วันอาทิตย์, เมษายน 27, 2568

เส้นบาง ๆ ระหว่างการเรียนรู้วัฒนธรรม กับการแสดงเพื่อความบันเทิง


IMN เครือข่ายสื่อชนเผ่าพื้นเมือง
15 hours ago
·
“Human Zoo” เส้นบาง ๆ ระหว่างการเรียนรู้วัฒนธรรม
กับการแสดงเพื่อความบันเทิง

#ร้านคาเฟ่เชียงใหม่ ชื่อร้านเย็น YEN แบ่งส่วนโรงงานคัดใบยาสูบ มาทำร้านกาแฟ ได้เห็นวิถีชีวิตไปด้วยค่ะ Yen.CNX : มาภารกิจขาวดำ ด่วนที่เชียงใหม่ค่ะ — ดร.นิค สุวดี พันธุ์พานิช

ข้อความข้างต้นมาจากโพสต์เฟซบุ๊กของ ดร.นิค สุวดี พันธุ์พานิช ที่กลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว โดยพูดถึงร้านกาแฟ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของโรงงานคัดใบยาสูบเก่าที่ดัดแปลงให้กลายเป็นคาเฟ่ร่วมสมัย พร้อมทั้งกล่าวถึงการที่ลูกค้าสามารถ “ได้เห็นวิถีชีวิตไปด้วย”

แม้เจตนาอาจเป็นการชื่นชมความมีเอกลักษณ์ของสถานที่ แต่ในสายตาผู้บริโภคบางคน กลับรู้สึกถึงความย้อนแย้งบางอย่างที่ยากจะกลืนลงได้

โดยเฉพาะ เมื่อเบื้องหน้าของการจิบกาแฟในคาเฟ่เย็นฉ่ำ คือภาพของคนงานที่ยังคงนั่งคัดใบยาสูบในสภาพอากาศร้อนอบอ้าว ขณะที่แขกนั่งชม “วิถีชีวิต” นั้นผ่านกระจกใสหรือมุมกล้องมือถือ

ภาพของแรงงานสูงวัยที่คัดใบยาสูบอยู่ริมร้าน กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งในบรรยากาศคาเฟ่ — และนั่นคือจุดที่หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า นี่คือการเรียนรู้วิถีชีวิต หรือคือการแสดงเพื่อความบันเทิง? นี่คือความร่วมมือ หรือคือการมองผ่านเลนส์ของอำนาจ?

กรณีนี้ได้พาเรากลับมาสำรวจแนวคิดเก่า แต่ยังร่วมสมัยอย่าง “Human Zoo” หรือ “สวนสัตว์มนุษย์” แนวคิดที่ย้อนกลับไปถึงยุคอาณานิคม ที่ผู้คนจากดินแดนอาณานิคมถูกนำมาแสดงต่อสายตาชาวตะวันตก ในฐานะสิ่งแปลกใหม่ที่น่าสนใจ แต่ไม่เท่าเทียม

และในปัจจุบัน แนวคิดนี้ยังคงสะท้อนอยู่ในหลายมิติของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะเมื่อ “วิถีชีวิต” ของใครบางคน ถูกทำให้กลายเป็นฉากหลังที่น่าถ่ายรูปสำหรับคนอีกกลุ่ม โดยที่เขาไม่สามารถเลือกว่าจะถูกมอง หรือไม่ถูกมองได้

ประเด็นนี้จึงถูกเชื่อมโยงไปสู่แนวคิดเชิงมานุษยวิทยาอย่าง “สวนสัตว์มนุษย์” หรือ Human Zoo แนวคิดที่ว่าด้วยการนำมนุษย์มาเป็น “วัตถุจัดแสดง” ให้คนอื่นดู ผ่านสายตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ น่าทึ่ง หรือแม้แต่ความสงสาร โดยเฉพาะเมื่อการแสดงออกนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากความสมัครใจของผู้ถูกดู และที่เชียงใหม่ เมืองที่มีประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน สถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งที่จัดแสดง หมู่บ้านชาติพันธุ์จำลอง เช่น กระเหรี่ยงคอยาว ลาหู่หรืออาข่าและอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์ ก็ถูกนำมาถกเถียงว่าเข้าข่าย “Human Zoo” หรือไม่

เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ IMN ได้สัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์ ดร. ประสิทธิ์ ลีปรีชา ภาควิชาสังคมศาสตร์กับการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยตั้งคำถามสำคัญว่า หมู่บ้านจำลองวิถีชีวิตที่พบเห็นได้ทั่วไปในแหล่งท่องเที่ยวของไทย เข้าข่าย “Human Zoo”หรือไม่

