วันศุกร์, มีนาคม 14, 2568

น่าเสียดายมาก ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้เกาะติดข่าวอุยกูร์ ตั้งแต่ต้น ครบ 11 ปี 12 มี.ค.นี้ นอกจากหน้าที่ของสื่อมวลชนแล้ว ยังทำเพราะจิตสำนึกความเป็นมุษย์ แต่รัฐบาลไม่ได้ให้ร่วมเข้าทำข่าวอุยกูร์ ที่ซินเกียง มันบอกอะไรเราหลายอย่าง ขอขอบคุณ ฐปณีย์ ที่เป็นกระบอกเสียงให้กลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือ


Thapanee Eadsrichai
7 hours ago
·
ครบ 11 ปี พบอุยกูร์ในไทย
12 มี.ค.57-68
"เราตามข่าวนี้มา 11 ปี นอกจากหน้าที่ของสื่อมวลชนแล้ว เราทำมันเพราะจิตสำนึกความเป็นมุษย์"
12 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 22.00 น.เราได้รับโทรศัพท์จากผู้การหวาน พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร (จเรตำรวจแห่งชาติ) ที่ขณะนั้นเป็นผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ว่าสายรายงานว่าพบชาวโรฮิงญากลางสวนยางพาราที่ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา รีบไปดูกัน เพราะวันนั้นเราไปที่จังหวัดสตูลกันมา ช่วงนั้นเราตามข่าวการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ที่จับกุม สจ.จ.สตูลคนหนึ่ง ที่เรียกค่าไถ่ชาวโรฮิงญา แล้วขยายผลไปพบแคมป์กักขังชาวโรฮิงญากลางป่าชายแดนไทย-มาเลเซีย
พอไปถึงในสวนยาง ตรงตีนเขา เราพบชาวโรฮิงญากลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คน ถูกนายหน้าทิ้งไว้ในสภาพนอนหมดแรง ผู้การหวานบอกว่า น่าจะมีอีกบนเขา ให้เรารีบขึ้นไปดูกัน เพราะจากรายงานบอกว่ามีไม่ต่ำกว่า 200 คน
เมื่อไปถึงเรายอมรับว่าแทบช็อค และตกใจกับภาพที่เห็น คนต่างชาติหน้าตาแปลกไปจากที่เคยเห็น มุสลิมโรฮิงญาก็ไม่ใช่ ฝรั่งจากยุโรปก็ไม่ใช่ เราไม่รู้จริงๆว่าพวกเขาคือใคร เราตกใจกับภาพที่เห็นเพราะ มีทั้งผู้ชายที่หน้าตาคล้ายๆแขกขาว และผู้หญิงมุสลิมคลุมฮิญาบ ปิดใบหน้า แต่ไม่ใช่โรฮิงญาแน่ๆ เราตกใจที่มีเด็กทารก และผู้หญิงตั้งครรภ์ หลายคนมาก เราไม่รู้จะคุยกับพวกเขาภาษาอะไร เราพูดภาษาอังกฤษ แบบงูๆปลาๆของเราไป พร้อมใช้ภาษามือ ถามว่า you have baby how many month พร้อมทำมือถามว่า 123456 และมาจบที่ 7 เดือน และถามผู้ชายเขาตอบภาษาอังกฤษว่า พวกเขาบอกว่ามาจากอิสตันบูล ตุรกี เรายังตกใจว่ามาได้ยังไงจากตุรกี
เราถามผู้การหวานในเวลานั้นว่าพวกเขาน่าจะเป็นใคร พี่หวานบอกว่า พวกเขาไม่ใช่โรฮิงญาแน่นอน ถ้าตามข้อมูลที่เริ่มพบชาวอุยกูร์ในไทย คาดว่าพวกเขาคือมุสลิมอุยกูร์ มาจากเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน
แน่นอนว่าการนำเสนอข่าวในเวลานั้นเรายังไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร แม้แต่เช้าวันรุ่งขึ้นที่พวกเขาถูกนำตัวมาที่ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในข่าวเราต้องระบุว่า บุคคลต่างชาติที่ไม่สามารถระบุสัญชาติได้ เพราะพวกเขาไม่ยอมบอกว่ามาจากไหน มีการทำลายหลักฐานบัตรประชาชน หรือแม้แต่เงินจีน เงินกัมพูชา ที่พวกเขาใช้เป็นเส้นทางหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย
เวลานั้นผู้การหวานได้โทรหาคุณกัณวีร์ สืบแสง ที่ขณะนั้นทำงานสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ UNHCR ว่ามาช่วยดูว่าพวกเขาเป็นใคร คุณกัณวีร์ ให้เจ้าหน้าที่ UNHCR ได้พูดคุยเพื่อส่งภาษาว่าพวกเขาเป็นใคร จนสุดท้ายใกล้เคียงสุดคือภาษาตุรกี จึงมั่นใจว่าพวกเขามาจากซินเจียง เพราะใช้ภาษาเติร์ก ขณะที่เราก็โทรหา อ.ซากีย์ พิทักษ์คุมพล ลูกชายท่านจุฬาราชมนตรี ให้ช่วยหาล่ามตุรกี ก็มีน้องนักศึกษาจากตุรกีกลับมาบ้านที่หาดใหญ่พอดี เขาเลยมาเป็นล่ามให้ พอรู้ว่าเป็นชาวอุยกูร์ ตอนนั้นทาง UNHCR ประสานสถานทูตตรุกีทันที เพราะพวกเขาบอกขอลี้ภัยไปตุรกี ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีรมว.กระทรวงการต่างประเทศชื่อ สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ก็ให้รมว.พม ชื่อ ปวีณา หงสกุล มาลงพื้นที่ มาคุยกันเตรียมส่งชาวอุยกูร์ ที่พบที่สงขลากว่า 230 คน และอีก กว่า 200 คน รวมกว่า 400 คน ไปตุรกี ทางตุรกีเตรียมเครื่องบิน 2 ลำมารับ
แต่ด้วยข่าวที่ปรากฏออกไป และจีนรู้แล้วว่าพบชาวอุยกูร์ที่ไทย เรายังจำหน้าได้แม่น กงสงจีนที่สงขลา ได้มาที่ ตม.6 และบอกว่า พวกเขาเป็นพลเมืองจีน ขอคัดค้านการส่งไปตุรกี จะขอตัวพวกเขากลับไปจีน ในขณะที่ชาวอุยกูร์ทั้งหมด ต่างยืนยันว่าไม่ต้องการกลับจีน และต้องการลี้ภัยไปตุรกี สุดท้ายการส่งชาวอุยกูร์ไปตุรกี ก็ยุติลง เพราะรัฐบาลไทยระงับการดำเนินการทั้งหมด
ชาวอุยกูร์ที่เราบอกว่ามากันเป็นครอบครัว พ่อแม่ลูก สามีภรรยา ถูกแยกออกจากกันตั้งแต่วันนั้น เพราะผู้ชายถูกส่งไปห้องกัก ตม.ในจังหวัดสงขลา ส่วนผู้หญิงและเด็กถูกส่งไปที่บ้านพักเด็กจังหวัดสงขลา
ระหว่างนั้นเรื่องราวของชาวอุยกูร์ เริ่มเป็นที่รู้จักและพูดถึง เราติดตามข่าวพยายามเจาะลึกว่าพวกเขาเดินทางจากซินเจียงอุยกูร์มาได้อย่างไร พวกเขาบอกว่าต้องการหนีการปราบปรามของรัฐบาลจีน เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกก่อการร้าย และพวกเขาถูกกดขี่ ทั้งเรื่องทางศาสนา และความเป็นมนุษย์ ที่พวกเขายอมขายบ้าน ขายที่น่า ขายวัว ขายควาย หอบลูกหนีออกมาจากซินเจียง พวกเขาไม่สามาถไปคาซัคสถานที่อยู่ติดกันได้ เพราะเมื่อถูกจับก็ต้องถูกส่งกลับ จึงต้องหนีมาจากเส้นทางซินเจียง มาผ่านมณทลยูนนาน บางคนเข้าทางลาว มาทางเหนือของไทย บางกลุ่มต้องหนีไปทางเวียดนาม มาทางกัมพูชา แล้วเข้าไทย มุ่งหน้ามาที่จังหวัดสงขลา ชายแดนไทย-มาเลเซีย เพราะต้องข้ามไปมาเลเซียเพื่อหาทางขึ้นเครื่องไปตุรกี
