#เป็นบทวิเคราะห์ที่สุดยอดมาก !ทรรศนะนักวิชาการฮาร์วาร์ด:ย้อนรอยปัญหาการค้าไทย-สหรัฐฯ ก่อนทรัมป์สั่งเก็บภาษี 36% https://t.co/wwGHzPdrjj
— Prasong_lert (@Prasong_lert) April 29, 2025
ทรรศนะนักวิชาการฮาร์วาร์ด:ย้อนรอยปัญหาการค้าไทย-สหรัฐฯ ก่อนทรัมป์สั่งเก็บภาษี 36%
29 เมษายน 2568
สำนักข่าวอิศรา

สำนักข่าวอิศรา

อย่างไรก็ตาม อีกปัญหาสำคัญในไทยก็คือ นักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากตะวันตกบางครั้งบ่นว่าการเปิดธุรกิจในจีนง่ายกว่าในประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อีกทั้งการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของไทยนั้นเป็นไปตามโดยอำเภอใจและมีการทุจริตเกิดขึ้น
ข่าวต่างประเทศที่มีผลกระทบกับไทย ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กับประเทศที่เกินดุลการค้า ซึ่งสินค้านำเข้าจากประเทศไทยก็โดนเก็บภาษีไปทั้งสิ้น 36% และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าตัวแทนจากไทยจะได้เจรจากับสหรัฐฯเมื่อใด
จากกรณีดังกล่าว ทางด้านของนายริชาร์ด ยาร์โรว์ นักวิชาการจาก วิทยาลัยฮาร์วาร์ด เคเนดี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาของมาตรการภาษีของนายทรัมป์และทางแก้ปัญหาของไทย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
ข่าวร้ายเกี่ยวกับวงการการค้าของไทยเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.เมื่อทำเนียบขาวใช้มาตรการภาษี 25 เปอร์เซ็นต์กับสินค้าประเภทอลูมิเนียม สงผลลามไปถึงภาคการผลิตของไทย ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. สํานักงานการค้าสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ภาพรวมเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าของไทย โดยเน้นย้ำถึงปัญหาเกี่ยวกับการค้าทางการเกษตร การลงทุน และค่าธรรมเนียมศุลกากร ในที่สุด ในวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศมาตรการ 'ภาษีซึ่งกันและกัน' หรือภาษีตอบโต้ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า อัตราการคิดภาษีนั้นขึ้นอยู่กับดุลการค้าปี 2567 เท่านั้น
ภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยอยู่ที่อัตรา 36 เปอร์เซ็นต์ นั้นถือว่ามีอัตราสูงอย่างไม่คาดคิดและรุนแรง ซึ่งสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ในเอเชียยกเว้นเวียดนาม สำหรับไทยแล้ว สหรัฐอเมริกาถือเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่ที่สุด และแนวโน้มการส่งออกที่มุ่งเน้นสหรัฐฯ เป็นแรงผลักดันให้การลงทุนภาคอุตสาหกรรมของไทยพุ่งสูงขึ้น หากมีการบังคับใช้มากตรการภาษีเหล่านี้จริง จะบ่อนทำลายเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประเมินการเติบโตของ GDP ลดลงครึ่งจุด ซึ่งดูเหมือนจะมองโลกในแง่บวกมากเกินไปเมื่อพิจารณาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการลงทุนในอนาคต การซื้อของไทยจากสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจอื่นๆ ในเอเชียอ่อนแอลง
การประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ในเดือน เม.ย. ไม่ใช่คําเตือนที่เกี่ยวข้องกับการค้าครั้งแรกของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทย ย้อนไปปี 2560 นายแบรด เซ็ตเซอร์ นักเศรษฐศาสตร์ ได้ออกมากล่าวว่าว่าประเทศไทยเหมาะสมกับเกณฑ์การจัดการสกุลเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในปี 2563 รัฐบาลทรัมป์สมัยแรกขู่ว่าจะคว่ำบาตรไทยเนื่องจากมูลค่าเงินบาทที่ต่ำ และต่อมามูลค่าของเงินบาทก็ลดลงอีก จากค่าเฉลี่ย 31 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 เป็นประมาณ 34 บาทภายในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ในเดือน มิ.