วันศุกร์, เมษายน 25, 2568

ครบ 1 ปี ไฟไหม้ วิน โพรเสส ... หลุมดำปัญหากากอุตสาหกรรม EP.3 ความเสียหายที่เกิดจากการ “ละเว้น” เป็นหน้าที่ “ชาวบ้าน” หรือ “รัฐ” ต้องเดือดร้อน


24 เม.ย. 2568
รายงานพิเศษ
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

อ่านประกอบ EP.1 “ไม่มีเงิน” หลุมดำที่กระทรวงอุตฯ ยังหาทางออกไม่เจอ

EP.2 หลุมดำความเสียหาย 1.7 พันล้าน “ไม่มี จนท.รัฐ” ผิด แม้แต่คนเดียว

“แม้จะมีข้อมูลและหลักฐานมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัยของเจ้าหน้าที่รัฐ จากกรณีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมที่โรงงาน วิน โพรเสส ... แต่นี่เป็นหนึ่งในกรณีที่ไม่เคยนำประเด็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย เพราะเมื่อคำนวณถึงผลที่จะได้รับแล้ว อาจเป็นภาระที่มากเกินไปสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ”

ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความของชาวชุมชนหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยองซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากโรงงาน วิน โพรเสส ยืนยันว่า การตรวจสอบเพื่อเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐในฐานที่ปล่อยให้เกิดการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมจนสร้างความเสียหายในหลักนับพันล้านบาทเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น แต่ควรจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐเองมากกว่า

ทนายชำนัญ ซึ่งเป็นทนายความให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากกากอุตสาหกรรมแบบเดียวกันในอีกหลายกรณี เปิดเผยว่า ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากโรงงานกลุ่มรับกำจัดหรือบำบัดของเสีย (Waste Processor) ในทุกกรณี ต่างก็มีข้อร้องเรียนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น ตั้งแต่ขั้นตอนการออกใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน ขั้นตอนการกำกับดูแลที่ไม่มีประสิทธิภาพเพราะโรงงานบางแห่งไม่มีใบอนุญาต บางแห่งประกอบการเกินเลยไปกว่าใบอนุญาตก็ยังสามารถดำเนินการอยู่ได้ ไปจนถึงขั้นตอนการตรวจสอบและออกคำสั่งลงโทษ ซึ่งชาวบ้านมักจะมองว่า มักจะเป็นคำสั่งที่ส่งผลดีกับโรงงานมากกว่าด้วยซ้ำ

“ในกรณีของชาวหนองพะวากับโรงงาน วิน โพรเสส เราเห็นพฤติกรรมมากมายของเจ้าหน้าที่รัฐในหลายระดับที่ทำให้รัฐพลาดโอกาสที่จะยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากโรงงานไป ... ซึ่งมีอีกความหมายหนึ่งว่า ความเสียหายจากโรงงานที่รุนแรงขึ้นมาเรื่อยๆ มาจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ทำหน้าที่หยุดยั้งความเสียหายนั้น ทั้งที่มีข้อร้องเรียนจากชาวบ้าน มีหลักฐาน เห็นความผิดของโรงงานอย่างชัดเจนแล้ว”

“แต่สำหรับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ การจะเริ่มออกเดินทางเพื่อต่อสู้ด้วยกระบวนการยุติธรรม ชาวบ้านก็ต้องต่อสู้เพื่อเรียกร้องค่าชดเชยเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพวกเขาไปแล้วก่อน ซึ่งก็คือ คดีทางแพ่ง ... โดยหวังว่า การดำเนินการในคดีทุจริต จะเป็นหน้าที่ที่หน่วยงานรัฐมองเห็นและดำเนินการไปด้วย ... แต่การสอบสวนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐโดยหน่วยงานหรือกระทรวงต้นสังกัดเองไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีวิน โพรเสส หรือโรงงานอื่นๆก็ตาม ... เท่าที่เคยเห็นก็จะมีเพียงการดำเนินการตรวจสอบโดย ป.ป.ช. ซึ่งทราบว่าทำอยู่ แต่ก็เงียบหายไปนานมากแล้ว” ทนายชำนัญ กล่าว


ชำนัญ ศิริรักษ์




หากย้อนกลับไปดูตามลำดับเหตุการณ์ จะพบว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐมีโอกาสหลายครั้งที่จะหยุดยั้งไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นจากโรงงาน วิน โพรเสส ... แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น

