วันเสาร์, เมษายน 26, 2568

ทุนจีนสีเทาทำงานอย่างไร ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มทุน





สังคมแบบใดเปิดทางให้ ‘ทุนจีนสีเทา’ ? เครือข่ายอำนาจจีน-ไทย ระบบอุปถัมภ์ และอาชญากรรมในคราบความร่วมมือ


ณัชชา สินคีรี 
25 Apr 2025
101 World

‘ทุนจีนสีเทา’ กลายเป็นคำคุ้นหูในสังคมไทยตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยหมายรวมถึงการทำธุรกิจที่มีความคลุมเครือและผิดกฎหมายของกลุ่มนักลงทุนชาวจีนในประเทศไทย เช่น การฟอกเงิน การค้ายาเสพติด การพนันออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ การกว้านซื้อและปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ให้คนจีน โดยมีฉากหน้าเป็นการทำธุรกิจถูกกฎหมายทั่วไป อย่างเช่นโรงแรม หรือร้านอาหาร

ข้อสังเกตประการหนึ่งของทุนจีนสีเทา คือเรื่องความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐไทย อย่างกรณีของ ‘ตู้ห่าว’ (ชัยณัฐ กรณ์ชายานันท์) นักธุรกิจชาวจีนผู้มีภรรยาเป็นตำรวจหญิงระดับพันตำรวจเอก และใช้เส้นสายของภรรยาติดสินบนเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากคดียาเสพติดและฟอกเงิน คดีของตู้ห่าวไม่ใช่กรณีเดียว แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เผยให้เห็นการแทรกซึมของกลุ่มทุนลักษณะเดียวกัน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองออกวีซ่าปลอมให้เครือข่ายเหล่านี้

คำถามสำคัญคือ ทุนจีนสีเทาเหล่านี้เติบโตและฝังตัวอยู่ในประเทศไทยได้อย่างไร?

เกรกอรี วินเซนต์ เรย์มอนด์ (Gregory V. Raymond) นักวิชาการจาก Strategic and Defence Studies Centre มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เจ้าของบทความวิจัย Explaining ‘Grey Capital’: The Sociology of Transnational Chinese Companies and Crime in Thailand ใช้กรอบคิดทางสังคมวิทยาเพื่ออธิบายโครงสร้างสังคมของจีนและไทยที่เอื้อต่อการเติบโตของกลุ่มทุนจีนสีเทา

คำอธิบายดังกล่าวคือ social isomorphism หรือการมีลักษณะโครงสร้างสังคมคล้ายคลึงกันภายใต้เงื่อนไขคล้ายกัน โดยเรย์มอนด์เสนอว่าทั้งไทยและจีนต่างมีวัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์แบบ neo-patrimonialism และความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการระหว่างทุนกับรัฐ เปิดช่องให้กลุ่มทุนสามารถสวมบทบาทนักธุรกิจถูกกฎหมายและอาชญากรข้ามชาติในเวลาเดียวกัน

ในบทความ Explaining ‘Grey Capital’ นี้ เรย์มอนด์แบ่งเนื้อหาออกเป็นสามส่วนหลัก ส่วนแรกคือ Political Isomorphism: Informality, Neopatrimonialism and Corruption in China and Thailand เป็นการอธิบายโครงสร้างอำนาจและระบบอุปถัมภ์ในจีนและไทย ส่วนที่สองคือ Case Study: Wang Hongbin in Thailand นักลงทุนชาวจีนที่เป็นตัวอย่างสำคัญของทุนจีนสีเทา และส่วนสุดท้ายคือส่วนสรุป

