
งานวิจัยแคนาดาเผย โพสต์ 'เจ๊จุกคลองสาม' ปรากฎอยู่ในเอกสาร 'ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา' ของไอโอ
23 เมษายน 2568
ประชาไท
เพจ "เจ๊จุกคลองสาม" ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยโดยมีเจตนาซ่อนเร้น เป็นตัวอย่างไอโอหรือปฏิบัติการชักจูงซึ่งมีผู้ติดตามจริงบน Xและ Facebook หลักแสนคน คณะผู้วิจัยด้านสิทธิพลเมืองระบุว่ากรณีที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก แต่เป็นอันตรายต่อภาคประชาสังคมอย่างยิ่ง หลังได้หลักฐานเพิ่มเติมจากเอกสารลับที่รั่วไหลเมื่อ มี.ค. ที่ผ่านมา คณะผู้วิจัยค่อนข้างมั่นใจว่าเพจนี้มีความเชื่อมโยงกับฝ่ายความมั่นคงของรัฐ โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ในรายงานเรื่อง "วิธีการที่เจ้าหน้าที่รัฐเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวเพื่อปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยในไทย”จัดทำโดย อัลแบร์โต ฟิตตาเรลลี เอ็ม สก๊อต และเกศกนก วงษาภักดี เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 68ในนามของ The Citizen Lab ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยของ Munk School of Global Affairs and Public Policy มหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา มีข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ
รายงานฉบับนี้พูดถึงไอโอหรือปฏิบัติการชักจูง ซึ่งคณะผู้วิจัยให้ความสำคัญกับเพจในเครือของ 'เจ๊จุกคลองสาม' หรือคณะผู้วิจัยเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า JUICYJAM โดยยกให้เป็นกรณีตัวอย่างของ "ปฏิบัติการคุกคามทางโซเชียลมีเดียและการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว (doxxing) อย่างเป็นระบบที่โจมตีฝ่ายประชาธิปไตยในไทย" โดย "ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและไร้การสกัดยับยั้งใดๆ อย่างน้อยตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563”
"เราค้นหาปฏิบัติการบนโซเชียลมีเดียหลายๆ กรณีเพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับการวิจัย และเลือกมาเพียง 1 กรณี ซึ่งดูเหมือนจะแสดงให้เห็นลักษณะของปฏิบัติการชักจูง ที่มีทรัพยากรสนับสนุน และมีการประสานกันงานเป็นอย่างดี" คณะผู้วิจัยระบุในรายงาน
"เราเริ่มจากการสืบสวนร่องรอยของการปฏิบัติการ กลยุทธ์ และหาข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับต้นตอ เราตั้งชื่อรหัสปฏิบัติการ[ของไอโอเจ๊จุกคลองสาม]นี้ว่า JUICYJAM"
ปรากฏใน 'ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา'
ปฏิบัติการในเครือของเจ๊จุกคลองสามย้อนกลับไปได้ไกลสุดในเดือน ส.ค. 2563 โดยเริ่มจากการสร้างบล็อกบน Wordpress และ Blogger และเผยแพร่ภาพและข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคล 2 ราย ซึ่งถูกอ้างว่ามีส่วนร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วยชื่อสมาชิกครอบครัว โรงเรียนสังกัด ชื่อและสถานที่ของธุรกิจที่ครอบครัวเป็นเจ้าของ