ย. 2567 คณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ยกย่องประเทศไทยว่า 'มีความสําคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ' ในรายงานต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 การส่งออกของไทยก็กลับมาเติบโต นับตั้งแต่ปี 2562 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า โดยในปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 1.7 แสนล้านบาท (5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อเดือน ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ของ Dell, HP, Google และ Apple ได้ช่วยให้บริษัทสหรัฐฯ 'ลดความเสี่ยง' ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่เพิ่มขึ้นบางส่วนของไทยดูน่าสงสัยเช่นเดียวกับจำนวนการนําเข้าของประเทศไทย ระหว่างปี 2562 ถึง 2567 การส่งออกสินค้าประเภทชิ้นส่วนเกี่ยวข้องกับประมวลผลข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในขณะที่การนําเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ซึ่งนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นกว่า 180 เปอร์เซ็นต์ บ่งชี้ว่าการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นบางส่วนของประเทศไทยอาจเป็นสินค้าที่ผลิตในจีนเป็นส่วนใหญ่
สำหรับท่าทีของไทยเริ่มแรกเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านภาษีตอบโต้นั้น ไทยเลือกที่จะใช้วิธีทางการทูต โดยในเดือน ก.พ.2568 ตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ไทยได้ไปเยือนกรุงวอชิงตันเพื่อพบกับสมาชิกสภาคองเกรสและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น การสวดมนต์เช้าแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ National Prayer Breakfast ต่อมาในปลายเดือน มี.ค.รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แนะนำให้ลดเกินดุลการค้าทวิภาคีของไทยลงครึ่งหนึ่งเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (7 แสนล้านบาท) นักการทูตไทยยังยื่นข้อเสนอให้เร่งการเจรจาการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตามความพยายามของตัวแทนไทยนั้นดูจะขัดแย้งกันเองกับกลยุทธ์ของรัฐบาลไทยที่เรียกร้องให้จีนสนับสนุนทางเศรษฐกิจ ด้วยการขยายการค้า การลงทุน และการส่งเสริมการท่องเที่ยว จีนเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด แม้ว่าความกระตือรือร้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของจีนจะลดลงในตะวันตก แต่เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลไทยส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจว่าจีนจะรักษาการเติบโตของ GDP ต่อปีไว้ที่ประมาณ 5% ทําให้พวกเขากระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลจีนมากขึ้น
ยกตัวอย่างความพยายามของไทยที่ต้องการจะได้รับการสนับสนุนจากจีน เช่นกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยได้ไปเยือนจีนในเดือน พ.ย.2567 ได้ไปพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และให้คำสัญญาว่าจะเร่งการก่อสร้างทางรถไฟซึ่งจะดำเนินการโดยประเทศจีนเพื่อเชื่อมโยงลาวและภูมิภาคยูนนาน
ไม่กี่สัปดาห์หลังการเยือนจีนช่วงต้นปี รัฐบาลไทยได้เนรเทศกลุ่มชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังซินเจียง ซึ่งการกระทำนี้ส่งผลทำให้สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกาประณามการเนรเทศ โดยนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศมองว่าเรื่องนี้เป็นเหมือนการดูถูกเขา เพราะเขาได้รับปากกับสภาคองเกรสว่าจะปกป้องชาวอุยกูร์ที่ถูกคุมขังในกรุงเทพฯ