Political Isomorphism: เมื่อโครงสร้างสังคมเปิดทางให้ทุนสีเทา

แน่นอนว่าความสัมพันธ์ไทย-จีนดำเนินมายาวนาน แต่การหลั่งไหลของทุนจีนเริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงที่จีนเริ่มมียุทธศาสตร์ Going Out ซึ่งคือการสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองด้วยการการค้าขายและลงทุนในต่างประเทศ และมียุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) เพื่อเชื่อมจีนกับทั่วโลก การที่ทุนจีนเข้ามาในไทยนับตั้งแต่นั้นอาจมีความเกี่ยวโยงกับนโยบายดังกล่าวของจีนนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เรย์มอนด์ชี้ให้เห็นว่าการที่ทุนจีนไหลบ่าเข้าไปในประเทศต่างๆ อาจไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากตัวแสดงอย่างนักลงทุนชาวจีนเพียงเท่านั้น แต่ประเทศปลายทางเองก็มีผลด้วยเช่นกัน โดยในส่วนนี้ของบทความ เรย์มอนด์ได้อธิบายโครงสร้างลักษณะความสัมพันธ์ของทั้งไทยและจีน ดังนี้

‘ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ’ ในแวดวงธุรกิจและการเมืองของจีน มักก่อตัวขึ้นจากการเกื้อหนุนกันในสายสัมพันธ์ส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นสายสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ เครือญาติ หรือการเรียนในสถาบันเดียวกัน วัฒนธรรมนี้เรียกว่า ‘กวานซี่’ ส่วนในไทยก็มีเครือข่ายไม่เป็นทางการคล้ายกัน โดยเฉพาะในกองทัพที่ความสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้องจากสถาบันเช่นโรงเรียนเตรียมทหารหรือโรงเรียนนายร้อย

เรย์มอนด์อธิบายว่าระบบอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการ และการคอร์รัปชัน ส่งผลต่อความพร่าเลือนของเส้นแบ่งระหว่างสามเครือข่าย ได้แก่ (1) รัฐกับธุรกิจที่ถูกกฎหมาย (2) ธุรกิจที่ถูกกฎหมายกับธุรกิจผิดกฎหมาย และ (3) รัฐกับอาชญากรรม

1) ความเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับธุรกิจที่ถูกกฎหมาย

จีน: เมื่อเศรษฐกิจภาคเอกชนเติบโตขึ้นในยุคปฏิรูปเศรษฐกิจ กลุ่มลูกหลานของอดีตผู้นำการปฏิวัติ (princeling) ก็ได้ฉวยใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับธุรกิจเอกชนที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเข้าครองตำแหน่งในระดับรัฐบาลท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ และสถาบันการเงิน ทำให้พวกเขาสามารถสร้างเครือข่ายระหว่างการเมืองและธุรกิจได้ เห็นได้ชัดถึงสายสัมพันธ์ระหว่างทุนกับรัฐ

ไทย: ในยุคสงครามเย็น สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในไทยและให้ความช่วยเหลือทางการทหารและการเงิน นายทหารระดับสูงของไทยจึงเสมือนว่ารับบทนักธุรกิจโดยใช้โอกาสนี้แสวงหาผลประโยชน์จากการจัดซื้ออาวุธและโครงการของรัฐ เช่นเดียวกับการสร้างสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเครือข่ายตระกูลนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน โดยที่ทหารถือหุ้นหรือตำแหน่งบริหาร แลกกับธุรกิจได้รับการคุ้มครอง การประสานผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐกับนายทุนจึงเกิดขึ้นได้ด้วยเงื่อนไขที่ว่ามานี้

2) ความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจที่ถูกกฎหมายกับธุรกิจผิดกฎหมาย

จีน: เส้นแบ่งระหว่างธุรกิจถูกกฎหมายกับผิดกฎหมายในบางพื้นที่นั้นพร่าเลือน การบังคับใช้กฎระเบียบจากรัฐบาลกลางที่ไม่คงเส้นคงวา อย่างกรณี ตง เล่อเฉิง นักธุรกิจในมณฑลยูนนานที่ทำธุรกิจทั้งผิดและถูกกฎหมาย โดยเริ่มจากคาสิโน ก่อนขยับขยายไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสายการบิน เขารอดจากโทษทางกฎหมายได้เพราะมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหนุนหลัง ซึ่ง Pei Minxin นักรัฐศาสตร์ชาวจีนอเมริกันเสนอว่าเครือข่ายเช่นนี้อาจนำไปสู่การเกิด ‘รัฐมาเฟียท้องถิ่น’ ได้