แม้บล็อกดังกล่าวจะไม่ได้มีการอัปเดตข้อมูลอีกนับจากนั้น แต่อัตลักษณ์ของเจ๊จุกคลองสามยังคงดำเนินเรื่อยมา ดังเห็นได้จากบัญชีทวิตเตอร์ที่เปิดเมื่อ ก.ย. 2563 ซึ่งใช้ชื่อเดียวกัน และใช้รูปบิ๊กมัมจากอนิเมะเรื่องวันพีซเป็นภาพโปรไฟล์ ตามมาด้วยการเปิดเพจและกลุ่มบนเฟซบุ๊ก เพจในเครือเจ๊จุกคลองสามมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติการเพจระบุว่าตนเองเป็นหญิงวัยกลางคน ประกอบอาชีพเจ้าของโรงงาน เคยมีส่วนร่วมกับการประท้วง แต่ต่อมาไม่สบายใจกับการกระทำของผู้ประท้วงจึงทำการแปรพักตร์
คณะผู้วิจัยตรวจสอบพบว่า อัตลักษณ์ของเจ๊จุกคลองสามไม่น่าจะเป็นของบุคคลจริง เนื่องจากไม่มีข้อมูลใดที่ผู้โพสต์เผยแพร่แล้วสามารถนำมาใช้ยืนยันอัตลักษณ์ของผู้โพสต์ได้ นอกจากนี้ ภาพและวิดีโอที่นำมาเผยแพร่โดยหลักเหตุผลแล้วก็ไม่น่าจะมาจากบุคคลธรรมดาทั่วไป ตัวอย่างเช่น โพสต์ที่เผยแพร่เมื่อ ธ.ค. 2563 ผู้ปฏิบัติการอ้างว่า "ให้ลูกน้องถ่ายมา" แต่มุมที่ถ่ายวิดีโอปรากฏว่ามาจากบริเวณศูนย์กลางของหน่วยตำรวจควบคุมฝูงชนขณะปฏิบัติการกำลังสลายการชุมนุม เช่นเดียวกับโพสต์เมื่อ ม.ค. 2564 ซึ่งวิดีโอถ่ายมาจากหลังแนวตำรวจ

โพสต์ที่เผยแพร่เมื่อ ธ.ค. 2563 ผู้ปฏิบัติการอ้างว่า "ให้ลูกน้องถ่ายมา" แต่มุมที่ถ่ายวิดีโอปรากฏว่ามาจากบริเวณศูนย์กลางของหน่วยตำรวจควบคุมฝูงชนขณะปฏิบัติการกำลังสลายการชุมนุม

โพสต์เมื่อ ม.ค. 2564 ซึ่งวิดีโอถ่ายมาจากหลังแนวตำรวจ
เนื่องจากโพสต์ของ JUICYJAM มักมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของตำรวจ ต่างจากเพจอื่นๆ ซึ่งประชาสัมพันธ์การทำงานของกองทัพ คณะผู้วิจัยจึงคาดว่าผู้ปฏิบัติการน่าจะมีความเชื่อมโยงกับฝ่ายตำรวจมากกว่าทหาร แม้จะบูรณาการหน่วยงานเป็นทีมไซเบอร์แล้วก็ตาม ในประเด็นนี้ ผู้สื่อข่าวตรวจสอบเพิ่มเติมล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เม.ย. พบว่าเจ๊จุกคลองสามเพิ่งโพสต์ประชาสัมพันธ์ตำรวจบนแพลตฟอร์ม X ว่า "ตำรวจไทยใจดีและน่ารักที่สุดละ #สงกราน2568" เมื่อ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา
หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด เมื่อ มี.ค. 68 ชยพล สท้อนดี ส.ส. พรรคประชาชน ได้อภิปรายเกี่ยวกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของฝ่ายความมั่นคงที่มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และได้มีการเผยแพร่เอกสารซึ่งเป็นหลักฐานใหม่บนเฟซบุ๊ก ชยพลอ้างว่าได้มาจากเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจผู้รักประชาธิปไตย แม้คณะผู้วิจัยไม่สามารถพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยได้ทั้งหมดว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ แต่คณะผู้วิจัยระบุว่าเป็นหลักฐานมีน้ำหนักอย่างมากคณะผู้วิจัยตรวจสอบเอกสารดังกล่าวพบว่าโพสต์หนึ่งของเจ๊จุกคลองสามเรื่อง "แค่แต่งชุดไทยก็โดนคดี 112 ได้จริงหรือไม่" ปรากฏอยู่ในสไลด์เรื่อง "ตอบโต้การบิดเบือนโดยใช้วาทกรรม" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารภายในชื่อ "ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา สิงหาคม 67" ของทีมไซเบอร์


