วันอาทิตย์, ตุลาคม 26, 2568

การจงรักภักดีและความอยู่ดีของราษฎรสามารถดำเนินควบคู่กันได้ การจัดการไว้อาลัยอย่างสมดุลจะเป็นบทพิสูจน์ว่าสังคมไทยเติบโตทางวุฒิภาวะแล้วจริง ๆ


คริส โปตระนันทน์ - Chris Potranandana
14 hours ago
·
ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ
อนุทินและครม. ผู้กำหนดสมดุลของความรักต่อสถาบันกับการใช้ชีวิตของประชาชน
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการงดกิจกรรมรื่นเริง
บทเรียนจากต่างประเทศ: การไว้ทุกข์ที่สมดุลในความสูญเสียของราชวงศ์อังกฤษและญี่ปุ่น
ข้อเสนอแนวทางการไว้อาลัยที่สมดุลและเหมาะสม
บทสรุป: จงรักภักดีต้องควบคู่ไปกับความอยู่ดีของราษฎร

————————
ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่และความจงรักภักดีต่อสถาบัน

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2568 นับเป็นอีกวันหนึ่งที่ปวงชนชาวไทยโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง เมื่อมีประกาศสำนักพระราชวังว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จสวรรคตด้วยพระชนมายุ 93 พรรษา สิ้นสุดพระชนม์ชีพที่อุทิศให้กับชาติบ้านเมืองมาอย่างยาวนานกว่าเจ็ดทศวรรษ พระราชกรณียกิจของพระองค์ได้สร้างคุณประโยชน์แก่แผ่นดินนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมศิลปาชีพ การพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎรในชนบท ตลอดจนการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ด้วยเหตุนี้ ผมเองในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ขอน้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงนี้ และขอประกาศความจงรักภักดีอย่างไม่เสื่อมคลายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเศร้าโศกของคนทั้งชาติ สังคมไทยกำลังเผชิญกับความสับสนเกี่ยวกับ แนวทางการแสดงความไว้อาลัย ที่เหมาะสมและเป็นมาตรฐาน มีข้อเสนอจากบางฝ่ายว่าควรงดหรือล้มเลิกกิจกรรมรื่นเริงทุกประเภทเป็นระยะเวลา 30 วัน เพื่อถวายความเคารพต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นด้วยเจตนาดีที่ต้องการให้การไว้อาลัยเป็นไปอย่างสมพระเกียรติยศยิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ได้สร้างความกังวลใจและคำถามตามมามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามที่ว่า เราจะแสดงความจงรักภักดีและไว้อาลัยแด่พระองค์ผู้ล่วงลับได้ โดยไม่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประชาชน ได้หรือไม่?

นายกต้องเป็นตัวแทนคนไทยในการรักษาสมดุลของความรักต่อสถาบันกับชีวิตประชาชน

ความรักและเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนไทยทุกหมู่เหล่า ดังจะเห็นได้จากบรรยากาศแห่งความโศกเศร้าและการหลั่งไหลของประชาชนที่เดินทางมาถวายสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระพันปีหลวงในช่วงนี้ ข้าราชการทุกฝ่ายได้พร้อมใจกันลดธงครึ่งเสาและสวมใส่ชุดดำไว้ทุกข์ เช่นเดียวกับในส่วนของภาคประชาชนที่ต่างร่วมใจกันแสดงออกถึงความอาลัยตามกำลังและความเหมาะสม ในส่วนของภาครัฐ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการออกแนวทางการไว้ทุกข์ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั่วประเทศ เช่น กำหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์มีกำหนด 1 ปี และขอความร่วมมือประชาชนแต่งกายด้วยชุดสุภาพสีดำหรือสีไม่ฉูดฉาดตามสมควร พร้อมทั้งขอความร่วมมือสถานบันเทิงและสถานบริการต่าง ๆ งดหรือลดกิจกรรมเพื่อความบันเทิงเป็นเวลา 30 วัน เพื่อให้การจัดพระราชพิธีพระศพเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ แนวทางเหล่านี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทุกฝ่ายที่จะร่วมใจกันแสดงความจงรักภักดีอย่างเต็มที่

แต่ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต้องคำนึงถึงสวัสดิภาพและความอยู่ดีกินดีของประชาชน ด้วย ก็คือสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้ ประชาชนก็คือ “พสกนิกร” ของพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นองค์ประมุขของชาติ ดังพระราชปณิธานของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่ทรงยึดถือเสมอมาว่า “ความสุขของราษฎรคือความสุขของพระราชา” การที่เราจะรักษาความจงรักภักดีต่อสถาบันโดยแลกกับความทุกข์ยากของประชาชนนั้น หาใช่วิธีที่ถูกต้องไม่ ในทางตรงกันข้าม การดูแลให้พี่น้องประชาชนยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ (เท่าที่จะเป็นไปได้ในภาวะโศกเศร้า) ต่างหากที่จะแสดงให้เห็นว่าการไว้อาลัยของเรานั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเมตตาและเหตุผล และจะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในดวงใจของประชาชนอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น