ไทย: ไทยมีวัฒนธรรม ‘ผู้มีอิทธิพล’ นักการเมืองท้องถิ่น กลุ่มมาเฟีย หรือกลุ่มทุน มีบทบาทควบคุมพื้นที่ด้วยอำนาจที่อยู่นอกเหนือกฎหมาย ผลสำรวจปี 1998 ชี้ว่าเศรษฐกิจใต้ดินจากธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด อาวุธ การพนัน หรือหวยใต้ดิน มีส่วนในระบบเศรษฐกิจไทยมหาศาล โดยเฉพาะหวยใต้ดินที่มีเงินหมุนเวียนราวแสนล้านบาทต่อปี และกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเครือข่ายนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐ เห็นได้ว่าธุรกิจที่ผิดกฎหมายนั้นรวมเข้าไปอยู่ในรายได้ของไทยไม่ต่างจากธุรกิจถูกกฎหมายทั่วไป

3) ความเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับอาชญากรรม

จีน: เจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มอาชญากรไม่ได้แค่จับมือกันคอร์รัปชันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่บางครั้งเจ้าหน้าที่รัฐก็ใช้กลุ่มอาชญากรเป็นเครื่องมือสนองวัตถุประสงค์ของรัฐโดยตรง เช่น การใช้กลุ่มอันธพาลไล่ชาวบ้านที่ต่อต้านโครงการพัฒนาพื้นที่ หรือพรรคก๊กมินตั๋งใช้กลุ่มมาเฟีย Green Gang และ 14K ต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

นอกจากนี้ จนถึงปัจจุบันจีนก็ยังมีกรมงานแนวร่วม (United Front Work Department: UFWD) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าใช้เครือข่ายชาวจีนโพ้นทะเลแทรกแซงประเทศอื่นๆ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรมนี้ก็เช่น หยู ซินฉี นักธุรกิจที่พัวพันกับทุนจีนสีเทาในไทย

ไทย: ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับอาชญากรรมในไทยมีมายาวนานในเรื่องการคอร์รัปชัน โดยเฉพาะยุคสงครามเย็นที่ไทยเป็นฐานยุทธศาสตร์ให้สหรัฐฯ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, เผ่า ศรียานนท์, ผิน ชุณหะวัณ ต่างก็พัวพันกับกลุ่มทุนจีนแต้จิ๋วที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด พวกเขาร่วมมือกับสำนักข่าวกรองกลาง (CIA) และพรรคก๊กมินตั๋งเพื่อโค่นพรรคคอมมิวนิสต์จีน และตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เครือข่ายความร่วมมือเช่นนี้ยังขยายไปสู่ชนชั้นนำในลาว อาชญากรรายเล็กๆ ในรัฐฉาน และเจ้าหน้าที่รัฐไทย ทำให้กลุ่มทุนจีนในภูมิภาคแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

การสร้างความชอบธรรมและระบบอุปถัมภ์ข้ามพรมแดน

เมื่ออยู่บนเส้นอันพร่าเลือนระหว่างธุรกิจถูกกฎหมาย ผิดกฎหมาย และอำนาจรัฐ สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้อยู่รอด ดังนั้นนักธุรกิจจีนจึงจำเป็นต้องสร้างความชอบธรรม (legitimacy) ให้ตัวเองในบริบทการเมืองระดับชาติที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะในจีน อย่างแคมเปญปราบปรามคอร์รัปชันของสี จิ้นผิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่รัฐและนักธุรกิจผิดกฎหมายจำนวนมาก ดังนั้นการมีฐานสนับสนุนและพึ่งพากันในท้องถิ่นจึงเป็นเกราะป้องกันที่สำคัญ นักธุรกิจบางรายจึงเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค หรือแสดงออกว่าผูกพันกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและศาสนาเพื่อให้ชุมชนยอมรับ

ในระดับที่ใหญ่กว่าภูมิภาค คือการขยายธุรกิจข้ามพรมแดน นักธุรกิจเหล่านี้จึงมักต้องอาศัยผู้มีอำนาจในพื้นที่ของประเทศนั้นๆ เป็นผู้หนุนหลัง เช่น เฉอ เจ้อเจียง ประธานกรรมการบริหาร ยาไท่ อินเตอร์เนชันแนล โฮลดิ้ง กรุ๊ป ที่ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษชเวโก๊กโก่ในเมียนมา ก็สร้างสายสัมพันธ์อันดีกับผู้นำทหารชายแดนกะเหรี่ยงและนักการเมืองท้องถิ่น