โพสต์ของเจ๊จุกคลองสามปรากฏในเอกสาร "ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา สิงหาคม 67"
ในสไลด์ถัดมาเรื่อง "เชื่อมโยง 'นิว' จตุพร แซ่อึง กับแกนนำพรรคก้าวไกล" พบว่ามีโพสต์ของเจ๊จุกคลองสามปรากฏอยู่เช่นกัน ปฏิบัติการชักจูงเหล่านี้เป็นฟันเฟืองหนึ่งที่ทำงานร่วมกับกลไกความมั่นคงและตุลาการอื่นๆ ของรัฐ นิว จตุพร แซ่อึง ถูกศาลอุทธรณ์สั่งจำคุกตามมาตรา 112 เป็นเวลา 2 ปี ไม่รอลงอาญา ในข้อหาล้อเลียนสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี จากการแต่งชุดไทยในการประท้วง ปัจจจุัน เธอได้รับการประกันตัวชั่วคราวในชั้นศาลฏีกา และอยู่ระหว่างลี้ภัยในต่างประเทศ


โพสต์ของเจ๊จุกคลองสามปรากฏในเอกสาร "ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา สิงหาคม 67"
นอกจากประเด็นเกี่ยวกับจตุพรแล้ว ในเอกสาร 'ยุทธศาสตร์ฝ่ายเรา ตุลาคม 67’ ยังมีข้อมูลอีกหลายส่วนที่ไปปรากฏอยู่ในโพสต์ของเพจเจ๊จุกคลองสาม เช่น การพุ่งเป้าโจมตีหนังสือในนามความมั่นคงภายในของ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ (โพสต์นี้ปรากฏในเอกสารหน้า 5) การบั่นทอนภาพลักษณ์ของภานุพงษ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง (โพสต์นี้และโพสต์นี้ปรากฏในเอกสารหน้า 4) และการเสียดสีข้อเสนอให้นิรโทษกรรมผู้ประท้วงที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 (โพสต์นี้ ปรากฏในเอกสารหน้า 5)
"การคัดลอกทวีตของ @jjookklong3 มาแบบคำต่อคำในรายงานภายในที่มีการจัดทำเป็นประจำ เกี่ยวกับยุทธวิธีของไอโอซึ่งดำเนินการโดย “ทีมไซเบอร์”ซึ่งทำงานประสานกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ นั้น แทบไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลอื่นใด นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าบัญชีนี้ และการปฏิบัติการทั้งหมดด้วยนั้น ดำเนินการโดยทีมไซเบอร์เอง" คณะผู้วิจัยระบุ
เครือของเจ๊จุกคลองสามนั้น 'ต่างจากปฏิบัติการชักจูงหลายๆ อัน' ซึ่งมีผลกระทบต่ำ และไม่ได้รับความสนใจ คณะผู้วิจัยระบุว่าปฏิบัติการ JUICYJAM มีผู้ติดตามส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้จริง บนแพลตฟอร์ม Xมีผู้ติดตามเกือบ 110,000 คน แต่ละโพสต์มักมียอดผู้ชมสูงกว่า 15,000 ครั้งขึ้นไป บางครั้งสูงถึง 50,000 ครั้ง ทั้งยังมียอดกดไลค์ การตอบ และการรีโพสต์อย่างสม่ำเสมอ ส่วนเพจในเครือและกลุ่มบนเฟซบุ๊กมีผู้ติดตามรวมกันกว่า 133,000 คน เฉลี่ยแล้วแต่ละโพสต์มีผู้ใช้กดแสดงอารมณ์หลายร้อยครั้งและพิมพ์ความคิดเห็นหลายสิบความเห็น
แบบแผนปฏิบัติการ
คณะผู้วิจัยระบุว่าแบบแผนการปฏิบัติการของ JUICYJAM ตอบโต้เรื่องเล่าของผู้ประท้วงผ่านการ (1.) เบี่ยงเบนความสนใจของผู้ฟังไปยังข้อถกเถียงที่หาคำอธิบายมาป้องกันได้ แทนที่จะให้ความสนใจไปที่การจับกุมหรือการดำเนินคดีกับเป้าหมาย และ (2.) ทำลายความน่าเชื่อถือของเป้าหมายด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เชื่อมโยงเป้าหมายกับกลุ่มองค์กรต่างๆ และใส่ร้ายป้ายสีว่าเป้าหมายเป็นอันธพาลหรืออาชญากรรม
