไรก็ดี เขาชี้ให้เห็นว่า เมื่อตัดประเทศจีนออกไป มีประเทศคู่ค้าขนาดใหญ่ถึง 14 แห่งของสหรัฐฯ ที่ "ส่วนใหญ่[สหรัฐฯ]มีการขาดดุลในปริมาณที่สูงมาก" และดูเหมือนว่าสหรัฐฯ เองก็อยากบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเช่นกัน

"... ถ้าเราดำเนินการตามกระบวนการ เราก็น่าจะมีความชัดเจนอย่างมากเกี่ยวกับ 14 ประเทศ (นอกเหนือจากจีน) ในแง่ของข้อตกลงเบื้องต้น และเมื่อเราสามารถตกลงร่วมกันในระดับที่พวกเขายอมลดภาษีศุลกากร ลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ยุติการแทรกแซงค่าเงิน และยกเลิกการอุดหนุนอุตสาหกรรมและแรงงานได้ เมื่อนั้นผมเชื่อว่าเราจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้" สก็อตต์ กล่าวในการสัมภาษณ์

ทั้งนี้ ไทยเป็นหนึ่งใน 14 ประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับที่ถูกจับตามอง ข้อมูลจากสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจแห่งสหรัฐอเมริกาในปี 2567 พบว่าไทยอยู่ในอับดับที่ 10 ประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ ด้วยสถิติ 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม เกินดุลการค้าสหรัฐฯ ในปีเดียวกันเป็นอันดับที่ 3 ด้วยสถิติ 1.71 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ



ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด วิเคราะห์กรอบเจรจาหลักของไทย 5 ข้อว่า ถ้ามองในภาพใหญ่ที่ไทยพยายามจะเสนอลดดุลการค้าลงมาให้สมดุลมากขึ้นนับว่าดี แต่ปัญหาคือไทยเสนอแผนที่ต้องใช้เวลา 5-10 ปี

"ผมว่ามันนานไป… ทรัมป์ไม่เอาแน่ เพราะเขาอยู่แค่ 4 ปี" ดร.ปิยศักดิ์ ชี้

เขาวิเคราะห์ต่อไปว่าการเลื่อนการเจรจาครั้งนี้ออกไปน่าจะเป็นการเคลื่อนไหวจากฝั่งสหรัฐฯ โดยมีประเด็นหลัก ๆ คือการเตรียมงานเจรจาไม่ทัน เนื่องจากหลายประเทศเองก็ต่อคิวรออยู่

ขณะที่อีกมิติที่แทรกอยู่ด้วยนั้นอาจเป็นเพราะว่าข้อเสนอของไทยยังไม่เพียงพอ

เจาะลึกสินค้าเกษตร เบื้องหลังกลยุทธ์ win-win

หากย้อนกลับไปดูกรอบเจรจา 3 ข้อแรกให้ดี จะพบว่าทุกอย่างค่อนข้างเชื่อมกันหมด อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา สังคมวงกว้างน่าจะได้ยินแผนของรัฐบาลที่ต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของสหรัฐฯ อย่างถั่วเหลืองและข้าวโพดอยู่บ่อยครั้ง

สาเหตุเป็นเพราะสหรัฐฯ ส่งออกถั่วเหลืองมากที่สุดในบรรดาสินค้าเกษตรส่งออกทั้งหมดของประเทศ ที่สัดส่วน 14% ขณะที่ข้าวโพดรั้งอันดับที่สองด้วยสัดส่วน 7.9% และหากไปดูสถิติรายสินค้าและรายประเทศจะพบว่า จีนเป็นผู้นำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ สูงที่สุดตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่เม็กซิโกและญี่ปุ่นรั้งอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับสำหรับข้าวโพด

สำหรับสินค้าทั้งสองชนิดนี้ ไทยไม่ติดอันดับประเทศผู้นำเข้า 10 อันดับแรก ตามข้อมูลในปีที่ผ่านมาจากสำนักงานเกษตรต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา

ไม่เพียงไทยต้องการเสนอตัวเองเป็นประเทศในการระบายสินค้าให้กับสหรัฐฯ ซึ่งอาจช่วยให้การเจรจาเป็นไปได้ง่ายขึ้น แต่ฝั่งรัฐบาลไทยรวมถึงตัวแทนภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ยังออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนอยู่บ่อยครั้งว่านี่จะเป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสากรรมที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป อาทิ ธุรกิจผลิตอาหารสัตว์อีกด้วย

นายศุภวุฒิบอกกับบีบีซีไทยว่า ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมแปรรูปมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีส่วนคิดเป็นประมาณ 20% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และประมาณ 12% ของจีดีพี อีกทั้งสินค้าเกษตรที่ไทยต้องการจะนำเข้าเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ ก็เป็นสินค้าที่ประเทศมีกำลังผลิตไม่พอและต้องนำเข้าจากต่างประเทศอยู่แล้ว