นอกเหนือจากนั้น อีกกลยุทธ์สำคัญคือการทำให้กิจการในต่างแดนดูมีคุณค่าต่อมาตุภูมิ นักธุรกิจเหล่านี้จึงมักแสดงความรักชาติ โดยการบริจาคเงินให้หน่วยงานรัฐ หรือโครงสร้างพื้นฐานในบ้านเกิด

อิงจากข้อสรุปของเรย์มอนด์ อาจกล่าวโดยย่อได้ว่าการมีโครงสร้างสังคมคล้ายกันของจีนและไทยตามที่กล่าวมาข้างต้น เปิดช่องให้เครือข่ายธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐมีปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งในลักษณะที่ถูกกฎหมาย ผิดกฎหมาย และการคอร์รัปชัน ช่องว่างระหว่างภาครัฐกับทุนสีเทาจึงอาจไม่ชัดเจน และอาจกลายเป็นพื้นที่ที่จีนใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายของรัฐ

หวัง หงปิน: สายสัมพันธ์ทุนจีนสีเทากับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง

เพื่อทำความเข้าใจปฏิบัติการของทุนจีนสีเทา เรย์มอนด์เจาะลึกกรณีตัวอย่างที่อาจสามารถสะท้อนภาพรวมทุนจีนสีเทาได้ นั่นคือ Wang Hongbin (หวัง หงปิน) นักธุรกิจผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างเครือข่ายอำนาจข้ามชาติ

หวัง หงปิน เป็นนักธุรกิจชาวจีน ซึ่งถือทั้งสัญชาติฝรั่งเศส ลาว จีน และวานูอาตูในช่วงเวลาแตกต่างกัน เขาเป็นอดีตสมาชิกสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีน และอ้างว่าตนเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเสฉวน เขาเคยย้ายไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ก่อนจะมาตั้งรกรากในไทยตั้งแต่ปี 1996 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หวังมีเส้นทางชีวิตที่พัวพันกับทั้งการทูต การเมือง และทุนสีเทาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นักธุรกิจรายนี้เคยจดทะเบียนบริษัท Taixi Investment Group ในปี 2014 โดยใช้ชื่อ อุดม หวัง และใช้เอกสารเป็นหนังสือเดินทางวานูอาตู และก่อตั้งบริษัทชื่อเดียวกันอีกครั้งในปี 2018 ด้วยหนังสือเดินทางลาว

ต่อมาในช่วงปี 2018-2019 เขาใช้บริษัทที่จดทะเบียนในไทยชื่อ Taixi Development Group ในการลงทุนกว่า 1,986 ล้านบาทใน 26 บริษัท ทั้งอสังหาริมทรัพย์และการแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมถึงบริษัทที่เขาร่วมก่อตั้ง เช่น GOBA TV และ Asia Union Group (ซึ่งน่าสงสัยว่าจะเป็นการฟอกเงินและมีผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง โดยจะอธิบายในส่วนถัดไปของบทความ)

ในปี 2020 หวังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษสอบสวนในคดีอาชญากรรมข้ามชาติระดับร้ายแรง เขาเป็นหนึ่งในแกนนำเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการออกบัตรประชาชนไทยให้ชาวจีนโดยใช้ชื่อบุคคลที่ไม่มีตัวตน บัตรเหล่านี้ถูกใช้ในการจดทะเบียนบริษัทต่างๆ ในไทยมากกว่า 100 แห่ง ภายใต้บริษัทแม่ คือ Taixi Development Group ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และมีเงินไหลเวียนหลักร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นการฟอกเงินหรือหลีกเลี่ยงภาษี

แต่ถึงกระนั้น ในปี 2021 เขากลับยังสามารถปรากฏตัวในปี 2021 ในนาม อุดม หงปิน เพื่อเซ็นสัญญาเป็นหุ้นส่วนธุรกิจด้านสุขภาพกับบริษัทไทยชื่อณุศาสิริ โดยใช้บริษัท GOBA Board Limited เป็นตัวแทน

ใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวัง หงปิง?