ปฏิบัติการชักจูงเหล่านี้มักเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ประท้วงผ่านทวีต ยุยงให้ผู้ติดตาม "ไปเยี่ยม" เป้าหมาย ครอบครัวของเป้าหมาย หรือสถานที่ทำงานของเป้าหมาย บางครั้งเป้าหมายอาจถูกทำร้ายร่างกายโดยบุคคลไม่ทราบฝ่ายหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงก่อนหรือหลังมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และเมื่อเป้าหมายถูกข่มขู่ ทำลายความน่าเชื่อถือแล้ว เป้าหมายจะถูกกลั่นแกล้งทางกฎหมายผ่านการจับกุมดำเนินคดีและการกักขังในข้อหาต่างๆ
กรณีของอิทธิกร ทรัพย์แฉ่ง สะท้อนแบบแผนปฏิบัติการของรัฐได้เป็นอย่างดี วันที่ 20 มี.ค. 2564 อิทธิพลเข้าร่วมการประท้วง REDEM จัดโดยกลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free Youth) และกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (DRG) ในกรุงเทพมหานคร ในคืนวันเดียวกัน เขาถูกทำร้ายร่างกายอย่างโหดร้ายโดยชายชุดดำ ตำรวจอ้างว่าไม่สามารถระบุตัวคนร้ายได้เนื่องจากกล้องเสีย
ต่อมา 2 พ.ค. 2564 อิทธิกรเข้าร่วมการประท้วง REDEM อีกครั้ง ในวันเดียวกัน เจ๊จุกคลองสามโพสต์ภาพของชายคนหนึ่งสวมหมวกกันน็อก รูปพรรณสัณฐานเหมือนอิทธิกรอย่างมาก แต่งกายในชุดเหมือนกับอิทธิกรในวันที่เขาถูกทำร้ายเมื่อ 20 มี.ค. 2564 วันที่ 14 พ.ค. 2564 เขาถูกฟ้องร้องรวม 5 ข้อหา ได้แก่ ข้อหามั่วสุม สร้างความวุ่นวาย ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ ฝ่าฝืน พ.ร.บ. ฉุกเฉิน และฝ่าฝืน พ.ร.บ. ควบคุมการโฆษณา
อีกตัวอย่างของแบบแผนปฏิบัติการนี้คือกรณีของวีรภาพ วงษ์สมาน หรืออารีฟ ซึ่งถูกเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยเจ๊จุกคลองสามเมื่อ 26 มี.ค. 2564 หลังเข้าร่วมการประท้วง REDEM ในวันที่ 20 มี.ค. ต่อมาเขาตกเป็นเป้าหมายของเจ๊จุกคลองสามบ่อยครั้ง โดยถูกระบุตัวในภาพตามการประท้วงต่างๆ ในเดือนพฤษภาคม กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2564 ต่อมาเขาถูกจับกุมจากการประท้วง และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายในสถานีตำรวจดินแดง ในเดือน ก.ย. 2566 วีรภาพถูกศาลสั่งจำคุก 3 ปีตามมาตรา 112 และยังไม่ได้ประกันตัวแม้ยื่นขอไปแล้วหลายครั้ง
ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่าปฏิบัติการของเจ๊จุกคลองสามมีความคล้ายคลึงกับปฏิบัติการในฮ่องกง ซึ่งความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนสูง มีเป้าหมายคือการทำให้การเข้าร่วมกิจกรรมเคลื่อนไหวมีราคาต้องจ่ายแพงเท่าที่จะแพงได้ โดยผู้ปฏิบัติการ "ดำเนินการหลายอย่างพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีทางข้อมูลเพื่อทำลายชื่อเสียง การข่มขู่ การใช้ความรุนแรงที่ผิดกฎหมาย และการกลั่นแกล้งทางกฎหมาย"