กิจกรรมรื่นเริงคือส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่มีความสำคัญ ไม่ใช่เรื่องของการละเล่นสนุกสนานของคนบางกลุ่มเท่านั้น ในห่วงโซ่ของเศรษฐกิจบันเทิงนั้น มีคนธรรมดาสามัญมากมายที่หาเลี้ยงชีพอยู่เบื้องหลังการจัดงานแต่ละครั้ง ตั้งแต่ศิลปิน นักดนตรี นักแสดง ทีมผู้จัดเวที แม่บ้าน คนทำความสะอาด พนักงานขนย้ายอุปกรณ์ พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยหน้าโรงงาน หรือแม้กระทั่งพนักงานบริการตามสถานที่จัดงาน พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นฟันเฟืองในระบบเศรษฐกิจบันเทิงที่สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวของตนเอง การงดเว้นกิจกรรมทั้งหมดโดยฉับพลัน อาจส่งผลให้แรงงานกลุ่มนี้สูญเสียรายได้ไปในทันที หลายคนอาจกำลังพึ่งพารายได้จากเทศกาลปลายปี ไม่ว่าจะเป็นงานคอนเสิร์ตส่งท้ายปี การจัดงานเฉลิมฉลองปีใหม่ งานแฟร์เทศกาลท่องเที่ยว หรืออีเวนต์ธุรกิจต่าง ๆ ที่มักจัดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

ดังนั้น โจทย์สำคัญที่เราต้องขบคิดร่วมกัน คือ จะทำอย่างไรให้ความรักและความอาลัยต่อสถาบันไม่กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของราษฎร อันเป็นองค์ประกอบสำคัญของชาติไทย เราจะแสดงความอาลัยได้อย่างสมพระเกียรติ ควบคู่ไปกับการดูแลไม่ให้สังคมและเศรษฐกิจหยุดชะงักเกินความจำเป็น ได้อย่างไร?

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการงดกิจกรรมรื่นเริง

ประเทศไทยในปี 2568 กำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังผ่านวิกฤตโควิด-19 และปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจโลกหลายประการ แม้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะไม่สูงนักแต่ก็อยู่ในทิศทางบวก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวประมาณ 2.2% (ชะลอลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า) โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน นอกจากนี้ ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี (เดือนตุลาคม-ธันวาคม) ยังถือเป็น ฤดูท่องเที่ยว (High Season) ที่ประเทศไทยจะต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และมีกิจกรรมจับจ่ายใช้สอยคึกคักเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลลอยกระทงในเดือนพฤศจิกายน ต่อเนื่องไปถึงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ในเดือนธันวาคม

ข้อมูลจาก สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ระบุว่า ตลอดปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยราว 33.15 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 1.52 ล้านล้านบาท ซึ่งแม้จะยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 (ปี 2562) ราว 17-20% แต่ก็นับว่าเป็นจำนวนมหาศาลที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจประเทศอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยวชี้ว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในไตรมาส 4/2568 เพราะเป็นช่วงไฮซีซันของไทย ผู้ประกอบการภาคต่าง ๆ เช่นธุรกิจบันเทิงยามค่ำคืน ธุรกิจสถานบันเทิงและบริการท่องเที่ยว ก็คาดหวังว่าจะกลับมาคึกคักสูงสุดในช่วงปลายปี นี่หมายความว่า ภาคบันเทิงและการจัดงานรื่นเริงปลายปีมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างยิ่ง เป็นช่วงเวลาที่เม็ดเงินสะพัด เกิดการจ้างงานเสริม และรายได้พิเศษสำหรับแรงงานหลายภาคส่วน

การ งดจัดงานรื่นเริงทุกประเภทเป็นเวลา 30 วันหรือยาวไปจนสิ้นปี ย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อภาพรวมเศรษฐกิจดังกล่าว ลองนึกภาพว่าในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤศจิกายนหรือตลอดเดือนธันวาคม ไม่มีการจัดคอนเสิร์ต งานเทศกาล เพลง ดนตรี งานปีใหม่ การตกแต่งและกิจกรรมพิเศษตามสถานที่ท่องเที่ยวถูกยกเลิกหมด เม็ดเงินที่จะหมุนเวียนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยในกิจกรรมเหล่านี้จะหายไปจำนวนมาก ธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม และค้าปลีก ที่หวังรายได้ช่วงเทศกาลก็จะซบเซาลงถนัดตา ยอดการจ้างงานชั่วคราวหรืองานพาร์ทไทม์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวก็อาจหดหาย ส่งผลให้แรงงานรายได้น้อยเสียโอกาสในการมีรายได้จุนเจือครอบครัว