ส่วนรัฐสภายุโรปได้ลงมติประณามการเนรเทศของไทยและเพิ่มข้อเรียกร้องให้ไทยเปลี่ยนแปลงกฎหมายพระบรมเดชานุภาพก่อนที่จะยกระดับการค้า
ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาทางการค้าอื่น ๆ อีก อาทิ รัฐบาลในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเสนอเงินอุดหนุนให้กับบริษัทจีนเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยความคาดหวังว่าบริษัทจีนจะแบ่งปันทรัพย์สินทางปัญญาและช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในการผลิตรถยนต์ในเอเชียอีกครั้ง เนื่องจากผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการจัดตั้งโรงงานของญี่ปุ่นและเกาหลีสําหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ส่งผลทำให้ไทยปรับตัวเข้าสู่การรถยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ดีนัก
ทว่าประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ของไทยจำนวนมากตกอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากการขาดดุลการค้าของไทยกับจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจไทยหลายแห่งจึงเรียกร้องให้มีการคุ้มครองภัยจากสินค้าจีน ขณะที่สงครามการค้าใกล้เข้ามา ไทยก็ประสบปัญหากับคู่ค้ารายใหญ่ทั้งหมด เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน
ประเทศไทยอาจหวังที่จะปกป้องภาคส่วนการผลิตไทยด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนำมาซึ่งความสะดวกเพียงชั่วคราวในภาคเศรษฐกิจดั้งเดิมของไทย เช่น การท่องเที่ยว การผลิตที่ใช้ทักษะต่ำ และภาคการเกษตร ซึ่งภาคส่วนที่ว่ามานี้ต้องอาศัยเงินอุดหนุนจากผู้บริโภค นักลงทุน ขณะที่ภาคส่วนเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงกว่าตอนนี้เผชิญกับภาวะสมองไหล
ปัจจุบันประเทศไทยกําลังพยายามเจรจาเพื่อลดภาษีโดยสัญญาว่าจะนําเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดมากขึ้น เจ้าหน้าที่ไทยได้เน้นย้ำถึงการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้แทบจะไม่ส่งผลต่อภาษีศุลกากรตามดุลทวิภาคี
เป้าหมายการค้าของวอชิงตันซึ่งมีต่อไทยตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ซึ่งเป้าหมายนี้อาจสอดคล้องกับความต้องการด้านการพัฒนาบางอย่างของไทยก็เป็นได้
วอชิงตันเรียกร้อง 'ความเป็นธรรม' สําหรับธุรกิจในสหรัฐฯ ในขณะที่ประเทศไทยต้องการให้มีการฝึกอบรบแรงงานที่ดีขึ้น มีการลงทุนที่มีคุณภาพสูงขึ้นและการแข่งขันทางธุรกิจที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจมาพร้อมกับข้อจํากัดที่ผ่อนคลายสําหรับบุคคล บริษัท และผลิตภัณฑ์ต่างชาติในบางราย
อย่างไรก็ตาม อีกปัญหาสำคัญในไทยก็คือ นักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากตะวันตกบางครั้งบ่นว่าการเปิดธุรกิจในจีนง่ายกว่าในประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อีกทั้งการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของไทยนั้นเป็นไปตามโดยอำเภอใจและมีการทุจริตเกิดขึ้น
การนําเข้าอาหารจากต่างแดนของสหรัฐฯ อาจสามารถช่วยแก้ไขผลผลิตที่ต่ำ ปัญหาด้านแรงงาน และการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเลวร้ายในภาคการเกษตรของไทย (ปัญหาการถางที่ดินในภาคการเกษตรของไทยทำให้ในต่างจังหวัด คุณภาพอากาศบางครั้งแย่กว่าที่กรุงปักกิ่ง) ก็เป็นได้
สิ่งที่นายทรัมป์ต้องการสำหรับการค้าก็คือความมี 'สมดุล' แม้ว่าคำว่าการดำเนินการอย่างเข้มงวดในด้านการค้าทวิภาคี คำนี้จะดูไม่สอดคล้องกับความจริงและดูไม่พึงปรารถนา แต่ถ้าหากไทยมีการเจรจาจนสามารถทำให้คนไทยได้ประโยชน์จากค่าแรงสูงขึ้น พัฒนาบริการสังคม เพิ่มการแข็งค่าสกุลเงิน และเพิ่มทุนการศึกษาของการศึกษาในต่างแดน ถ้าทำได้ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็จะช่วยลดการเกินดุลการค้าของไทยลงได้