“Human Zoo” การจัดแสดงมนุษย์จากอดีตสู่ปัจจุบัน
ดร.ประสิทธิ์ เล่าว่า ในแง่ของประวัติศาสตร์ การจัดแสดงมนุษย์ในลักษณะเช่นนี้มีที่มาจากยุคอาณานิคมที่เมื่อชาวยุโรปและอเมริกันไปครอบครองพื้นที่ต่างๆ และพบกับชนเผ่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวิถีชีวิตแตกต่างจากพวกเขา

พวกเขามักจะมองว่าตัวเองมีวัฒนธรรมที่สูงกว่าและมักจะสงสัยในสิ่งที่พบเห็นจากวิถีชีวิตของชนพื้นเมือง ในบางกรณี พวกเขามักจะจัดแสดงผู้คนจากกลุ่มชนเผ่าเหล่านี้ในสถานที่เฉพาะ เช่น ในงานแสดงหรือนิทรรศการ เพื่อให้คนในเมืองใหญ่ได้เห็นและศึกษาวิถีชีวิตของพวกเขาในลักษณะคล้ายกับการดูสัตว์ในสวนสัตว์

บริบทของประเทศไทยนั้น ดร. ประสิทธิ์กล่าวว่า การจัดแสดงหมู่บ้านจำลองหรือการแสดงวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ จะต้องพิจารณาถึงอำนาจในการตัดสินใจของชุมชน หากชุมชนหรือชนเผ่ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่า จะเลือกหรือแสดงอะไร เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความรู้หรือเข้าใจเกี่ยวกับวิถีชีวิตของพวกเขา และได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวในเชิงเศรษฐกิจ เช่น การขายสินค้า หรือการแสดงวัฒนธรรมที่แท้จริงของพวกเขา โดยไม่ถูกบังคับหรือถูกควบคุมจากองค์กรภายนอก
การจัดแสดงในลักษณะนี้ จะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสวนสัตว์มนุษย์ เพราะกลุ่มชนเผ่ามีอำนาจร่วมในการแสดงตัวตนและรักษาเอกลักษณ์ของตนเอง

ในทางกลับกัน หากการจัดแสดงนั้นเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมจากเจ้าของกิจการหรือองค์กรที่ไม่ให้ชุมชนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่จะแสดง ก็อาจถือว่าเป็นการนำไปสู่การแสดงในลักษณะสวนสัตว์มนุษย์ ที่มีการบังคับให้แสดงสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ภายนอก โดยที่ชุมชนไม่สามารถแสดงออกตามความต้องการหรือวิถีชีวิตของตนได้เต็มที่

ดังนั้น ในประเทศไทย บริบทของหมู่บ้านจำลองหรือการแสดงชนเผ่าจะต้องคำนึงถึงสิทธิและอำนาจในการเลือกแสดงสิ่งต่าง ๆ ของชนเผ่านั้น ๆ ซึ่งในกรณีที่พวกเขามีอำนาจและได้รับผลประโยชน์จากการแสดงเหล่านั้น จะไม่ถือเป็นสวนสัตว์มนุษย์ แต่หากการจัดแสดงนั้นเกิดขึ้นโดยที่ไม่ให้ชุมชนมีสิทธิ์ในการเลือกและได้รับประโยชน์จริงๆ ก็อาจถูกมองว่าเป็นการแสดงที่ไม่เหมาะสม หรือเป็นการแสดงที่ไม่สะท้อนวิถีชีวิตที่แท้จริงของชนเผ่านั้นๆ

ในประเทศไทย ดร.ประสิทธิ์มองว่า การจัดแสดงหมู่บ้านชาติพันธุ์หรือหมู่บ้านจำลองในแหล่งท่องเที่ยว มีหลายระดับและไม่ได้หมายความว่าทุกกรณีจะเข้าข่าย Human Zoo เสมอไป เขาเสนอ “เส้นแบ่ง” 3 ระดับ ที่จะช่วยให้เราแยกแยะได้ชัดเจนขึ้น คือ

1.Human Zoo เต็มรูปแบบ กรณีที่ผู้ถูกจัดแสดงไม่มีอิสระในการเลือกว่าจะ “โชว์” อะไร เช่น หมู่บ้านคอยาวที่ถูกนักลงทุนเอกชนควบคุมรูปแบบการแสดง ต้องแต่งตัวตามคำสั่ง มีตารางการแสดง และไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากรายได้