หากประเมินเป็นตัวเลข ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งเดิมคาดว่าจะเติบโตราว 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) ก็อาจเผชิญความเสี่ยงที่จะเติบโตต่ำกว่านั้น เนื่องจากการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวและบันเทิงชะลอตัวลงกว่าที่ประมาณการไว้ GDP ทั้งปี 2568 ที่ธปท. คาดไว้ 2.2% อาจขยายตัวไม่ถึงระดับดังกล่าว หากรายได้จากภาคบันเทิง-ท่องเที่ยวช่วงปลายปีหดหายไปอย่างมีนัยสำคัญ จากบทเรียนในอดีต ผู้เชี่ยวชาญบางรายเคยแสดงความเห็นไว้เมื่อครั้งเหตุการณ์การไว้ทุกข์ปี 2559 ว่า การงดกิจกรรมรื่นเริงอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงบ้าง แต่เชื่อว่า หากพื้นฐานเศรษฐกิจยังแข็งแรง ผลกระทบจะไม่รุนแรงมากนัก อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในปีนี้แตกต่างออกไป เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอตัว ภาคธุรกิจท่องเที่ยวยังเปราะบาง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้คาดว่าจะลดลงราว 6-9% จากปีก่อนหน้า อยู่แล้ว การซ้ำเติมด้วยการหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมจึงอาจสร้างผลกระทบในวงกว้างกว่าที่คาดคิด

เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ลองพิจารณา ตัวอย่างเชิงปริมาณ สมมติว่าการงดงานรื่นเริง 30 วันในช่วงไฮซีซันส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกแผนเดินทางหรือใช้จ่ายลดลงเพียง 5-10% จากที่คาดไว้ นั่นหมายถึงรายได้ที่หายไปราว 7.6-15.2 หมื่นล้านบาท (คิดจากรายได้ไตรมาส 4 ที่ควรจะอยู่ราว 30% ของ 1.52 ล้านล้านทั้งปี) นี่ยังไม่นับรวมการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวไทยในเทศกาลต่าง ๆ ที่อาจลดลงอีก นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost) ของผู้ประกอบการที่ลงทุนเตรียมงานหรือสต็อกสินค้ารอเทศกาล ซึ่งหากงานถูกยกเลิก พวกเขาอาจแบกรับความสูญเสียโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมา

แน่นอนว่า ตัวเลขเหล่านี้เป็นการประมาณอย่างคร่าว ๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่าการหยุดกิจกรรมบันเทิงและเทศกาลอย่างยาวนานเกินไปอาจมีราคาแพงเพียงใดต่อเศรษฐกิจไทย ด้วยเหตุนี้เอง การตัดสินใจใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาไว้อาลัย จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยชั่งน้ำหนักระหว่าง การถวายความเคารพแด่สถาบัน กับ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับปากท้องประชาชน และเศรษฐกิจโดยรวม

บทเรียนจากต่างประเทศ: การไว้ทุกข์ที่สมดุลระหว่างประเพณีกับชีวิตปกติ

ประเทศไทยมิใช่ประเทศเดียวที่มีพระมหากษัตริย์หรือสมาชิกราชวงศ์เสด็จสวรรคต ประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อื่น ๆ ก็เคยประสบเหตุการณ์สูญเสียและต้องกำหนดแนวทางการไว้ทุกข์ในระดับชาติ ตัวอย่างที่น่าศึกษา คือ สหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ซึ่งต่างก็เป็นประเทศที่มีประเพณีการถวายความอาลัยต่อองค์พระประมุขอันยาวนาน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความต่อเนื่องของชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจของบ้านเมือง

กรณีการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษ (Queen Elizabeth II) เมื่อเดือนกันยายน 2022 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศ ช่วงเวลาไว้ทุกข์แห่งชาติ 10 วัน เพื่อให้ประชาชนร่วมแสดงความอาลัยต่อพระองค์ การประกาศครั้งนั้นมีรายละเอียดกำหนดการพระราชพิธีและขอความร่วมมือให้ส่วนราชการลดธงครึ่งเสา แต่มิได้มีคำสั่งปิดประเทศหรือระงับกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดโดยเด็ดขาด ตลอดช่วง 10 วันดังกล่าว ชีวิตประจำวันและกิจกรรมหลายด้านยังดำเนินต่อไปภายใต้บรรยากาศแห่งความเศร้าอย่างเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การแข่งขันกีฬาบางรายการที่มีกำหนดจัดขึ้นก็มีการปรับเปลี่ยนกำหนดการอย่างยืดหยุ่น – การแข่งขันคริกเก็ตระดับชาติได้หยุดชั่วคราว 1 วันในวันรุ่งขึ้นหลังการสวรรคต และสามารถกลับมาแข่งขันต่อในวันถัดไป โดยจัดพิธีสงบนิ่งไว้อาลัยก่อนเริ่มการแข่งขันและให้นักกีฬาสวมปลอกแขนดำเพื่อถวายเกียรติยศ ขณะเดียวกัน ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ซึ่งเป็นกีฬายอดนิยม ได้ประกาศ เลื่อนการแข่งขันเฉพาะในช่วงสุดสัปดาห์แรก หลังข่าวการสวรรคต (รวมถึงคืนวันศุกร์และคืนวันจันทร์) เพื่อเป็นการถวายความเคารพต่อองค์ราชินีผู้ล่วงลับ จากนั้นการแข่งขันก็กลับมาดำเนินต่อในสัปดาห์ถัดมา ภายใต้มาตรการแสดงความอาลัย เช่น การยืนสงบนิ่งก่อนเกมและการแสดงภาพพระบรมฉายาลักษณ์บนจอยักษ์ในสนาม