เขายกตัวอย่างว่า ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าข้าวโพดปีละประมาณ 4-5 ล้านตัน เพราะไทยผลิตได้แค่ประมาณ 5 ล้านตัน ขณะที่ต้องใช้ประมาณ 10 ล้านตัน


ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าข้าวโพดปีละประมาณ 4-5 ล้านตัน เพราะไทยผลิตได้ไม่เพียงพอ

ฝั่งสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ออกมากรุยทางกลยุทธ์นี้ตั้งแต่ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าถ้วนหน้าในวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น "วันประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจของอเมริกา" ด้วยซ้ำ

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ว่า สมาคมฯ ต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี แทนที่จะไปซื้อจากคู่ค้าประเทศอื่น อีกทั้งหากรัฐบาลไทยมีการปรับลดข้อบังคับเรื่องโควต้าหรืออัตราภาษีต่าง ๆ ให้ลดลง ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการหันไปนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ได้โดยทันที

แม้ในเชิงภาพใหญ่ทั้งรัฐบาลและฝั่งภาคธุรกิจดูจะเห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง กลุ่มเกษตรกรได้มีการรวมตัวเข้ามาร้องเรียนทั้งในระดับจังหวัดและระดับรัฐบาลถึงความกังวลต่อมาตรการนี้ว่าจะทำให้ราคาสินค้าเกษตรในไทยลดลงไปอีก

ล่าสุด นายสมภพ เอื้อทรงธรรม เลขาธิการสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ได้กล่าวย้ำจุดยืนในงานเสวนา "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy" ซึ่งจัดโดยกรุงเทพธุรกิจ เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ว่า สมาคมฯ เข้าใจเรื่องความกังวลของเกษตรที่มีต่อราคาสินค้าที่อาจลดลง แต่ชี้ว่า "ไม่น่าเป็นห่วง เพราะว่าทางอาหารสัตว์ก็คงมีการประกัน[ราคา] แต่ขอให้เราโต ถ้าเราโตมากกว่านี้ เราก็จะสามารถทำรายได้เข้าประเทศได้มากกว่านี้ ทุกคนก็จะมีงานทำ"

อย่างไรก็ดี เขาเสริมว่า ไทยเองก็ต้องกลับมาปรับปรุงผลิตภาพในการผลิตเช่นเดียวกัน รวมถึงการประยุกต์ใช้เครื่องจักรที่มีนวัตกรรมสูง


ธนาคารโลกประเมินว่า เฉพาะความเสียหายด้านสุขภาพของไทยจากปัญหา PM 2.5 ในแต่ละปีสูงถึง 3.9% ของจีดีพีแล้ว โดยปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาในภาคการเกษตร

สำหรับความเห็นของนักวิชาการที่ไม่ได้เป็นคนในอุตสาหกรรมการเกษตร ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มองว่า ในส่วนของข้าวโพดและถั่วเหลืองนั้น ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ผิด

เขาชี้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตข้าวโพดเพื่อปศุสัตว์ของไทยไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ได้เปรียบของไทย แข่งขันได้ยาก "และต้องอาศัยการคุ้มครองด้วยโควตานำเข้า ซึ่งเป็นระบบที่ไม่มีความโปร่งใส และอยู่ได้ด้วยการค้ำจุนของกลุ่มผลประโยชน์ในธุรกิจเมล็ดพืช ปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช ซึ่งมีเกษตรกรเป็นลูกค้า" นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเผาแปลงเกษตร อันเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหา PM 2.

"ดังนั้นการยกเลิกโควตาในการนำเข้าข้าวโพดและถั่วเหลืองจะเกิดประโยชน์มหาศาลต่อทั้งการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ และยังเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อมและที่สำคัญคือสุขภาพของประชาชน จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการอยู่แล้ว"

อย่างไรก็ดี ดร.สมเกียรติ ชี้ว่ารัฐบาลต้องมีมาตรการเข้ามาเยียวยาเกษตรกรไทยซึ่งจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอนด้วย

ดร.ปิยศักดิ์ ชี้ว่า เขาเห็นด้วยกับประเด็นสินค้าเกษตรหรือการนำเข้าสินค้าปศุสัตว์เพิ่มเติมจากสหรัฐฯ แต่มองว่านี่ยังไม่ใช้นโยบาย "หมัดเด็ด" ของไทย และไม่ควรถูกนำมาชูเป็นกลยุทธ์สำคัญอย่างที่เป็นอยู่ เนื่องจาก "จริง ๆ สินค้าเกษตรคิดเป็นแค่ 10% เองนะครับ แต่มันถูกยกขึ้นมาเพราะมีนัยทางการเมืองเยอะ"

ตามข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่า จีดีพีภาคเกษตรมีสัดส่วนเพียง 9% ของจีดีพีรวมของประเทศไทย อีกทั้ง ในปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรมีสัดส่วน 17.3% ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมมีสัดส่วน 78.6% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย (ที่เหลืออีก 4.1% เป็นสินค้าแร่และเชื้อเพลิง)