เรียบเรียงจาก: https://eastasiaforum.org/2025/04/26/us-trade-threats-leave-thailand-in-a-bind/
https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/137593-isranews-TTTRPTRUMP.html
ข่าวต่างประเทศที่มีผลกระทบกับไทย ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กับประเทศที่เกินดุลการค้า ซึ่งสินค้านำเข้าจากประเทศไทยก็โดนเก็บภาษีไปทั้งสิ้น 36% และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าตัวแทนจากไทยจะได้เจรจากับสหรัฐฯเมื่อใด
จากกรณีดังกล่าว ทางด้านของนายริชาร์ด ยาร์โรว์ นักวิชาการจาก วิทยาลัยฮาร์วาร์ด เคเนดี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาของมาตรการภาษีของนายทรัมป์และทางแก้ปัญหาของไทย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้
ข่าวร้ายเกี่ยวกับวงการการค้าของไทยเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.เมื่อทำเนียบขาวใช้มาตรการภาษี 25 เปอร์เซ็นต์กับสินค้าประเภทอลูมิเนียม สงผลลามไปถึงภาคการผลิตของไทย ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. สํานักงานการค้าสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ภาพรวมเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าของไทย โดยเน้นย้ำถึงปัญหาเกี่ยวกับการค้าทางการเกษตร การลงทุน และค่าธรรมเนียมศุลกากร ในที่สุด ในวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศมาตรการ 'ภาษีซึ่งกันและกัน' หรือภาษีตอบโต้ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า อัตราการคิดภาษีนั้นขึ้นอยู่กับดุลการค้าปี 2567 เท่านั้น
ภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยอยู่ที่อัตรา 36 เปอร์เซ็นต์ นั้นถือว่ามีอัตราสูงอย่างไม่คาดคิดและรุนแรง ซึ่งสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ในเอเชียยกเว้นเวียดนาม สำหรับไทยแล้ว สหรัฐอเมริกาถือเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่ที่สุด และแนวโน้มการส่งออกที่มุ่งเน้นสหรัฐฯ เป็นแรงผลักดันให้การลงทุนภาคอุตสาหกรรมของไทยพุ่งสูงขึ้น หากมีการบังคับใช้มากตรการภาษีเหล่านี้จริง จะบ่อนทำลายเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประเมินการเติบโตของ GDP ลดลงครึ่งจุด ซึ่งดูเหมือนจะมองโลกในแง่บวกมากเกินไปเมื่อพิจารณาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการลงทุนในอนาคต การซื้อของไทยจากสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจอื่นๆ ในเอเชียอ่อนแอลง
การประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ในเดือน เม.ย. ไม่ใช่คําเตือนที่เกี่ยวข้องกับการค้าครั้งแรกของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทย ย้อนไปปี 2560 นายแบรด เซ็ตเซอร์ นักเศรษฐศาสตร์ ได้ออกมากล่าวว่าว่าประเทศไทยเหมาะสมกับเกณฑ์การจัดการสกุลเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในปี 2563 รัฐบาลทรัมป์สมัยแรกขู่ว่าจะคว่ำบาตรไทยเนื่องจากมูลค่าเงินบาทที่ต่ำ และต่อมามูลค่าของเงินบาทก็ลดลงอีก จากค่าเฉลี่ย 31 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 เป็นประมาณ 34 บาทภายในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ในเดือน มิ.