สำหรับ กิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรมและบันเทิงในอังกฤษ ก็มีการปรับตามความเหมาะสมเช่นกัน งานใหญ่บางงานเช่น London Fashion Week ในปีนั้นเลือกที่จะยกเลิกการเดินแบบโชว์ของแบรนด์ใหญ่บางแบรนด์ในช่วงวันงานศพ แต่ไม่ได้ยกเลิกทั้งหมดทั้งสัปดาห์ งานแจกรางวัลทางดนตรีอย่าง Mercury Prize ที่ตรงกับคืนวันสวรรคตก็เลื่อนออกไปก่อน เช่นเดียวกับการนัดหยุดงานประท้วงของสหภาพแรงงานบางส่วนก็ประกาศยุติชั่วคราวเพื่อไม่ให้กระทบความรู้สึกของประชาชนในช่วงดังกล่าว จะเห็นได้ว่า แนวทางของอังกฤษมุ่งเน้นการแสดงความเคารพผ่านการปรับลดหรือหยุดกิจกรรมเฉพาะส่วนที่มุ่งบันเทิงหรือเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมในเวลานั้น แต่ไม่ได้บังคับให้ “เมืองทั้งเมืองต้องหยุดนิ่ง” เป็นเวลานานเกินจำเป็น กล่าวคือ ยังประคับประคองให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ พร้อมกับดำรงไว้ซึ่งบรรยากาศแห่งความไว้อาลัย

ในด้านของ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นประมุข ในประวัติศาสตร์ใกล้เคียงยุคปัจจุบันมีกรณีที่น่าสนใจคือ กรณีการสวรรคตของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (จักรพรรดิโชวะ) เมื่อเดือนมกราคม 1989 รัฐบาลญี่ปุ่นในขณะนั้นได้ประกาศ ไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 6 วัน และกำหนดพระราชพิธีพระบรมศพให้จัดขึ้นภายหลังการสวรรคตถึง 6 สัปดาห์ตามโบราณราชประเพณี ระหว่างนั้น รัฐบาลขอความร่วมมือให้มีการยกเลิกงานรื่นเริงและการเฉลิมฉลองบางอย่าง เพื่อแสดงความเคารพยิ่งต่อพระองค์ เช่น การแข่งขันกีฬาบางรายการ (เช่น การแข่งรักบี้และซูโม่บางส่วน) ได้ถูกปรับตารางใหม่ภายหลังงานพระบรมศพ หรือการลดกิจกรรมส่งเสริมการขายในห้างร้านบางแห่งชั่วคราว ในคืนวันสวรรคต ไฟสว่างและป้ายโฆษณาในย่านบันเทิงใหญ่ของโตเกียว เช่นที่ย่านกินซ่า ได้ลดแสงลงหรือปิดไฟให้บรรยากาศสงบเสงี่ยม ขณะที่สถานีโทรทัศน์ทุกช่องปรับผังรายการ งดรายการบันเทิง เปลี่ยนมาฉายสารคดีเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและประวัติศาสตร์ราชวงศ์แทน เพื่อให้สังคมซึมซับบรรยากาศไว้อาลัยโดยพร้อมเพรียงกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นระมัดระวังอย่างยิ่ง คือการไม่ให้การไว้ทุกข์กระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันเกินควร ช่วงเวลา 6 วันที่ประกาศไว้อาลัย ประชาชนทั่วไปยังคงประกอบธุรกิจการค้าและทำงานตามปกติ ธนาคาร บริษัท ร้านค้า ส่วนใหญ่ยังเปิดดำเนินการ (แม้บางแห่งจะประดับผ้าขาวดำหรือแสดงสัญลักษณ์การไว้อาลัย) ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวที่หยุดทำการในวันเสาร์ที่มีข่าวการสวรรคต ก็กลับมาเปิดซื้อขายตามปกติในวันจันทร์โดยที่นักลงทุนมิได้ตื่นตระหนกมากนัก นักวิเคราะห์เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในเวลานั้นประเมินว่า การสวรรคตของจักรพรรดิจะไม่ก่อให้เกิด “ความปั่นป่วน” ต่อกิจกรรมทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ เพราะรัฐบาลได้สร้างสมดุลระหว่างการปฏิบัติตามราชประเพณีกับการปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป โดยหลังพระราชพิธีพระบรมศพผ่านพ้น ชีวิตในสังคมญี่ปุ่นก็คืนสู่ภาวะปกติอย่างราบรื่น