นี่คือเส้นทางการค้ามนุษย์ เมื่อ 11 ปีก่อน ซึ่งจริงๆก็คือเส้นทางเดียวกับการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ที่เราตามอยู่ในตอนนั้น และต่อมา ก็กลายเป็นคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ มีผู้ต้องหา 116 คน ตั้งแต่ทหาร ตำรวจ และเครือข่ายข้ามชาติ เกี่ยวข้องถูกตัดสินจำคุกสูงสุด 96 ปี และตอนนี้คดีถึงฎีกา พล.ท.มนัส คงแป้น ก็เสียชีวิตในห้องขัง ในขณะที่พล.ต.ท.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ต้องลี้ภัย และตอนนั้นเราเชื่อว่า ถ้าได้ทำคดีอุยกูร์ เป็นคดีค้ามนุษย์ ก็คงจะเป็นกลุ่มเดียวกัน
หลังจากนั้นในเดือนกรกฏาคม 2558 ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชาวอุยกูร์ที่เป็นผู้หญิงและเด็ก 173 คน ถูกส่งไปจีน และผู้ชาย 109 คน ถูกส่งกลับซินเจียง ในสภาพคลุมหัวถุงดำขึ้นเครื่องบิน จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ชะตากรรม
หลังจากนั้นในทุกปี เรายังติดตามข่าวชาวอุยกูร์ เพราะหลังจากส่งผู้ชาย 109 คนไปแล้ว ผู้ชายกว่า 50 คน ที่มีความผิดเพียงหลบหนีเข้าเมือง ถูกดำเนินคดีไปติดคุก ซึ่งโทษไม่ถึง 2 ปี เมื่อรับโทษครบแล้ว ถูกส่งเข้าห้องกัก ตม.ตอนแรกก็กระจายไปจังหวัดต่างๆ แต่เวลาผ่านไป 5-6 ปี มีบางคนหลบหนีจากห้องกัก ตม.ในแต่ละจังหวัด จึงเอาที่เหลือมารวมกันที่ ตม.สวนพลูอีกครั้ง
การถูกกักอยุ่ในห้องกักตม.เป็นเวลายาวนาน มันไม่ต่างจากการถูกกักขังในเรือนจำ การไม่ได้พบเจอญาติพี่น้อง อยู่ไปวันๆ เหมือนคนตายทั้งเป็น ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีคนเจ็บป่วยเสียชีวิตไป 5 คน
ตลอดเวลามีองค์กรสิทธิมนุษยชน รวมถึงสำนักจุฬาราชมนตรี เครือข่ายช่วยเหลือมนุษยธรรม มีแพทย์ได้เข้าไปดูแล บางคนได้เข้าไปเยี่ยม ได้พูดคุยกับพวกเขา พวกเขาบอกมาตลอดว่าไม่อยากกลับจีน ในขณะที่มีคนตายไป 5 คน ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังตรวจสอบ และมีหนังสือไปยังรัฐบาลว่าต้องดูแลชาวอุยกูร์ และองค์กรสิทธิมนุษยชน เรียกร้องรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวชาวอุยกูร์ออกจากห้องกัก
เราไม่ได้เพิ่งจะมาทำข่าวชาวอุยกูร์ ในวันที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ส่งกลับชาวอุยกูร์ เราทำมาตลอด 11 ปี ความปรารถนาของเรา แค่อยากให้พวกเขาได้พบกับครอบครัว มีชีวิตที่ปลอดภัย หากพวกเขาได้กลับไปซินเจียงแล้วได้อยู่กับครอบครัว ได้ปลอดภัยจริง นั่นคือสิ่งที่เรายินดีมาก
แต่ด้วยกระบวนการส่งกลับชาวอุยกูร์ แค่เฉพาะต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวการส่งกลับชาวอุยกูร์ ที่เราเป็นนักข่าวมีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้แจ้งให้ทราบ เราตั้งคำถาม มีหลายฝ่ายตั้งคำถาม รัฐบาลมีหน้าที่ตอบ เราว่านั่นก็เป็นการทำงานในฐานะนักข่าวที่ต้องตรวจสอบทุกนโยบายของรัฐบาล
