ดูจากรายงานของ วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เรื่อง “มติ ครม.จะลดค่าไฟลงเหลือ ๓.๙๙ บาท/หน่วย โดยไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน” เขาว่า “เป็นเพียงรับทราบค่าไฟเป้าหมาย แต่ค่าไฟของจริงยังเท่าเดิมที่ ๔.๑๕ บาท/หน่วย”
เนื่องเพราะคณะกรรมการพลังงานเพิ่งประกาศเมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่า ค่าไฟงวด พ.ค. - ส.ค. ๖๘ จะยังคงอยู่ที่ ๔.๑๕ บาท/หน่วย ดังนั้นมติ ครม.เมื่อวันที่ ๑ เมษา ยังเป็นเพียงแค่ “รับทราบ” ข้อเสนอฐานราคาใหม่ ไม่ใช่การปฏิบัติตามนโยบาย
“แถมรัฐบาลกำลังจะลงนามสัญญาซื้อไฟเพิ่มอีกแล้ว” ตามคำของวรภพ “ที่สำคัญ ค่าไฟเดิมยังลดไม่ได้ แต่รู้ไหมว่า รัฐบาล กำลังจะ ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกประมาณ ๑,๕๐๐ MW ที่จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น ตลอดอายุสัญญา ๒๕ ปี ข้างหน้า”
เขาอธิบายอย่างนี้ “เพราะโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก รอบ ๕,๒๐๐ MW กำลังจะถึงกำหนดให้รัฐบาลลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก (โดยไม่เปิดประมูล) หลังสงกรานต์ ๑๙ เม.ย. นี้” ทั้งๆ ราคาที่จะไปซื้อนี้
“Solar ๒.๒ บาท/หน่วย นั้นแพงเกินไป และจะทำให้ค่าไฟประชาชนแพงขึ้น” มิหนำซ้ำโครงการซื้อไฟเฟสแรกนี่เคยโดนคำสั่งทุเลาจากศาลปกครองมาแล้วด้วย เหตุเพราะ “ไม่โปร่งใส ไม่ยุติธรรม และจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ได้”
ขณะที่แม้กรรมการนโยบายพลังงาน (กพช.) สามารถยกเลิกโครงการได้ ก็ต้องมีมติก่อนการลงนามสัญญาซื้อขายเพิ่มเติมหลังสงกรานต์นี้เท่านั้น วรภพพาดพิงถึงคำตอบของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
อุ๊งอิ๊งโต้ว่า รัฐบาลชุดนี้ยังไม่ได้อนุมัติโรงไฟฟ้าอะไรเพิ่มเลย สัญญาซื้อขายพลังงานราคาแพงะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้ว นั่นหมายถึง “การลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เฟสแรก รอบ ๕,๒๐๐ MW ในสมัยรัฐบาล เศรษฐา”
แต่ว่าการรับซื้อไฟฟ้าเฟสแรก ยังเหลือที่ยังไม่ได้ทำสัญญาซื้ออยู่อีก ๒ พันเมกกาวัตต์ กำหนดในเดือนเมายนนี้ จะต้องมีมติ กพช.ยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงโครงการ จึงจะไม่มีภาระผูกพัน
มติ ครม.ลดค่าไฟ ๑ เมษา จึงต้องตามมาด้วยการกระทำจริงในเร็ววัน ถึงจะอ้างได้ว่าทำแล้ว ไม่ใช่การโกหกพกลมไปวันๆ
(https://www.facebook.com/story.php?=1218660393600077&id=100063683835682 และ https://www.facebook.com/share/p/1964LCouZ7/)