บทเรียนสำคัญจากสองประเทศนี้ คือ การไว้ทุกข์ในระดับชาติสามารถดำเนินไปควบคู่กับการรักษาความต่อเนื่องของเศรษฐกิจและชีวิตประชาชนได้ หากรัฐมีการวางแผนและออกแนวทางที่ชัดเจนเหมาะสม เราจะเห็นว่าทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นต่างให้ความสำคัญกับ การกำหนดระยะเวลาและขอบเขตของการงดกิจกรรมอย่างพอดี คือมีกรอบเวลาที่แน่นอน (10 วันในอังกฤษ, 6 วันในญี่ปุ่น สำหรับการงดกิจกรรมหลัก) และเน้น ขอความร่วมมือหรือสั่งงดเฉพาะกิจกรรมที่มีลักษณะไม่สอดคล้องกับอารมณ์โศกเศร้า เช่น การแสดงบันเทิงครื้นเครง การเฉลิมฉลองใหญ่โต การโฆษณาที่ฉูดฉาด เป็นต้น ส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันพื้นฐานยังคงดำเนินต่อโดยอาจปรับรูปแบบให้เหมาะสม เช่น เปิดร้านได้แต่ลดความดังของเสียงเพลง ไม่จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เว่อร์วังเกินเหตุ เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลต้องสื่อสารให้ประชาชนและผู้ประกอบการเข้าใจ แนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความมั่นใจและสามารถวางแผนการดำเนินกิจการของตนได้อย่างถูกต้อง

กรณีของอังกฤษเองก็มีบทเรียนเรื่องนี้เช่นกัน ในช่วงแรกที่ประกาศไว้อาลัย สมาคมธุรกิจและประชาชนบางส่วนยังสับสนว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร จนรัฐบาลต้องออก “คู่มือ” แนวปฏิบัติอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างความชัดเจน ตั้งแต่เรื่องการจัดพิธี การแต่งกาย ไปจนถึงการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ ว่าอะไรทำได้หรือควรงดเว้นบ้าง ซึ่งเมื่อเกิดความกระจ่างชัด ธุรกิจต่าง ๆ ก็สามารถดำเนินกิจการต่อโดยรู้ขอบเขต ขณะเดียวกันก็ร่วมมือในการถวายความอาลัยอย่างเต็มที่