แม้จะเป็นภาคที่ทำรายได้ไม่มากนักในเชิงสัดส่วนต่อจีดีพี แต่ไทยยังมีประชากรถึง 46% ที่อยู่ในภาคเกษตรกรรม

โครงสร้างพื้นฐาน-ดาต้าเซ็นเตอร์-ยุโรป แต้มต่อที่ไทยยังใช้ไม่คุ้ม



ดร.ปิยศักดิ์ มองว่า เมื่อวิเคราะห์ตัวเลือกของรัฐบาลนอกเหนือจากภาคเกษตร ฝั่งอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานเป็นประเด็นที่ "ทีมไทยแลนด์" น่าจะให้ความสำคัญมากกว่านี้ เพราะว่าแม้ท้ายที่สุดการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ จะออกมาค่อนข้างดี แต่ไทยก็ยังอาจจะโดนอัตราภาษีที่ระดับ 10% ซึ่งอย่างไรก็กระทบกับภาคการส่งออกแน่นอน

"ยังไงเศรษฐกิจไทยเราแย่แน่แล้ว เราจึงควรลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้เศรษฐกิจมันบูมขึ้น"

ดร.ปิยศักดิ์ เชื่อว่า การลงทุนจากภาครัฐ รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนผ่านอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ อุตสาหกรรมก่อสร้าง จะเป็นตัวเข้ามากระตุ้นการเติบโตในระยะต่อไปของไทยได้ พร้อมเสริมว่า แนวทางนี้จะเป็นแต้มต่อสำหรับไทยในการเจรจากับสหรัฐฯ ผ่านการนำเข้าเครื่องจักรหนักจากอเมริกา เช่น จาก Caterpillar มาใช้ในโครงการก่อสร้างใหญ่ ซึ่งจะช่วยลดดุลการค้าได้เร็วกว่า "ไปเจรจาเรื่องสินค้าเกษตร"

นอกจากนี้ เมื่อบีบีซีไทยสอบถามถึงประเด็นความหวังเศรษฐกิจใหม่อย่างดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถูกผลักดันมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ดร.ปิยศักดิ์ เห็นด้วยว่าควรหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในข้อต่อรองกับสหรัฐฯ เช่น การเสนอรูปแบบธุรกิจแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับบริษัทเทคโนโลยีอเมริกัน

"ทำในรูปแบบว่าเรานำเข้าเครื่องมือมากขึ้นจากภาคดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยลดทอนดุลการค้าได้ด้วย"

แม้ว่าการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์อาจไม่ก่อให้เกิดการจ้างงานมหาศาลเมื่อเทียบกับการเปิดโรงงานอื่น ๆ ทว่า ดร.ปิยศักดิ์ มองว่าไทยยังจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่อยู่ในแผ่นดินตัวเอง

"สมมติเราไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย แล้วรัฐต้องการพัฒนาเรื่องเอไอ เราต้องส่งข้อมูลไปที่สิงคโปร์หรือฮ่องกง มันจะติดเรื่อง PDPA [พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล] การเอาข้อมูลอ่อนไหวออกนอกประเทศ" ซึ่งเขามองว่าเป็นการตัดโอกาสในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีของภาครัฐไทย


สัตยา นาเดลลา ประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทไมโครซอฟท์ กล่าวปาฐกถาในงาน "Microsoft Build: AI Day" ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อปี 2567 โดยเขาประกาศว่า ไมโครซอฟท์มีแผนจะลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) แห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้แพลตฟอร์ม Cloud First

ตามข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ในปี 2567 อุตสาหกรรมดิจิทัลมียอดขอรับการลงทุนกว่า 150 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 243,308 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการขอรับการลงทุนในธุรกิจ Data Center และ Cloud Services คิดเป็นเงินลงทุน 240,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากบริษัทชั้นนำจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, จีน, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, อินเดีย และไทย

นอกจากนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกรุงศรียังพบว่า ผู้ให้บริการอย่าง Amazon Web Services (AWS) จากสหรัฐฯ เป็นผู้ยื่นเรื่องต่อ BOI ที่มีมูลค่าลงทุนสูงที่สุดถึง 200,000 ล้านบาท (ภายในปี 2580)

ท้ายสุด ดร.ปิยศักดิ์ เสริมว่าไทยยังควรเดินหน้าเจรจาการค้ากับกลุ่มประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่มีความตกลงการค้าเสรีเลย

ตามข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าปัจจุบัน ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) จำนวน 16 ฉบับ กับ 23 ประเทศ โดยแบ่งเป็นความตกลงระดับทวิภาคี 7 ฉบับ และระดับภูมิภาค 9 ฉบับ

โดยในระดับภูมิภาคนั้น มีความตกลงฯ กับ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศ ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งลงนามแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินงานภายในเพื่อให้มีผลบังคับใช้

https://www.bbc.com/thai/articles/cj3xvevym50o