เมื่อกล่าวถึงธุรกิจสีเทาโดยทั่วไป เรามักนึกถึงธุรกิจที่หลบซ่อนจากสายตารัฐอย่างสิ้นเชิง แต่เรย์มอนด์กลับชวนเรามองอีกประเด็นสำคัญว่า ทุนเหล่านี้ฝังตัวอย่างเป็นระบบโดยอาศัยเครือข่ายสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลในประเทศเจ้าบ้าน ซึ่งภายใต้บริบทของไทยนั้น เครือข่ายดังกล่าวหมายรวมถึงอดีตผู้นำทางทหาร ข้าราชการระดับสูง ตลอดจนอดีตรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียง แต่ละรายมีบทบาทต่างกัน ทั้งในระดับส่วนตัวและผ่านองค์กรหรือกิจกรรมที่มีเป้าหมายเพื่อความร่วมมือไทย-จีน โดยเรย์มอนด์ได้ยกตัวอย่างรายชื่อบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับหวัง ดังต่อไปนี้

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

คนสำคัญที่สุดของหวัง เขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้บัญชาการทหารบก มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีนตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ต่อมาพลเอกชวลิต ทหาร นักการเมือง และนักธุรกิจ ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนในปี 1993 เพื่อเป็นกลไกที่ไม่เป็นทางการในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ พร้อมทั้งยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมดังกล่าวด้วย ความสัมพันธ์ของเขากับหวังแน่นแฟ้นถึงขั้นที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนว่าหวังเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว

ยิ่งไปกว่านั้น สื่อจีนรายงานว่าพลเอกชวลิตในฐานะประธานกรรมการของ Asia United Investment Group ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการก่อโครงการขุดคลอง ร่วมกับบริษัท China-Thailand Kra Infrastructure Investment & Development Co Ltd. โดยปรากฏภาพถ่ายหวังและป้ายชื่อบริษัท Asia Union Group ของเขาอยู่ในพิธีด้วย ประเด็นนี้สำคัญมากเพราะโครงการดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคอคอดกระ ซึ่งผูกโยงกับเป้าหมายนโยบายรัฐจีน อย่างไรก็ตาม ต่อมารัฐบาลไทยปฏิเสธว่าไม่มีข้อตกลงใดๆ เกิดขึ้น

พลเอกอิสระพงษ์ หนุนภักดี และ พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร

พลเอกอิสระพงษ์เคยมีบทบาทในการรัฐประหารปี 1991 และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยในช่วงที่ก่อตั้งบริษัทเกษตรอิสระบุรีรัมย์ ร่วมกับนายทหารใหญ่และพลเรือน โดยมีพลเอกธวัชชัยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดร่วมกัน ต่อมาในปี 2013 ทั้งคู่ได้เป็นหุ้นส่วนกับหวังในบริษัท Gold Bull Beverage ซึ่งภายหลังทั้งบริษัทเกษตรอิสระบุรีรัมย์และ Gold Bull Beverage ก็ได้ควบรวมกับบริษัท Taixi ของหวัง
พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล

เขาเป็นผู้บัญชาการกองบังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 เคยมีชื่อปรากฏในกิจกรรมของมูลนิธิ Global One Belt One Road (GOBA) ซึ่งหวังเป็นผู้ก่อตั้ง มูลนิธิได้รับการจดทะเบียนเมื่อปี 2017 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน รวมถึงอนุรักษ์วัฒนธรรมจีนฮกเกี้ยนผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น นิทรรศการและทุนการศึกษา โดยพลตำรวจเอกต่อศักดิ์บริจาคอุปกรณ์และสิ่งของให้กับโรงเรียนในประเทศไทยในนามประธานมูลนิธิดังกล่าว

สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์

อดีตประธานรัฐสภาไทย เขาถูกเปิดโปงว่าร่วมมือกับหวังจัดตั้ง ‘กรมกิจการจีน’ ขึ้นในรัฐสภาไทยเมื่อปี 2013 โดยหวังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ความน่าสนใจคือไม่เคยมีใครรู้ว่ามาก่อนว่ามีหน่วยงานนี้อยู่ กรมดังกล่าวไม่มีสถานะทางกฎหมาย ที่น่าตกใจคือมีการปลอมแปลงตราราชการภายใต้ชื่อกรมนี้เพื่อส่งหนังสือเชิญเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดของจีนมาเยือนไทยโดยอ้างเป้าหมายทางเศรษฐกิจและการค้า แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหวังและผู้เกี่ยวข้องก็ไม่ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด

อลงกรณ์ พลบุตร และพงศ์เทพ เทพกาญจนา

อดีตรัฐมนตรีทั้งสองมีสายสัมพันธ์กับหวังผ่านมูลนิธิ GOBA โดยเฉพาะอลงกรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เขาเป็นที่ปรึกษาให้กับ GOBA TV หนึ่งในบริษัทในเครือของหวังซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-จีน นอกจากนั้นเขายังเคยบริจาคที่ดินที่เพชรบุรีให้ GOBA ใช้ตั้งสำนักงานอีกด้วย

เมื่อพิจารณาภาพรวม เราจะเห็นว่าหวังไม่ได้ลักลอบเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศอย่างลับๆ แต่แทรกซึมโดยผูกสัมพันธ์กับบุคคลสำคัญในระดับสูงของรัฐไทยมายาวนาน มีสถานะเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ บางรายเคยตกเป็นประเด็นเรื่องการถือครองทรัพย์สินผิดปกติหรือพัวพันกับการค้ายาเสพติด สะท้อนให้เห็นลักษณะของทุนจีนสีเทาในฐานะเครือข่ายที่อาศัยความร่วมมือกับเจ้าบ้านเพื่อให้ปฏิบัติการได้อย่างราบรื่น โดยเรย์มอนด์ได้กล่าวในบทความว่าในบรรดาคนเหล่านี้ ไม่ว่าใครก็มีอิทธิพลมากพอจะสามารถโทรศัพท์หาดีเอสไอ (ที่ประนีประนอม) ได้

ดังนั้น ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างทุนจีนกับผู้มีอิทธิพลในไทย อาจไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของปัจเจกที่เลือกจะเข้าไปข้องเกี่ยว แต่อาจเป็นเพราะระบบที่เปิดช่องให้ทุนจีนเข้ามาโดยอาศัยระบบอุปถัมภ์ภายใต้สายสัมพันธ์กับบุคคลที่มีอำนาจ

ทุนจีนสีเทากับเป้าหมายเอื้อผลประโยชน์รัฐจีน?

จากที่กล่าวไปในส่วนที่แล้วว่าบริษัทและมูลนิธิต่างๆ ที่เขาเกี่ยวข้อง ต่างก็มีนักการเมืองและตำรวจทหารระดับสูงเข้ามาร่วมลงทุน แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการโยกย้ายเงิน แต่ทุกอย่างก็หมุนวนอยู่รอบตัวเขาอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้ ไม่ว่าการดำเนินธุรกิจอันน่าสงสัยของหวังจะเชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนโดยตรงหรือไม่ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการที่เขามีบทบาทสำคัญมักจะตอบสนองเป้าหมายของรัฐจีน โดยเฉพาะในกรณีคอคอดกระและ Belt and Road Initiative

หวังไม่เพียงแต่มีบทบาทในฐานะนักธุรกิจ แต่ยังแสดงตนเป็นผู้แทนอย่างเป็นทางการในการมีส่วนร่วมกำหนดวาระทางนโยบาย โดยในปี 2020 เขาปรากฏตัวในการประชุม United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific (UNESCAP) ว่าด้วยเมืองที่ยั่งยืน จัดโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ในการประชุมดังกล่าว เขามีสถานะเป็นศาสตราจารย์ อุดม หวัง ตัวแทนถาวรของประเทศวานูอาตูประจำ UNESCAP และประธานสมาคม Global One Belt One Road Association (GOBA)