ย. 2567 คณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ยกย่องประเทศไทยว่า 'มีความสําคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ' ในรายงานต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 การส่งออกของไทยก็กลับมาเติบโต นับตั้งแต่ปี 2562 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า โดยในปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 1.7 แสนล้านบาท (5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อเดือน ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ของ Dell, HP, Google และ Apple ได้ช่วยให้บริษัทสหรัฐฯ 'ลดความเสี่ยง' ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่เพิ่มขึ้นบางส่วนของไทยดูน่าสงสัยเช่นเดียวกับจำนวนการนําเข้าของประเทศไทย ระหว่างปี 2562 ถึง 2567 การส่งออกสินค้าประเภทชิ้นส่วนเกี่ยวข้องกับประมวลผลข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในขณะที่การนําเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ซึ่งนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นกว่า 180 เปอร์เซ็นต์ บ่งชี้ว่าการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นบางส่วนของประเทศไทยอาจเป็นสินค้าที่ผลิตในจีนเป็นส่วนใหญ่
สำหรับท่าทีของไทยเริ่มแรกเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านภาษีตอบโต้นั้น ไทยเลือกที่จะใช้วิธีทางการทูต โดยในเดือน ก.พ.2568 ตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ไทยได้ไปเยือนกรุงวอชิงตันเพื่อพบกับสมาชิกสภาคองเกรสและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น การสวดมนต์เช้าแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ National Prayer Breakfast ต่อมาในปลายเดือน มี.ค.รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แนะนำให้ลดเกินดุลการค้าทวิภาคีของไทยลงครึ่งหนึ่งเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (7 แสนล้านบาท) นักการทูตไทยยังยื่นข้อเสนอให้เร่งการเจรจาการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตามความพยายามของตัวแทนไทยนั้นดูจะขัดแย้งกันเองกับกลยุทธ์ของรัฐบาลไทยที่เรียกร้องให้จีนสนับสนุนทางเศรษฐกิจ ด้วยการขยายการค้า การลงทุน และการส่งเสริมการท่องเที่ยว จีนเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด แม้ว่าความกระตือรือร้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของจีนจะลดลงในตะวันตก แต่เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลไทยส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจว่าจีนจะรักษาการเติบโตของ GDP ต่อปีไว้ที่ประมาณ 5% ทําให้พวกเขากระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลจีนมากขึ้น
ยกตัวอย่างความพยายามของไทยที่ต้องการจะได้รับการสนับสนุนจากจีน เช่นกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยได้ไปเยือนจีนในเดือน พ.ย.2567 ได้ไปพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และให้คำสัญญาว่าจะเร่งการก่อสร้างทางรถไฟซึ่งจะดำเนินการโดยประเทศจีนเพื่อเชื่อมโยงลาวและภูมิภาคยูนนาน
ไม่กี่สัปดาห์หลังการเยือนจีนช่วงต้นปี รัฐบาลไทยได้เนรเทศกลุ่มชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังซินเจียง ซึ่งการกระทำนี้ส่งผลทำให้สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกาประณามการเนรเทศ โดยนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศมองว่าเรื่องนี้เป็นเหมือนการดูถูกเขา เพราะเขาได้รับปากกับสภาคองเกรสว่าจะปกป้องชาวอุยกูร์ที่ถูกคุมขังในกรุงเทพฯ
ส่วนรัฐสภายุโรปได้ลงมติประณามการเนรเทศของไทยและเพิ่มข้อเรียกร้องให้ไทยเปลี่ยนแปลงกฎหมายพระบรมเดชานุภาพก่อนที่จะยกระดับการค้า
ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาทางการค้าอื่น ๆ อีก อาทิ รัฐบาลในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเสนอเงินอุดหนุนให้กับบริษัทจีนเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยความคาดหวังว่าบริษัทจีนจะแบ่งปันทรัพย์สินทางปัญญาและช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในการผลิตรถยนต์ในเอเชียอีกครั้ง เนื่องจากผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการจัดตั้งโรงงานของญี่ปุ่นและเกาหลีสําหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ส่งผลทำให้ไทยปรับตัวเข้าสู่การรถยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ดีนัก
ทว่าประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ของไทยจำนวนมากตกอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากการขาดดุลการค้าของไทยกับจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจไทยหลายแห่งจึงเรียกร้องให้มีการคุ้มครองภัยจากสินค้าจีน ขณะที่สงครามการค้าใกล้เข้ามา ไทยก็ประสบปัญหากับคู่ค้ารายใหญ่ทั้งหมด เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน
ประเทศไทยอาจหวังที่จะปกป้องภาคส่วนการผลิตไทยด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนำมาซึ่งความสะดวกเพียงชั่วคราวในภาคเศรษฐกิจดั้งเดิมของไทย เช่น การท่องเที่ยว การผลิตที่ใช้ทักษะต่ำ และภาคการเกษตร ซึ่งภาคส่วนที่ว่ามานี้ต้องอาศัยเงินอุดหนุนจากผู้บริโภค นักลงทุน ขณะที่ภาคส่วนเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงกว่าตอนนี้เผชิญกับภาวะสมองไหล
ปัจจุบันประเทศไทยกําลังพยายามเจรจาเพื่อลดภาษีโดยสัญญาว่าจะนําเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดมากขึ้น เจ้าหน้าที่ไทยได้เน้นย้ำถึงการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้แทบจะไม่ส่งผลต่อภาษีศุลกากรตามดุลทวิภาคี
เป้าหมายการค้าของวอชิงตันซึ่งมีต่อไทยตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ซึ่งเป้าหมายนี้อาจสอดคล้องกับความต้องการด้านการพัฒนาบางอย่างของไทยก็เป็นได้
วอชิงตันเรียกร้อง 'ความเป็นธรรม' สําหรับธุรกิจในสหรัฐฯ ในขณะที่ประเทศไทยต้องการให้มีการฝึกอบรบแรงงานที่ดีขึ้น มีการลงทุนที่มีคุณภาพสูงขึ้นและการแข่งขันทางธุรกิจที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจมาพร้อมกับข้อจํากัดที่ผ่อนคลายสําหรับบุคคล บริษัท และผลิตภัณฑ์ต่างชาติในบางราย
อย่างไรก็ตาม อีกปัญหาสำคัญในไทยก็คือ นักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากตะวันตกบางครั้งบ่นว่าการเปิดธุรกิจในจีนง่ายกว่าในประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อีกทั้งการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของไทยนั้นเป็นไปตามโดยอำเภอใจและมีการทุจริตเกิดขึ้น
การนําเข้าอาหารจากต่างแดนของสหรัฐฯ อาจสามารถช่วยแก้ไขผลผลิตที่ต่ำ ปัญหาด้านแรงงาน และการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเลวร้ายในภาคการเกษตรของไทย (ปัญหาการถางที่ดินในภาคการเกษตรของไทยทำให้ในต่างจังหวัด คุณภาพอากาศบางครั้งแย่กว่าที่กรุงปักกิ่ง) ก็เป็นได้
สิ่งที่นายทรัมป์ต้องการสำหรับการค้าก็คือความมี 'สมดุล' แม้ว่าคำว่าการดำเนินการอย่างเข้มงวดในด้านการค้าทวิภาคี คำนี้จะดูไม่สอดคล้องกับความจริงและดูไม่พึงปรารถนา แต่ถ้าหากไทยมีการเจรจาจนสามารถทำให้คนไทยได้ประโยชน์จากค่าแรงสูงขึ้น พัฒนาบริการสังคม เพิ่มการแข็งค่าสกุลเงิน และเพิ่มทุนการศึกษาของการศึกษาในต่างแดน ถ้าทำได้ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็จะช่วยลดการเกินดุลการค้าของไทยลงได้
เรียบเรียงจาก: https://eastasiaforum.org/2025/04/26/us-trade-threats-leave-thailand-in-a-bind/
https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/137593-isranews-TTTRPTRUMP.html