ข้อเสนอแนวทางการไว้อาลัยที่สมดุลและเหมาะสม

บนพื้นฐานของข้อมูลและบทเรียนข้างต้น ผมขอเสนอแนวคิดบางประการสำหรับประเทศไทยในการจัดการช่วงเวลาไว้อาลัยครั้งนี้อย่างสมดุล เพื่อให้เกิดความเคารพสูงสุดต่อสมเด็จพระพันปีหลวง ควบคู่ไปกับการปกป้องสวัสดิภาพทางเศรษฐกิจของพสกนิกร ดังต่อไปนี้:
1. กำหนดระยะเวลาไว้อาลัยที่ชัดเจนและเหมาะสม: รัฐควรประกาศกรอบเวลาการงดหรือลดกิจกรรมรื่นเริงที่แน่นอนและไม่ยืดเยื้อเกินไป เช่น 15 วันหรือ 30 วันตามที่เห็นสมควร (ปัจจุบัน ครม. ขอความร่วมมือ 30 วัน ) โดยเน้นว่านี่คือระยะเวลาสำหรับการปรับลดกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เท่านั้น ไม่ใช่การ “ปิดประเทศ” ในทุกมิติ และหลังครบกำหนดเวลาดังกล่าว กิจกรรมต่าง ๆ สามารถทยอยกลับมาจัดได้ตามปกติภายใต้บรรยากาศที่สุภาพเหมาะสม การมีเส้นตายที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้ประกอบการและประชาชนวางแผนชีวิตและธุรกิจได้ล่วงหน้า ลดความไม่แน่นอนที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่น
2. แยกแยะประเภทของกิจกรรม: ควรมีแนวทางที่แตกต่างกันสำหรับกิจกรรมแต่ละประเภท แบ่งออกเป็นกลุ่มที่ควรงดเด็ดขาดในช่วงไว้อาลัย กับกลุ่มที่สามารถดำเนินการต่อได้โดยปรับรูปแบบให้เหมาะสม
• กิจกรรมที่ควรงดชั่วคราว: งานรื่นเริงใหญ่ ๆ ที่มีลักษณะเฉลิมฉลอง สนุกสนานเต็มที่ เช่น งานปาร์ตี้สังสรรค์ในที่สาธารณะ รวมถึงรายการบันเทิงทางโทรทัศน์บางประเภท ควรงดจัดหรือเลื่อนออกไปก่อนในช่วงแรกของการไว้ทุกข์
• กิจกรรมที่ปรับรูปแบบ: กิจกรรมบางอย่างที่สามารถดำเนินต่อแต่เปลี่ยนโทนให้สุภาพขึ้น เช่น การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน งานแฟร์หรือมหกรรมสินค้าที่อาจลดดนตรีเสียงดังลง ปรับการตกแต่งให้เรียบง่ายขึ้น หรือกิจกรรมการแข่งขันกีฬาที่ยังจัดได้แต่เริ่มงานด้วยการยืนสงบนิ่งไว้อาลัย 1 นาที เป็นต้น แนวทางนี้คล้ายกับที่อังกฤษให้การแข่งขันกีฬาดำเนินต่อแต่มีการแสดงความเคารพก่อนเริ่มเกม
• กิจกรรมทางเศรษฐกิจประจำวัน: เช่น การเปิดให้บริการของห้างร้าน ตลาด ร้านอาหาร โรงหนัง สามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ แต่ให้อยู่ภายใต้บรรยากาศที่สำรวม เช่น ลดเสียงเพลง ไม่จัดโปรโมชั่นที่ไม่เหมาะสมต่อบรรยากาศ และอนุญาตให้พนักงานแต่งกายไว้ทุกข์ขณะปฏิบัติงาน
3. สื่อสารและสร้างความเข้าใจร่วมกัน: รัฐบาลควรออกประกาศหรือคู่มืออย่างเป็นทางการที่ชี้แจงแนวปฏิบัติในช่วงไว้อาลัยให้ประชาชนและภาคธุรกิจเข้าใจตรงกัน เช่น อาจจัดหมวดหมู่กิจกรรมที่ “ควรงด” “ควรเลื่อน” “ทำได้โดยปรับรูปแบบ” ให้ชัด เพื่อป้องกันความสับสนและความหวาดกลัวที่จะทำผิดมารยาทของผู้ประกอบการ ซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2559 ที่หลายธุรกิจ “ไม่กล้าขยับตัว” เพราะไม่แน่ใจว่ารัฐต้องการให้ทำอะไรได้แค่ไหน การมีคู่มือชัดเจนจะช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถดำเนินกิจกรรมเท่าที่จำเป็นต่อไปได้โดยไม่รู้สึกผิด และมั่นใจว่าไม่ได้ลบหลู่การไว้อาลัย
4. มาตรการเยียวยาและผ่อนผันทางเศรษฐกิจ: หากมีการสั่งงดกิจกรรมบางประเภทจริง ๆ รัฐควรพิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในกลุ่มนี้เป็นกรณีพิเศษ เช่น การลดภาษีหรือค่าเช่าสถานที่ในเดือนนั้น ๆ ให้แก่ผู้จัดงานที่ต้องยกเลิกกิจกรรม การจัดกองทุนช่วยเหลือศิลปินอิสระหรือฟรีแลนซ์ที่งานถูกยกเลิกกะทันหัน ตลอดจนการผ่อนผันเงื่อนไขเงินกู้หรือภาระหนี้สินระยะสั้นให้ธุรกิจรายย่อยที่ได้รับผลกระทบ มาตรการเหล่านี้จะแสดงให้เห็นว่ารัฐ “ไม่ทอดทิ้ง” ผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงทางเศรษฐกิจจากการไว้อาลัย และลดแรงปะทะทางความรู้สึกในหมู่ประชาชนที่อาจเกิดความไม่พอใจหากพวกเขารู้สึกว่าต้องเสียสละอยู่ฝ่ายเดียว
5. ส่งเสริมกิจกรรมถวายความอาลัยที่สร้างสรรค์: เพื่อเป็นการผสานความจงรักภักดีกับการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐและภาคเอกชนอาจร่วมกันจัดกิจกรรมที่เป็นการถวายความอาลัยเชิงสร้างสรรค์และไม่กระทบเศรษฐกิจ เช่น การจัดนิทรรศการพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงในห้างสรรพสินค้า (ดึงคนเข้าห้างโดยได้ทั้งความรู้และการจับจ่าย) การจัดคอนเสิร์ตรำลึกบทเพลงพระราชนิพนธ์หรือเพลงเทิดพระเกียรติที่สุภาพ (ให้ศิลปินมีงานทำ ขณะเดียวกันก็เป็นการถวายความเคารพพระองค์) หรือการรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติร่วมแต่งชุดสุภาพเข้าวัดทำบุญอุทิศถวาย ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในการไว้อาลัย โดยไม่จำเป็นต้องหยุดนิ่งเฉยอย่างเดียว