2.กึ่ง Human Zoo กรณีที่มีองค์กรของรัฐหรือเอกชนควบคุมการจัดแสดง แต่ผู้เข้าร่วมยินยอม และได้รับประโยชน์บ้าง เช่น หมู่บ้านจำลองในงานเทศกาล ที่มีการตกแต่งฉาก การเชิญกลุ่มชาติพันธุ์มาแสดงวิถีชีวิต หรือทำอาหารพื้นบ้านเป็นครั้งคราว

3.พิพิธภัณฑ์มีชีวิต (Living Museum) ชุมชนที่เป็นเจ้าของแนวคิดเอง เลือกแสดงสิ่งที่อยากนำเสนอ มีสิทธิในการจัดการ ตัดสินใจ และแบ่งปันรายได้ภายในชุมชนเอง เช่น หมู่บ้านรวมมิตรที่เชียงราย หรือบางพื้นที่ของปางมะผ้าและแม่แจ่ม ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ปัจจัยที่นำสู่การเกิด “หมู่บ้านจำลอง” เพื่อการท่องเที่ยว
ดร. ประสิทธิ์ ลีปรีชา ได้กล่าวถึงปัจจัยที่นำสู่การเกิด “หมู่บ้านจำลอง” เพื่อการท่องเที่ยวว่า มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันทั้งในเชิงสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือเป็นบริบทของการส่งบริบทของการเกิดขึ้นของทุนนิยม ที่ต่างคนต่างก็อยากจะงานหารายได้ รายได้ที่ง่ายที่สุดก็คือการท่องเที่ยว

ดังนั้นวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนชาติพันธ์หรือคนเผ่า ไม่เหมือนคนอื่นที่อยู่ในเมืองในสังคมใหญ่ เพราะฉะนั้นบริบทของความสัมพันธ์ที่มีความวิไลกับสังคมที่ไม่ยังไม่มีความศิวิไลซ์ หรือสังคมที่มีการพัฒนาแล้วกับสังคมที่ยังไม่พัฒนา ผู้คนที่เป็นนักท่องเที่ยวซึ่งมาจากชุมชนหรือมาจากในเมืองก็อยากจะเห็นวิถีชีวิตของชนเผ่า ซึ่งมีอยู่ซึ่งวิถีชีวิตแบบนี้ เป็นวิถีชีวิตที่ดั้งเดิมของตัวเอง ที่อยู่ในหลายรุ่น Generation ก่อนหน้านี้คนในบางพื้นที่เคยมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม

แต่ปัจจุบันวิถีชีวิตเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว อย่างไรก็ตามยังคงมีบางกลุ่มที่รักษาวิถีชีวิตแบบโบราณนี้ไว้ เมื่อมีการสัมผัสกับวิถีชีวิตดังกล่าว จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคม ซึ่งเป็นบริบทของการท่องเที่ยวที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคม บางสังคมมีการพัฒนาไปสู่ความทันสมัย ในขณะที่บางสังคมยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ โดยการพัฒนาของแต่ละสังคมไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

แล้วเราควรตั้งคำถามอย่างไร?
กรณี YEN.CNX ที่บอกว่า “ได้เห็นวิถีชีวิตไปด้วยค่ะ” ไม่ได้หมายความว่าเป็น Human Zoo ในทันที แต่บางคนอาจมองว่าเป็นการสะท้อนมุมมองที่ “โรแมนติไซส์” วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมอย่างไม่รู้ตัว การตั้งคำถามว่า “เรามองเขาในฐานะมนุษย์ หรือวัตถุแสดง?” เป็นคำถามสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่หลงอยู่ในกับดักของการท่องเที่ยวที่ทำให้คนอื่นกลายเป็นเพียงฉากประกอบการพักผ่อนของเรา

เมื่อภาพของวิถีชีวิตถูกจัดวางไว้หลังกระจกหรือในพื้นที่จำลองให้ผู้คนภายนอกเข้ามา “ชม” เราอาจต้องย้อนถามตัวเองว่า การเดินทางครั้งนั้นเราได้ไปเพื่อสัมผัสมนุษย์จริง ๆ หรือเพียงแค่ไปดูการแสดงอีกชุดหนึ่งที่ถูกจัดฉากไว้เพื่อตอบสนองจินตนาการของโลกเมืองใหญ่ การท่องเที่ยวที่ดีไม่ใช่การเดินเข้าไปในหมู่บ้านแล้วถ่ายภาพกลับมาเป็นที่ระลึก แต่คือการเข้าใจว่าเบื้องหลังวิถีชีวิตที่ดูเรียบง่ายนั้น มีประวัติศาสตร์ การต่อรอง และบางครั้งก็มีความเจ็บปวดซ่อนอยู่

