วันอาทิตย์, ตุลาคม 11, 2563

"เห็นภัยมา เลยบวช" เทคนิคการหลบหนีภัย "การเมือง" ของเจ้านาย-ขุนนาง สมัยกรุงศรีอยุธยา



Silapawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
Yesterday at 7:59 AM ·

ย้อนดูการ "บวช" ของเจ้านาย-ขุนนาง สมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อหลบหนีจากภัย "การเมือง"
.
หนึ่งในเหตุผลของการบวชในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือบวชเพื่อหลบหนีจากภัยการเมือง โดยใช้พระพุทธศาสนาและผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นที่พึ่งพำนักให้พ้นภัยอุปัทวันตราย
.
กรณีที่เป็นที่รับรู้กันมากที่สุดคือ พระเฑียรราชาทรงบวชเพื่อหลบหนีจากภัยการเมือง โดยหลังจากพระไชยราชาสวรรคตและถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จแล้วนั้น พงศาวดารระบุว่า
.
“...ฝ่ายพระเทียรราชาราชซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สมเด็จพระไชยราชานั้น จึ่งดำริว่า ครั้นกูอยู่ในฆราวาส บัดนี้เห็นภัยจะบังเกิดมีเป็นมั่นคง ไม่เห็นสิ่งใดที่จะเป็นที่พึ่งได้ เห็นแต่พระพุทธศาสนาและผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ จะเป็นที่พำนักพ้นภัยอุปัทวันตราย ครั้นดำริแล้วก็ออกไปอุปสมบถเป็นภิกษุภาวะอยู่ ณ (วัด) ราชประดิษฐาน”
.
พระองค์ทรงบวชเพื่อหลบหนีจากภัยการเมือง โดยทรงรอเวลาในการรวบรวมกำลังไพร่พลที่จะสนับสนุนพระองค์ให้พร้อม ก่อนกำจัดขุนวรวงศาธิราชแล้วครองราชย์เป็น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในเวลาต่อมา พระองค์ก็ได้ทรงสละราชสมบัติให้สมเด็จพระมหินทราธิราช พระราชโอรส แล้วทรงบวชอีกครั้ง
.
พระองค์ทรงบวชเพื่อหนีความวุ่นวาย มีพระราชประสงค์หาความสงบ โดยมีขุนนางออกบวชตามจำนวนมาก โดยนัยหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสทางการเมืองให้ขุนนางกลุ่มใหม่ของพระราชโอรส เข้าบริหารแทนที่ขุนนางเก่าของพระองค์
.
อีกกรณีคือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ช่วงปลายรัชกาลก่อนที่พระองค์จะสวรรคต พระองค์ทรงถวายพระราชวังลพบุรีให้เป็นเขตพุทธาวาสและให้ขุนนางที่ใกล้ชิดบวชเพื่อหลบหนีจากภัยการเมือง เพราะทรงทราบว่า พระเพทราชากำลังวางแผนยึดราชสมบัติ จึงมีพระราชโองการให้ขุนนางที่ใกล้ชิดให้มาเข้าเฝ้า
.
“จึงมีพระราชดารัสให้หาบรรดาชาวที่ชาววังซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมประมาณสิบห้าคนเข้ามาเฝ้าในพระมหาปราสาทที่นั่งสุธาสวรรย์ที่เสด็จทรงพระประชวรอยู่แล้วนั้น จึงมีพระราชโองการตรัสว่า บัดนี้ อ้ายสองคนพ่อลูกมันคิดการเป็นกบฏ ฝ่ายเราก็ป่วยทุพลภาพหนักอยู่แล้ว เห็นชีวิตจะไม่ตลอดไปจนสามวัน และซึ่งท่านทั้งหลายจะอยู่ในฆราวาสนั้นเห็นว่า อ้ายกบฏพ่อลูกมันจะฆ่าเสียสิ้น อย่าอยู่เป็นคฤหัสถ์เลย จงบวชในพระบวรพุทธศาสนา เอาธงชัยพระอรหันต์เป็นที่พึ่งเถิดจะได้พ้นภัย”
.
อีกกรณีหนึ่งคือ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เมื่อพระองค์สวรรคต เจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ทรงไม่ลาสิกขาออกมารับราชสมบัติ ตามที่พระราชพงศาวดารระบุว่า “เจ้าฟ้านเรนทรซึ่งเป็นกรมขุนสุรเรนทรพิทักษ์เป็นภิกษุภาวะ เมื่อมิได้รับซึ่งราชสมบัติ จึงมิได้ลาผนวชออก”
.
ทั้งนี้ก็เพราะ เจ้าฟ้าพร ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผู้เป็นอานั้น ทรงมีพระราชอำนาจมากประการหนึ่ง มีความเหมาะสมเป็นผู้มีสิทธิครองราชสมบัติที่สุดประการหนึ่ง เจ้าฟ้านเรนทรจึงทรงบวชต่อไปเพื่อหลบหนีจากภัยการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทั้งนี้ ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์อา-หลานอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันมากพอสมควร
.
ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็มีเหตุการณ์การบวชเพื่อหลบหนีจากภัยการเมืองเช่นกัน กรณีนี้คือ เจ้าฟ้ากุ้ง พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เรื่องนี้สืบเนื่องจากความสัมพันธ์อา-หลาน ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับเจ้าฟ้านเรนทร (ซึ่งทรวงบวชเป็นพระอยู่) ใกล้ชิดกันมาก จนเกิดข่าวลือว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจะถวายราชสมบัติให้เจ้าฟ้านเรนทร
.
จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าฟ้านเรนทรถูกเจ้าฟ้ากุ้งลอบทำร้ายถึงในพระราชวังหลวง ทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงพิโรธอย่างมาก กรมหลวงอภัยนุชิต ผู้ทรงเป็นพระราชมาดาของเจ้าฟ้ากุ้ง จึงทรงรีบพาเจ้าฟ้ากุ้งขึ้นไปหลบในพระวอแล้วพาออกไปยังวัดโคกแสง แล้วให้เจ้าฟ้ากุ้งทรงบวชที่วัดนั้น เพื่อไม่ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศลงพระราชอาญา
.
กรณีสุดท้ายคือกรณีที่คุ้นเคยกันดีคือ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งในช่วงในปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศทรงบวชเพื่อเลี่ยงการกระทบกระทั่งทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างพี่-น้อง พงศาวดารระบุว่า
.
“จึงดำรัสสั่งเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ) ว่า จงไปบวชเสียอย่าให้กีดขวางเลย เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีมิอาจขัดพระราชโองการได้กลัวพระราชอาญาก็ต้องจำพระทัยทูลลาไปทรงผนวช”
.
หมายความว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศตั้งพระทัยมอบราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าเอกทัศจึงควรยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมดด้วยการออกบวชเสีย
.
ครั้นต่อมา สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครองราชสมบัติแล้ว ก็ถวายราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ แล้วทรงบวชเสด็จไปจำพรรษา ณ วัดประดู่ ซึ่งการออกบวชในครั้งนี้เพื่อทรงหลีกหนีความวุ่นวายทางการเมือง และใช้พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งคุ้มกันจากภยันตราย
ภาพ : สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร (ภาพจาก Youtube Sahamongkolfilm International Co.,Ltd)
#การบวช #พระสงฆ์ #พระพุทธศาสนา #อยุธยา #การเมือง #ศิลปวัฒนธรรม #SilpaMag

https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/posts/3247024105426959