บทสรุป: จงรักภักดีควบคู่ไปกับความอยู่ดีของราษฎร

การถวายความอาลัยแด่องค์สมเด็จพระพันปีหลวง ครั้งนี้ เป็นบททดสอบความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนไทยทั้งชาติในด้านจิตใจและปัญญา เราทุกคนต่างมีความเศร้าโศกเสียใจและปรารถนาจะร่วมกันแสดงความจงรักภักดีอย่างเต็มที่สมพระเกียรติยศพระองค์ผู้ล่วงลับ แต่ขณะเดียวกัน เราก็ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ของชาติเราเองและของต่างประเทศว่า การแสดงความเคารพรักต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น สามารถทำควบคู่ไปกับการดูแลชีวิตและความผาสุกของราษฎรได้ ดังพระบรมราโชวาทในหลวงรัชกาลก่อน ๆ ที่มักทรงเน้นให้พสกนิกร “รู้จักดำรงสติและปัญญาในการเผชิญเหตุการณ์บ้านเมือง” ในยามนี้ การมีสติและใช้ปัญญากำหนดแนวทางไว้อาลัยที่พอดีจะช่วยให้เราผ่านช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าไปได้ โดยไม่สร้างบาดแผลเพิ่มเติมให้กับสังคม

ผมขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และความห่วงใยในทุกข์สุขของประชาชนคนไทยสามารถเดินหน้าไปด้วยกันได้ เราสามารถพร้อมใจกันแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง โดยไม่ปล่อยให้เศรษฐกิจของชาติสะดุดหยุดลงจนประชาชนต้องลำบาก ได้หากเราวางแผนและสื่อสารอย่างเหมาะสม ดังที่นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่าแม้การงดกิจกรรมบันเทิงจะทำให้เศรษฐกิจชะลอลงบ้าง แต่หากมีมาตรการรองรับที่ดี ผลกระทบก็จะจำกัดอยู่ในวงแคบและเศรษฐกิจโดยรวมยังเดินหน้าต่อได้ ในท้ายที่สุดแล้ว “เศรษฐกิจของชาติที่มั่นคงคือรากฐานสำคัญของสถาบันที่มั่นคง” หากประชาชนอยู่ดีกินดีภายใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์ ความศรัทธาภักดีที่พวกเขามีต่อสถาบันก็จะยิ่งหยั่งรากลึกและยั่งยืน

การตัดสินใจเชิงนโยบายทุกอย่างในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้จะเป็นเครื่องชี้วัดถึง วุฒิภาวะของสังคมไทย ว่าเราสามารถผสานหัวใจแห่งความจงรักภักดีกัเหตุบความเป็นเหตุผลเป็นผลได้ดีเพียงใด ผมเชื่อมั่นว่าหากเราดำเนินแนวทางไว้อาลัยที่สมดุลเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการเทิดพระเกียรติและรำลึกถึงสมเด็จพระพันปีหลวงผู้เป็นที่รักยิ่งอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ยังจะช่วย ลดทอนกระแสความไม่เข้าใจหรือการต่อต้านสถาบันฯ ที่อาจเกิดขึ้นจากความอึดอัดคับข้องใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังที่ได้มีการตั้งข้อสังเกตในสังคมว่าหากการไว้อาลัยถูกบริหารจัดการได้ดี ประชาชนทุกกลุ่มรู้สึกมีส่วนร่วมและไม่เดือดร้อนเกินจำเป็น แรงเสียดทานต่อสถาบันก็จะลดลงอย่างมาก เพราะผู้คนจะเห็นว่าสถาบันฯ มิได้เป็นเหตุให้ชีวิตพวกเขาต้องลำบาก ตรงกันข้ามสถาบันฯ ยังคงอยู่เคียงข้างประชาชนทั้งในยามสุขและยามทุกข์

ในนามของประธานพรรคเศรษฐกิจ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของสมเด็จพระพันปีหลวง และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนร่วมกันถวายความอาลัยอย่างพร้อมเพรียง ถูกต้อง เหมาะสม เรามาร่วมกันพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า คนไทยสามารถผสานความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เข้ากับการรักษาความอยู่ดีมีสุขของคนในชาติได้เป็นอย่างดี การไว้อาลัยครั้งนี้จะไม่ใช่เพียงการหลั่งน้ำตาแห่งความโศกเศร้า หากแต่จะเป็นการรวมพลังใจของคนทั้งชาติเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัยและแรงบันดาลใจดังเช่นที่ผ่านมา และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปในอนาคต.

ขอถวายความอาลัยและสดุดีพระเกียรติคุณสมเด็จพระพันปีหลวง ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

คริส โปตระนันทน์
ประธานพรรคเศรษฐกิจ
25 ตุลาคม 2568

อ้างอิง:
-ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2568). ประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ณ ตุลาคม 2568. กรุงเทพฯ: ธปท.
-สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2568). ประมาณการสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย ปี 2568.
-คณะรัฐมนตรี. (2568). แนวทางการถวายความอาลัยสมเด็จพระพันปีหลวง.
-The Independent (2022). All the events cancelled following the Queen’s death.
-Deseret News (1989). Thousands Mourn at Emperor’s Palace.
-The Momentum (2559). เศรษฐกิจไทยจะเดินไปทางไหนในความโศกเศร้า.