นอกจากที่ได้กล่าวไปในส่วนที่แล้วว่าบริษัท Asia Union Group ของเขามีบทบาทในโครงการขุดคลองแห่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคอคอดกระ หวังยังมีบทบาทโดยตรงในเครือข่ายผู้มีอิทธิพลของไทยที่ผลักดันโครงการขุดคอคอดกระอีกด้วย โดยในปี 2021 เขาอ้างว่าได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคมวิจัยและพัฒนาคลองไทย (Thai Canal Research and Development Association: TCRDA) ซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์อย่างไม่เป็นทางการที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 เพื่อล็อบบี้ให้รัฐบาลไทยอนุมัติโครงการคอคอดกระ

นอกจากรายชื่อผู้มีอิทธิพลที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ สมาคม TCRDA ยังมีพลเอกพงษ์เทพ เทศประทีป เป็นประธาน อดีตทหารใกล้ชิดของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยหวังเคยปรากฏตัวในภาพถ่ายร่วมกับพลเอกพงษ์เทพในโอกาสที่เขาได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคม นอกจากนี้สมาชิกสมาคมดังกล่าว ยังมีพลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร ที่เคยลงทุนร่วมกับหวังอีกด้วย


เมื่อพิจารณาจากกรณีของหวัง หงปิง อาจกล่าวได้ว่าธุรกิจของทุนจีนสีเทาบนเส้นแบ่งที่คลุมเครือระหว่างความถูกกฎหมายกับผิดกฎหมาย สามารถดำเนินการได้ผ่านการสร้างเครือข่ายกับผู้มีอำนาจ อ้างอิงจากข้อสรุปของเรย์มอนด์ได้ดังนี้

หนึ่ง – ปัจจัยที่เอื้อต่อปฏิบัติการดังกล่าว คือโครงสร้างรัฐไทยที่หลักนิติธรรมอ่อนแอ มีระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก และความสัมพันธ์แบบ neo-patrimonialism ทำให้การแทรกซึมของอาชญากรรมข้ามชาติภายใต้ฉากหน้าธุรกิจนั้นเป็นไปได้ในสังคมนี้

สอง – บุคคลและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องมักอยู่ในพื้นที่พร่าเลือนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ของรัฐ การอ้างตัวเป็นผู้แทนรัฐ หรือผูกโยงตนเองกับวาทกรรมประโยชน์สาธารณะจึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อย ดังที่จะเห็นได้จากกิจการของหวังที่มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของ Belt and Road Initiative อย่างพอดิบพอดี

สาม – การทำกิจกรรมการกุศลในนามนักธุรกิจ ไม่ว่าจะในรูปแบบมูลนิธิหรือการช่วยเหลือชุมชน กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความชอบธรรม ทั้งต่อตัวนักลงทุนเองและต่อภาพลักษณ์ของรัฐจีน

ท้ายที่สุดแล้ว แม้เราจะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ารัฐบาลจีนอยู่เบื้องหลังหรือให้การสนับสนุนกลุ่มทุนเหล่านี้โดยตรง แต่ความทับซ้อนระหว่างเป้าหมายของนักลงทุนกับยุทธศาสตร์ของรัฐจีน ก็ชวนให้เราหันกลับมาตั้งคำถามถึงบทบาทของรัฐไทยว่าจะรับมือกับปรากฏการณ์เช่นนี้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อโครงสร้างสังคมของรัฐเป็นปัจจัยสำคัญ – หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา – ที่เอื้อให้ทุนจีนสีเทาเข้ามาแทรกซึมและอาจฝังรากลึกต่อไปในอนาคต เพราะเมื่อมีความพร่าเลือนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของรัฐ และระหว่างการลงทุนกับการกระทำผิดกฎหมาย ทุนจีนสีเทาก็ไม่ใช่แค่เรื่องของนักลงทุนต่างชาติที่ทำผิดกฎหมายอีกต่อไป แต่คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างรัฐและกลไกอำนาจของทั้งสองประเทศ ที่ทำให้ความผิดปกติกลายเป็นเรื่องปกติ

เรียบเรียง: ณัชชา สินคีรี
ภาพประกอบ: จิราภรณ์ บุญเย็น

https://www.the101.world/grey-capital-summary/