นอกจากเจ๊จุกคลองสามแล้ว คณะผู้วิจัยระบุว่ายังมีตัวแสดงในโซเชียลมีเดียอื่นๆ ของรัฐอีกมากที่่ช่วยแพร่กระจายเนื้อหา และสร้างเนื้อหาของตัวเองในลักษณะเดียวกัน นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังพบด้วยว่า "มีสำนักข่าวอย่างน้อย 1 ช่องที่ขยายผลและโฆษณาชวนเชื่อโพสต์เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของ JUICYJAM ทั้งในการออกอากาศและโซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ"
"แม้ว่า JUICYJAM เป็นปฏิบัติการของตัวละครที่มีอัตลักษณ์ปลอมอย่างชัดเจน แต่ปฏิบัติการนี้ได้รับการสนับสนุนข้อมูลและเนื้อหาที่มีเฉพาะหน่วยงานของรัฐเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ ฉากบังหน้าที่เปิดช่องให้สามารถปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้อย่างแนบเนียนนั้น เพียงพอที่จะทำให้ปฏิบัติการดำเนินต่อเนื่องไปได้หลายปี ก่อนจะถูกเปิดโปงว่ามีความเชื่อมโยงกับทางการไทย และในขณะนี้ก็ยังไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าการดำเนินการเหล่านี้จะยุติลง"
ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มยังละเลย
แม้ที่ผ่านมาผู้ให้บริการแพลตฟอร์มจะเคยปราบปรามปฏิบัติการชักจูงลงได้บ้าง เช่น กรณีที่ทวิตเตอร์ (ชื่อเรียกในขณะนั้น) ทำการลบบัญชีไอโอของกองทัพไทยกว่า 926 บัญชี เมื่อ ต.ค. 2563 แต่ปฏิบัติการชักจูงโดยรัฐก็ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง กรณีของ JUICYJAM สะท้อนให้เห็นว่าผู้ให้บริการแพลตฟอร์มยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากช่องโหว่ด้านนโยบาย ด้านช่องทางการร้องเรียน และด้านการบังคับใช้กติกาที่ตั้งไว้
ในช่วงให้หลัง สถานการณ์ยิ่งไม่สู้ดีเมื่อผู้ให้บริการแพลตฟอร์มยกเลิกโครงการด้านความปลอดภัยและสุขภาวะต่างๆ เพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ ผู้ให้บริการยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับบริบททางการเมือง สถานการณ์ของการประท้วง และการปราบปรามผู้เห็นต่างในประเทศไม่เสรีและความไม่สมดุลทางอำนาจระหว่างรัฐและพลเมือง สวนทางกับรัฐที่มีขีดความสามารถในด้านปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แพลตฟอร์ม X มีนโยบายด้านข้อมูลส่วนบุคคลระบุว่า "ห้ามข่มขู่ว่าจะเปิดเผย สร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่นเปิดเผย หรือเผยแพร่ หรือโพสต์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น โดยไม่ได้รับมอบอำนาจหรือได้รับอนุญาตอย่างชัดแจ้ง หรือแบ่งปันสื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม การแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นบนพื้นที่ออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งบางครั้งเรียกว่า 'doxxing’ เป็นการฝ่าฝืนความเป็นส่วนตัว และสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและความมั่นคงของผู้ได้รับผลกระทบ"
แม้จะกำหนดนโยบายไว้ แต่การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ๊จุกคลองสามยังคงดำเนินเรื่อยมา สะท้อนให้เห็นปัญหาของการบังคับใช้กติกาที่ X เป็นผู้กำหนดไว้เอง