แนวคิด Human Zoo ไม่ใช่แค่การเอาคนมาวางไว้ในกรงหรือเวที แต่มันเกิดขึ้นเมื่อผู้คนถูกทำให้กลายเป็นเพียงสิ่งที่น่าสนใจ สำหรับคนภายนอก โดยที่เสียงของพวกเขาเองกลับเบาเกินกว่าจะได้ยิน ดังนั้น คำถามสำคัญที่เราควรถามก่อนจะกดชัตเตอร์หรือแชร์ภาพ คือ เรามองเขาในฐานะมนุษย์ หรือแค่วัตถุแสดง? เพราะสุดท้ายแล้ว วิธีที่เรามอง “คนอื่น” ก็คือกระจกที่สะท้อนว่าเราเป็นใครในโลกที่ซับซ้อนใบนี้

“สิทธิ” ไม่ได้อยู่แค่ในกระดาษ มุมมองจาก ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

อีกหนึ่งมุมมองต่อกรณีนี้ มาจาก ผศ.ดร.สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ศิลปินปกาเกอะญอ และนักวิชาการด้านชาติพันธุ์

“ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า คำว่า Human zoo มันไม่ใช่คำลอย ๆ แต่มันฝังรากลึกอยู่ในประวัติศาสตร์การกดขี่ของมนุษย์”

แม้ว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันจะไม่ได้จัดฉากให้เห็นชัดเจนถึงการใช้เชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ในการจำแนกเชิงลบเช่นนั้น แต่โครงสร้างและวิธีคิดที่อยู่เบื้องหลัง กลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่ากังวล

“มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และสิทธิเสรีภาพในการเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง เมื่อมีใครบางคนถูกจัดวางให้อยู่หลังผนังกระจก ถูกให้ทำกิจกรรมซ้ำ ๆ ในขณะที่ผู้ชมมีอำนาจเลือกดู ชื่นชม หรือบริโภค นั่นคือสัญญาณอันตราย”

อาจารย์ชี้ว่า ความเสมอภาคคือหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน และเมื่อความสัมพันธ์เชิงอำนาจในเหตุการณ์หนึ่ง ๆ วางให้อีกฝ่ายเป็น “ผู้สังเกต” และอีกฝ่ายเป็น “ผู้ถูกสังเกต” โดยไม่มีอำนาจต่อรองหรือสิทธิในการปฏิเสธ โครงสร้างนั้นย่อมสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียม และเข้าข่ายละเมิดสิทธิได้

แม้บุคคลที่ถูกจัดแสดงอาจดูเหมือน “เต็มใจ” แต่ในความเป็นจริง ความเต็มใจนั้นอาจถูกกดทับด้วยเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ หรืออำนาจทางสังคมที่ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เลือกอย่างอิสระ

“ถ้าเขาไม่อยากทำ แต่จำเป็นต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก มันก็ไม่ใช่ ‘ความเต็มใจ’...เพราะฉะนั้น ถ้าเราเห็นคนที่ยิ้มแต่ในใจไม่ได้ยินดี นั่นก็คือการละเมิดศักดิ์ศรีเช่นกัน”

อาจารย์สุวิชานจึงเสนอว่า ควรพิจารณา 5 หลักคิดสำคัญในการประเมินปรากฏการณ์ลักษณะนี้ ได้แก่หลักคิดแรกคือหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะในเรื่องของ “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และ “สิทธิในการเลือกชีวิตของตนเอง” มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในการกำหนดว่าอยากจะปรากฏตัวในพื้นที่สาธารณะในรูปแบบใด และหากปรากฏการณ์นั้นจัดให้คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นวัตถุของความบันเทิงโดยที่เจ้าตัวไม่สมัครใจ หรือทำไปด้วยแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ก็อาจถือว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ประการที่สองคือ แนวคิด Human Zoo หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า “สวนสัตว์มนุษย์” ซึ่งมีรากฐานมาจากยุคอาณานิคมที่ประเทศมหาอำนาจจัดแสดงคนพื้นเมืองในฐานะสิ่งของแปลกใหม่ให้ผู้คนมาดูเพื่อความบันเทิง ไม่ใช่เพื่อเข้าใจหรือเคารพความแตกต่างของพวกเขา แนวคิดนี้ถูกหยิบมาใช้ในการวิพากษ์ปรากฏการณ์ร่วมสมัย เช่น กรณีร้านกาแฟที่มองว่าการทำงานของแรงงานเป็นภาพที่สามารถนำเสนอเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งหากแนวคิดเบื้องหลังคือการวางแรงงานไว้ในตำแหน่ง “สิ่งแปลก” โดยปราศจากการให้เสียงหรืออำนาจในการบอกเล่าตัวตนของพวกเขา ก็ถือว่าเข้าข่าย Human Zoo อย่างชัดเจน