คริส โปตระนันทน์ - Chris Potranandana

แอด สรุปบทความ “เศรษฐกิจไทยกับการสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวง: ไว้ทุกข์กี่วันถึงจะเหมาะสม?” ในรูปแบบ Bullet Points แบบเข้าใจง่ายและครบประเด็นให้ครับ

ความสูญเสียและความจงรักภักดี
• วันที่ 25 ต.ค. 2568 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สวรรคต สิริพระชนมายุ 93 พรรษา
• พระราชกรณียกิจสร้างคุณูปการต่อชาติในหลายด้าน เช่น ศิลปาชีพ การพัฒนาชนบท วัฒนธรรมไทย
• ผู้เขียน (คริส โปตระนันทน์) แสดงความอาลัยและจงรักภักดี
• เกิดข้อถกเถียงในสังคมเรื่อง “ระยะเวลาไว้อาลัย” เช่น ข้อเสนอให้งดกิจกรรมรื่นเริง 15 วัน

บทบาทนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
• รัฐบาลต้องรักษาสมดุลระหว่าง “ความรักต่อสถาบัน” และ “ชีวิตประชาชน”
• ข้าราชการไว้ทุกข์ 1 ปี ประชาชนแต่งกายสุภาพ 30 วัน งดกิจกรรมบันเทิง
• แต่ต้องไม่ลืมว่า “ความสุขของราษฎรคือความสุขของพระราชา”
• การงดกิจกรรมทุกอย่างกระทบประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานในภาคบันเทิงและบริการ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
• เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัวเพียง 2.2% — พึ่งพาการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน
• ช่วง ต.ค.–ธ.ค. เป็น High Season รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคาด 1.52 ล้านล้านบาท
• หากงดกิจกรรมรื่นเริง 15 วัน อาจสูญรายได้ 7.6–15.2 หมื่นล้านบาท
• ส่งผลกระทบต่อ GDP ไตรมาส 4 และทั้งปี อาจต่ำกว่าเป้าหมาย
• ภาคธุรกิจบันเทิง ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และแรงงานชั่วคราวได้รับผลกระทบโดยตรง

บทเรียนจากต่างประเทศ
สหราชอาณาจักร (ควีนเอลิซาเบธที่ 2, ปี 2022)
• ไว้อาลัย 10 วัน
• งดกิจกรรมเฉพาะส่วน เช่น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเลื่อน 1 สัปดาห์, งานบางส่วนปรับโทนให้สุภาพ
• ไม่หยุดกิจกรรมเศรษฐกิจทั้งหมด
ญี่ปุ่น (จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ, ปี 1989)
• ไว้อาลัย 6 วัน
• ปรับลดกิจกรรมเฉลิมฉลองบางส่วน
• ธุรกิจและตลาดหุ้นเปิดตามปกติ เศรษฐกิจไม่สะดุด
• เน้นการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม
บทเรียนร่วม:
• การไว้ทุกข์ที่ดีต้อง “สมดุล” ระหว่างประเพณีกับชีวิตเศรษฐกิจ
• มีกรอบเวลาชัดเจน (6–10 วันในต่างประเทศ)
• ขอความร่วมมือเฉพาะกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่หยุดทั้งประเทศ

ข้อเสนอแนวทางสำหรับประเทศไทย
1. กำหนดกรอบเวลาไว้อาลัยชัดเจน เช่น 15–30 วัน เพื่อลดความไม่แน่นอน
2. แยกประเภทกิจกรรม
• งดเฉพาะกิจกรรมเฉลิมฉลองใหญ่
• กิจกรรมทั่วไปปรับให้สุภาพได้
• ธุรกิจพื้นฐานดำเนินต่อได้แต่ควรสำรวม
3. รัฐควรสื่อสารชัดเจน ออกคู่มือหรือแนวทางให้ภาคธุรกิจเข้าใจ
4. มีมาตรการเยียวยา เช่น ลดภาษี ผ่อนชำระหนี้ หรือกองทุนช่วยศิลปิน/แรงงานที่ได้รับผลกระทบ
5. ส่งเสริมกิจกรรมถวายอาลัยเชิงสร้างสรรค์ เช่น นิทรรศการในห้าง เพลงเทิดพระเกียรติ กิจกรรมทำบุญร่วมกับนักท่องเที่ยว

บทสรุป
• การจงรักภักดีและความอยู่ดีของราษฎรสามารถดำเนินควบคู่กันได้
• หากบริหารการไว้อาลัยด้วย “สติและปัญญา” จะไม่กระทบเศรษฐกิจและความรู้สึกประชาชน
• “เศรษฐกิจมั่นคง สถาบันมั่นคง” — ประชาชนที่อยู่ดีกินดีคือหลักของความจงรักภักดีที่ยั่งยืน
• การจัดการไว้อาลัยอย่างสมดุลจะเป็นบทพิสูจน์ว่าสังคมไทยเติบโตทางวุฒิภาวะแล้วจริง ๆ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1345437493612449&set=a.476001263889414