ด้าน Facebook คณะกรรมการกำกับดูแลซึ่งมีอำนาจเพียงให้ข้อเสนอแนะ ไม่สามารถลงมติมีผลผูกพันธ์ได้ เคยจัดทำข้อเสนอให้บริษัทเปิดช่องทางร้องเรียนเฉพาะสำหรับเหยื่อจากการถูกเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล สนับสนุนเงินแก่องค์กรที่มีสายด่วนรับเรื่องร้องเรียน และให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือกลุ่มความเสี่ยงสูง แต่บริษัท ปฏิเสธที่จะดำเนินการ โดยอ้างว่าปัจจุบันมีความร่วมมือกับหุ้นส่วนในประเด็นเหล่านี้อยู่แล้วทั่วโลกกว่า 850 แห่ง
ข้อเสนออีกประการหนึ่งของคณะกรรมการฯ ต้องการให้บริษัทกำหนดว่าการฝ่าฝืนนโยบายความเป็นส่วนตัวถือเป็นความผิด "ร้ายแรง" เพื่อนำไปสู่การระงับบัญชีชั่วคราว ในกรณีที่การเผยแพร่ข้อมูลที่อยู่ส่วนบุคคลเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ส่อเจตนาร้ายและอาจนำไปสู่ความรุนแรงและการกลั่นแกล้งคุกคาม ข้อมูลล่าสุดเมื่อ 12 มิ.ย. 2566 ข้อเสนอนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของ "การศึกษาความเป็นไปได้" และไม่มีวี่แววว่าจะคืบหน้าเนื่องจาก “ไม่มีอัปเดตเพิ่มเติม" และ "ไม่มีการดำเนินการเพิ่มเติม"
แม้จะมีข้อบกพร่องมากมาย แต่บางครั้งผู้ให้บริการก็ประสบความสำเร็จในการใช้บังคับใช้นโยบาย เช่น กรณีที่กูเกิ้ลลบหมุดแผนที่จำนวน 2 แห่ง ซึ่งระบุพิกัดที่อยู่อาศัยและชื่อของนักกิจกรรม ที่ถูกกล่าวหาโดยฝ่ายนิยมเจ้าว่าต่อต้านสถาบัน หมุดแผนที่ดังกล่าวเผยแพร่โดยทีมงานปกป้องสถาบันของทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม ซึ่งต้องการให้ตำรวจดำเนินคดีกับคนต่อต้านสถาบัน คณะวิจัยพบด้วยว่าแฮชแทก #CaptainPooKhem น่าจะถูกบล็อกโดยเฟซบุ๊ก เนื่องจากไม่ปรากฏผลสืบค้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยังคงสามารถโพสต์แฮกแทชดังกล่าวได้ตามปกติ เช่น ในการรายงานข่าวของเนชั่น
เมื่อ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา คณะผู้วิจัยได้ส่งอีเมลไปหา Meta และ X เพื่อถามคำถาม และเสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น การจัดตั้งสายด่วนเพื่อรับเรื่องร้องเรียน การใช้เครื่องมือเพื่อค้นหาและปราบปรามเครือข่ายที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลที่ประสานงานอย่างเป็นระบบ พัฒนาเครื่องมือเพื่อคุัมครองภาคประชาสังคมจากการถูกเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล และตรวจสอบการมีอยู่และกิจกรรมของเครือข่ายที่เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นโดยให้ความสำคัญกับประเทศไม่เสรีก่อน จนถึงขณะที่ทำการรายงาน ยังไม่มีการตอบกลับจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
https://prachatai.com/journal/2025/04/112689
อ่านต่อ
https://x.com/jjookklong3/status/1386623136620187655?s=20&t=24CVjQbqVnT9HpQ7DcLv0w
https://x.com/Son0fThorN/status/1914993810398126410
https://x.com/Son0fThorN/status/1914993810398126410
🔥📌มาแหก เจ๊จุกกันครับ
— DEM@𝕏 (@Son0fThorN) April 23, 2025
1.จากทวิตนี้คุณเห็นอะไรบ้างhttps://t.co/qL8QpfY3WG https://t.co/yUvO9ALF3c