เราไม่เห็นว่าการทำข่าวนี้ ที่เราขอยืนยันว่า เราติดตามเรื่องนี้ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่ทำด้วย จิตสำนึกความเป็นมนุษย์ จิตวิญญาณของนักข่าว ที่เป็นปกติชน เราไม่มีคำถามตอบกลับอะไรไปยังรัฐบาล นอกจากแค่บอกว่า หากรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีน โปร่งใสในการส่งกลับชาวอุยกูร์กลับไปโดยสมัครใจจริง ไม่ได้มีอะไรที่ยากเลย กับการให้เราไปทำข่าวนี้ มันอาจเป็นผลดีกับรัฐบาลด้วยซ้ำ ว่าทำตามที่พูด
แต่แทนที่จะได้คำตอบที่เคารพสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน เรากลับได้คำตอบที่ตั้งคำถามกลับว่าฝักใฝ่ฝ่ายใดหรือไม่ ก็เลยต้องถามกลับ รองนายกฯภูมิธรรมว่า งั้นต้องฝักใฝ่ฝ่ายใด รัฐบาลถึงให้ไปด้วย
นอกจากนี้คนที่อยากชี้แจงกลับ น่าจะเป็น อ.วาสนา Wasana Wongsurawat ไม่คิดว่านักวิชาการอย่าง อ.วาสนา จะด้อยค่ำคนทำงานข่าวอย่างพี่ ว่าถ้าสนใจข่าวต่างประเทศสักนิด จะรู้ว่าจีนเลือกคนไปซินเจียง อันนี้เสียใจจริง เพราะเหมือนถูกด่าว่าโง่ เลยอยากบอก อ.ว่า แม้ภาษาอังกฤษพี่จะไม่ใช่นักเรียนนอก แต่พี่ก็มีทักษะพอที่จะใช้มันในการทำงาน และพี่เป็นนักข่าวพี่เป็นคนหาความรู้ตลอด ดังนั้นอย่ามาเหยียดว่าพี่โง่ หรือไม่ตามข่าวต่างประเทศ พี่ไปทำข่าวต่างประเทศมามากมาย ถ้าพี่ไม่สนใจสื่อต่างประเทศ พี่จะทำได้อย่างไร พี่ขอให้ อ.ถอนคำพูดด้วยค่ะ
และเหนือสิงอื่นใด ในฐานะสื่อมวลชน เราไม่เคยมีผลประโยชน์ใดๆ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง ไม่มีขบวนการใดๆในการทำข่าวอุยกูร์ ขอย้ำว่า มาจากจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ล้วนๆ
และอยากจะบอกด้วยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา สถานทูตจีนประจำประเทศไทย เชิญเราไปพูดคุย เป็นที่ปรึกษาของสถานทูต มาชี้แจงเรื่องอุยกูร์ เล่าให้ฟังเหมือนที่สถานทูตชี้แจง เราบอกด้วยว่าอยากไปทำข่าวที่คณะไทยไปดูการส่งกลับ 40 คน เขาบอกยินดีเลยอยากให้คุณฐปณีย์ ได้ไป แต่เขาบอกว่ารอบนี้ทางรัฐบาลไทยเลือกสื่อไปนะ เขาคงจัดห้ไม่ได้ แต่จะจัดให้ในโอกาสต่อไป
นี่คือเรื่องที่มาจากสถานทูตจีน คิดกันเอาเองค่ะว่า เราทำเรื่องนี้เพื่อผลประโยชน์อะไร และเราคิดว่า รัฐบาลต่างหากที่เสียโอกาสสำคัญต่อการทำเรื่องนี้อย่างโปร่งใส !!!
ส่วนพี่แยมก็ต้องหาทางหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ต่อไปไม่ว่าจะด้วยช่องทางใด เพราะกรณีชาวอุยกูร์ ไม่ใช่เรื่องของคนอุยกูรืแค่ 40 คน แต่มันคือชะตากรรมของคนทั้งโลก ที่วันหนึ่งเราอาจต้องเป็นแบบชาวอุยกูร์ ก็เป็นได้ !!
เอาจริงสิ่งที่คิดว่าในวันนั้น ถ้าเราไม่ไปเจอ ตำรวจไม่ไปเจอ พวกเขาได้หนี ลี้ภัยไปถึงตุรกี ชะตากรรมของพวกเขาคงไม่จบลงแบบนี้ แต่นั่นแหละทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฏหมายค่ะ


https://www.facebook.com/photo?fbid=9872790739407415&set=a.442646002421983
.....