วิน โพรเสส มาตั้งที่ชุมชนหนองพะวา ตั้งแต่ปี 2554 พยายามขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานเป็นโรงงานคัดแยกขยะหรือฝังกลบของเสียไม่อันตราย แต่ไม่ได้รับใบอนุญาต เพราะถูกชาวบ้านคัดค้าน ... แต่หลังจากนั้นก็มีรถขนส่งวิ่งเข้าออกโรงงาน

กระทั่งในปี 2557 มีน้ำเสียในชุมชนหนองพะวา และชาวบ้านมั่นใจว่ามีกลิ่นเหม็นออกมาจากโรงงาน กลิ่นรุนแรงจนไปกระทบกับการเรียนการสอนของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่เป็นทางน้ำต่อมาจากโรงงาน ชาวบ้านจึงรวมตัวกันนำรถแบคโฮไปขุดดินในพื้นที่ของโรงงาน จนพบการลักลอบฝังของเสียอันตราย

จากเหตุการณ์ลักลอบฝังของเสียอันตราย แทนที่ วิน โพรเสส จะถูกดำเนินคดี แต่กลับมีผลที่ตรงกันข้ามในอีก 3 ปี ต่อมา

มีนาคม 2560 วิน โพรเสส ที่สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม กลับได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 2 ใบพร้อมกัน คือ บดอัดกระดาษ และหล่อหลอมโลหะ ... จากนั้น ในเดือนกันยายน 2560

จากนั้น ... ก็มีของเสียอันตรายในรูปของเหลวถูกขนเข้ามาที่โรงงานในรูปแบบถัง 200 ลิตร และ 1,000 ลิตรอยู่ตลอด จนมีปริมาณนับพันนับหมื่นตัน ทั้งที่ของเหลวทั้งหมดนี้ ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆเลยกับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทั้ง 2 ใบ ที่โรงงานแห่งนี้มีอยู่






ผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรของชาวหนองพะวาเริ่มเกิดขึ้น ที่เห็นได้ชัด คือ สวนยางพาราของนายเทียบ สมานมิตร ที่อยู่ติดกับรั้วโรงงานเริ่มให้น้ำยางน้อยลงและทยอยยืนต้นตาย ชาวบ้านร้องเรียนให้อุตสาหกรรม จ.ระยอง เข้าไปตรวจโรงงานหลายครั้ง มีรูปแบบการตั้งคณะกรรมการติดตามการแก้ปัญหา จนพบว่า วิน โพรเสส นำ “น้ำมันที่ใช้แล้ว” มาจัดเก็บไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ไม่สามารถมีของเสียชนิดนี้อยู่ในโรงงานได้ แต่แทนที่จะดำเนินคดีหรือสั่งปิดโรงงาน ... เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรม จ.ระยอง กลับมีหนังสือคำสั่งเพียงแค่ว่า ... “ขอให้โรงงานปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย” .... ทั้งที่ไม่รู้ว่า จะปฏิบัติได้อย่างไร

เกิดการร้องเรียนอีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 หลังพบว่า ในโรงงาน วิน โพรเสส ไม่มีเครื่องจักรแม้แต่ชิ้นเดียว แต่กลับมีถังบรรจุสารเคมีอยู่เต็มโรงงานรวมทั้งมีกากอุตสาหกรรมจำนวนมากอยู่ในถุงบิ๊กแบ็ก ... แต่เมื่ออุตสาหกรรม จ.ระยอง เข้าไปตรวจสอบ กลับออกเป็นคำสั่งให้โรงงาน “ปิด ปรับปรุง” ... ท่ามกลางคำถามจากชาวหนองพะวาว่า โรงงานที่ไม่มีเครื่องจักรเลย เป็นเหมือนถังขยะมากกว่าโรงงานด้วยซ้ำ จะปรับปรุงด้วยวิธีการใด

อีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 ซึ่งอุตสาหกรรม จ.ระยอง เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับวิน โพรเสส ฐานครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นครั้งแรก หลังเรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังในหน้าสื่อสารมวลชน ... ทั้งที่มีข้อร้องเรียนจากชาวบ้านและตรวจพบมาตั้งแต่ 6 เดือนก่อนหน้านั้น โดยอุตสาหกรรม จ.ระยอง ณ ขณะนั้น ให้เหตุผลในการไม่ดำเนินคดีตั้งแต่ 6 เดือนก่อนว่า ต้องรอให้โรงงานนำใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตรายมาแสดง ทั้งที่เจ้าหน้าที่สามารถหาข้อมูลได้เองจากระบบคอมพิวเตอร์ในสำนักงานของตัวเองว่า โรงงาน มีใบอนุญาตครอบครองวัตถุอันตรายหรือไม่

เมื่อดำเนินคดีล่าช้า ... ความเสียหายจากการรั่วไหลของสารเคมี ก็ลากยาวต่อเนื่องไปอีก 6 เดือน







จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทนายชำนัญ จึงมีความเห็นว่า มีข้อมูลเพียงพอแล้วที่หน่วยงานต้นสังกัดเองจะสามารถดำเนินการตรวจสอบว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ไม่ควรรอให้เป็นหน้าที่ของผู้ได้รับผลกระทบ

“พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นนี้ อาจจะยังไม่สามารถสรุปได้ทันทีว่า เป็นการละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ... ถ้าจะพิสูจน์ ก็ต้องอาศัยกลไกของ ป.ป.ช. แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่า ไม่มีใครรู้ว่า ป.ป.ช.ดำเนินการไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว”

“ถ้าไม่อยากรอ ป.ป.ช. แต่อยากฟ้องคดีทุจริต ชาวบ้านก็ต้องไปฟ้องตรงกับศาลอาญาคดีทุจริตด้วยตัวเอง ซึ่งผมเห็นว่ามีปัญหาคือ ชาวบ้านลำบากจากการได้รับผลกระทบอยู่แล้ว ฟ้องคดีแพ่งชนะก็ยังไม่ได้รับค่าชดเชยตามคำสั่งศาลแม้แต่บาทเดียว ยังจะต้องดิ้นรนไปฟ้องคดีทุจริตทำไม ต้องมาเสียค่าทนาย เสียเวลาเพิ่ม และถึงแม้ว่าศาลจะพิพากษาว่ามีการทุจริตจริง ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชาวบ้าน ยังคงไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆเลยอยู่ดี ... ดังนั้น เมื่อชาวบ้านหรือสื่อมวลชนได้ช่วยกันขุดคุ้ยและนำเสนอสู่สาธารณชนไปแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นต้นสังกัด หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ก็ควรจะดำเนินการได้เอง” ทนายชำนัญ ย้ำ

ส่วนอีกช่องทางหนึ่งที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบเคยทำไปแล้ว คือ การไปฟ้องศาลปกครองว่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหาย เพราะความเสียหายเกิดขึ้นจากการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

ทนายชำนัญ เปิดเผยว่า คดีที่มีการร้องไปที่ศาลปกคครอง คือ กรณีโรงงานแวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล ที่ จ.ราชบุรี และโรงงานเอกอุทัย ที่ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งผลการพิจารณาของศาลปกครอง ระบุว่า ให้หน่วยงานที่ถูกร้อง “กลับไปปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง” แต่ในคำพิพากษาไม่ได้สั่งลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ

“คดีที่ไปศาลปกครอง แม้ว่า คำพิพากษาจะมีความหมายคล้ายกัน คือ สรุปว่า เจ้าหน้าที่รัฐเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น แต่ให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐต่างกันมาก เพราะศาลจะใช้คำว่า “ละเลย” ซึ่งหมายถึง เป็นการบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ ... ไม่ใช้คำว่า “ละเว้น” ซึ่งจะไปเข้าฐานความความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ... ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่มีความผิด”

“เรายังอยากเห็นการตรวจสอบหรือสอบสวนเจ้าหน้าที่รัฐว่า “ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่” อยู่นะครับ ... แต่ถ้าดูช่องทางตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว นี่คงไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านหรือองค์กรพัฒนาเอกชนจะทำเองได้ ... กลไกรัฐเองต่างหาก ที่ต้องแสดงออกให้เห็นว่า จริงจังกับเรื่องนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่ทำผิด ก็ต้องถูกลงโทษ” ทนายชำนัญ ทิ้งข้อเสนอไว้ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้รับไปพิจารณา




https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000038320