หลักคิดประการที่สามคือการทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า (Commodification of Culture) หมายถึงกระบวนการที่วัฒนธรรม วิถีชีวิต หรือแม้แต่มนุษย์เอง ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งของที่สามารถนำมาขายหรือจัดแสดงเพื่อการบริโภคได้ แนวคิดนี้ชี้ว่า หากกิจกรรมที่เกิดขึ้นในร้านกาแฟนั้นไม่ได้ออกแบบเพื่อส่งเสริมความเข้าใจต่อวิถีชีวิตของแรงงาน แต่เป็นเพียงการนำภาพแรงงานมาใช้เป็นเครื่องมือเชิงพาณิชย์ ย่อมลดทอนคุณค่าของวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ลงให้เหลือเพียงภาพผิวเผินที่ถูกซื้อขายในระบบเศรษฐกิจ

ประการที่สี่คือหลักเรื่องอำนาจในการต่อรองของมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมเชิงธุรกิจลักษณะนี้ หากคนในพื้นที่ เช่น แรงงาน ไม่มีสิทธิร่วมออกแบบ วางแผน หรือกำหนดบทบาทของตนเองเลยในการจัดวางพื้นที่ ย่อมแสดงถึงความไม่สมดุลของอำนาจในเชิงโครงสร้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การกดทับและทำให้พวกเขากลายเป็นเพียง “ผู้ถูกควบคุม” แทนที่จะเป็น “ผู้มีส่วนร่วม” การที่ผู้ประกอบการตัดสินใจทั้งหมดโดยลำพัง โดยไม่ได้พูดคุยหรือรับฟังจากแรงงาน ก็สะท้อนถึงการลดทอนอำนาจต่อรองของพวกเขาอย่างชัดเจน

หลักคิดสุดท้ายคือแนวทางการพัฒนาอย่างมีจริยธรรม ซึ่งเป็นการตั้งคำถามต่อวิธีการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจว่ามีการออกแบบที่สอดคล้องกับจริยธรรม ความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมของชุมชนหรือไม่ การเรียนรู้วัฒนธรรมที่แท้จริงไม่ควรเกิดขึ้นเพียงผ่านการมอง แต่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์ ต้องมีพื้นที่ให้แรงงานได้เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เพียงการถูกสังเกตจากผู้บริโภค ในลักษณะที่ผู้ชมเป็น “ผู้ซื้อ” ส่วนแรงงานกลายเป็น “สินค้า” วิธีคิดแบบนี้คือการย้อนกลับไปสู่ Human Zoo อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

อาจารย์ได้เน้นย้ำในช่วงท้ายว่า แม้จะไม่สามารถฟันธงเจตนาของผู้ประกอบการได้แน่ชัดว่าเขาตั้งใจจะละเมิดหรือไม่ แต่กระบวนการที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ กลับเปิดช่องให้เข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นการจัดแสดงมนุษย์เพื่อการบริโภค หากผู้ประกอบการมีเจตนาจะทำให้พื้นที่นี้เป็นแหล่งเรียนรู้จริง ๆ จำเป็นต้องกลับไปออกแบบใหม่ทั้งหมด ให้เกิดการมีส่วนร่วมที่แท้จริงจากแรงงาน ให้พวกเขาได้ลงมืออธิบาย ถ่ายทอด และเลือกบทบาทของตนเอง การทำเพียงแค่ “โชว์ภาพ” โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ เป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ไม่ต่างจากการวางมนุษย์ไว้หลังตู้กระจก และนั่นไม่ใช่การเรียนรู้ แต่มันคือการทำให้ “คน” กลายเป็น “สิ่งของ”

#IMNVOICES

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1209566131175984&set=a.505732428226028