วันอังคาร, มิถุนายน 02, 2558

กฎหมายอังกฤษเขียนชัดเจนดี แต่ละปีรัฐบาลจะเจียดเงินไปอุดหนุนสถาบันกษัตริย์เท่าไร - Queen's income to face scrutiny after public funding for monarchy rises to £40m




กฎหมายบ้านเขาเขียนชัดเจนดีว่า แต่ละปีรัฐบาลจะเจียดเงินไปอุดหนุนสถาบันกษัตริย์เท่าไร ปัญหาคือมีคนมองว่าในขณะที่รัฐบาลใช้นโยบายรัดเข็มขัดกับประชาชน ตัดลดงบประมาณด้านสังคมลง แต่รายได้ส่วนพระองค์กลับสูงขึ้นเรื่อย ๆ สวนทางกัน

หลายปีมานี้อังกฤษเปลี่ยนมาใช้ระบบ “Sovereign Grant” คือจัดสรร 15% ของผลกำไรจากการดำเนินงานของ Crown Estate (ถ้าบ้านเราเรียก “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์”) มอบให้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์ ที่อังกฤษเขาถวายให้เฉพาะสมเด็จพระราชินีนาถองค์เดียว เชื้อพระวงศ์อื่น ๆ ไม่ได้เงินจากรัฐ อย่างปีนี้อยู่ที่ประมาณ 40 ล้านปอนด์ อย่าคิดว่ามาก เพราะต้องเอาไปใช้จ่ายทั้งในรูปค่าแรงเจ้าหน้าที่ของวัง การซ่อมแซมบูรณปฏิสังขรณ์ การเก็บรักษา Royal Collection ภาพเขียน/วาดหลายหมื่นชิ้น (ถือว่าใหญ่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ภาพของ Leonardo da Vinci 600 กว่าภาพแน่ะ)

ถึงอย่างนั้นก็มีคนวิจารณ์ว่างบสนับสนุนสาบันกษัตริย์มันเพิ่มมากไป เพราะเทียบกับสามปีก่อนถือว่าเพิ่มขึ้น 30% จึงมีการรณรงค์กดดันให้คณะกรรมการที่มีนายกฯ เป็นประธานตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย Jonathan Isaby กลุ่มพันธมิตรภาษีของประชาชนบอกว่า “เป็นเรื่องประหลาดที่มีหลักประกันว่างบส่วนพระองค์จะไม่มีวันลดลง เราคงต้องหาทางออก เพื่อประกันให้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายของราชวงศ์อย่างจริงจัง” สำนักพระราชวังประกาศว่าจะมีการทบทวนสูตรการคำนวณเงินสนับสนุนของรัฐที่ให้กับราชวงศ์ใหม่ต้นปีหน้าครับ

http://ind.pn/1FkZUEr

http://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Collection

Pipob Udomittipong


ooo

The Story of Magna Carta, a global symbol for Human Rights.



https://www.youtube.com/watch?v=9zT4hkAxzLg

Published on Apr 3, 2015
Why did King John seal Magna Carta at Runnymede in June 1215? And what happened next?
This animated film tells the history of Magna Carta and explains how it has become a global symbol for Human Rights.


ศึกษา การเมือง เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ กรณี “คนขี่เสือ”


พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และคณะผู้แทนไทยเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ภาพจากผู้จัดการ

ที่มาเรื่อง ข่าวสดออนไลน์
วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตำราพิชัยสงครามของซุนวูอาจสรุปอย่างรวบรัดว่า “การศึกมิหน่ายเล่ห์” แต่ในความเข้าใจของคนรุ่นหลังมิได้จำกัดแต่เพียงในพรมแดนแห่ง “การศึก” เท่านั้น

หากแม้กระทั่ง “การเมือง” ก็ “มิหน่ายเล่ห์” เช่นกัน

การเมืองไทยยุคหลังรัฐประหารมี “ตัวอย่าง” จำนวนมากมายให้ได้ศึกษา ให้ได้เรียนรู้เพื่อนำมาเป็น “บทเรียน”

เป็นบทเรียนของ “คนขี่เสือ”

บทเรียน 1 ซึ่งน่าศึกษา เป็นบทเรียนจากกรณีของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี ต่อจาก นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2520

บทเรียน 1 ซึ่งไม่ควรมองข้ามก็คือ กระบวนท่าของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดำเนินไปอย่างไรและจบบทบาทในทางการเมืองอย่างไร

สามารถ “ฆ่าเสือ” และลงจาก “หลังเสือ” ได้หรือไม่
..........................................................................

พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เริ่มเข้าร่วมกับการรัฐประหารโดยตรงนับแต่สถานการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2519

ในฐานะเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

จากนั้น ในเดือนตุลาคม 2520 ก็ก่อรัฐประหาร “ซ้ำ” อีกครั้ง โค่น นายธานินทร์ กรัยวิเชียร แล้วก็ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

จากนั้น ประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2521

ผ่านการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522 ก็ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งแต่อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ต้องอำลาจากตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี”

การพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2523 น่าศึกษาอย่างเป็นพิเศษเพราะว่าคนที่เข้ามาแทนที่คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็น ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีกลาโหม
............................................................................

กล่าวจากมุมของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ คู่ปรปักษ์ทางการเมืองโดยตรงคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคม

แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่ใช่

เป็นความจริงที่ว่าขณะนั้น พรรคการเมืองและนักการเมืองต้องการให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พ้นจากตำแหน่ง

แต่ปัจจัยชี้ขาดกลับเป็น “วุฒิสมาชิก” อันมาจาก “การลากตั้ง”

เป็นการลากตั้งโดย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ แต่ภายหลังต่อมาได้แปรพักตร์ไปสามัคคีกับพรรคการเมืองและนักการเมือง

พวกนี้ต่างหากที่ “ขม้ำ” พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
.............................................................................

ปัจจัยอันมากด้วยความละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง คือ ปัจจัยการเมือง ปัจจัยของ “การเลือกตั้ง”

อำนาจ “รัฐประหาร” อาจทำให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มีความมั่นคง แต่พอผ่านกระบวนการของ “การเลือกตั้ง” ปัจจัยหลังนี้จะเข้าไปบ่อนเซาะฐานอำนาจจาก “รัฐประหาร” ลง

ในที่สุด พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ถูก “เสือกัด”


ฟ้องด้วยภาพ...จิตที่จ่อกับการแสวงบุญ แต่พร้อมทิ้งขยะแบบไม่รับผิดชอบ...เอเมน






ที่มา เพจ อนุชาติ ธนัญชัย

และแล้วคำทำนายล่วงหน้าแม่นเหมือนเดิม ผู้คนยังคงคิดจะไปแสวงบุญเดินขึ้นดอยสุเทพ ทิ้งขยะแบบไม่รับผิดชอบอย่างที่เห็นครับ ยังดีที่น้องๆจากม.เชียงใหม่,ม.ราชมงคลล้านนา,วิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ จิตอาสามาช่วยกันเก็บขยะ ครับ

ooo





https://www.youtube.com/watch?v=m4K6jbW7L4A

ทึ่ง..คนเดินขึ้นดอยสุเทพทิ้งขยะ แต่คนจีนถือถุงดำตามเก็บ (คลิป)

เว็บไซต์เชียงใหม่ร้อยแปด CM108.com ได้เผยแพร่เรื่องราวดีๆ ของนักท่องเที่ยวหญิงชายชาว "จีน" คู่หนึ่ง ในประเพณีเดินขึ้นดอยสุเทพ ที่ จ.เชียงใหม่ มีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้

ต่างชาติทึ่ง ประเพณีเดินขึ้นดอยสุเทพของไทย

คือประเพณีการทิ้งขยะข้างทางไปพร้อมๆ กันด้วย

พบสองข้างทางเต็มไปด้วยขยะของคนที่เดินขึ้นดอย (บางคน) ทิ้งสิ่งของ-ขยะข้างทางอย่างไร้จิตสำนึก และคิดไปเองว่ายังไงเดี๋ยวก็มีคนมาตามเก็บให้ในวันรุ่งขึ้น แม้จะมีการรณรงค์ทุกปี แต่ก็เหมือนจะไร้ผล ปีนี้ 2558 เหมือนขยะจะเยอะกว่าทุกปีด้วยซ้ำไป ปีนี้แม้จะมีถุงดำที่ทางผู้รับผิดชอบแขวนไว้เป็นจุดๆ ตลอดเส้นทาง แต่คนมักง่ายไม่นำไปหย่อนลงในถุงดำหรือนำไปกองไว้ใกล้ถุงดำ แต่คงทิ้งอย่างอำเภอใจ กินหมดที่ไหนก็โยนทิ้งตรงนั้น

แต่...สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้น

..... เมื่อคืนวันที่ 31 พ.ค. 2558 มีชาย-หญิง ชาวจีน คู่หนึ่ง เป็นนักท่องเที่ยวพูดไทยไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้เดินถือถุงดำเดินเก็บขยะที่คนมักง่ายทิ้งเกลื่อนตามเส้นทาง เท่าที่สอบถามว่าทำไมถึงช่วยกันเก็บพวกเขาบอกว่า "เขารักเมืองไทย" "รักเชียงใหม่"
แม้พวกเขาจะไม่สามารถเก็บได้หมดเพียงแค่เขาสองคนในคืนนี้ แต่ส่วนหนึ่งคงมีความสุขกับการที่ได้ทำ พวกเขาเก็บทุกอย่างลงถุงดำไม่ว่าจะเป็นไม้เสียบลูกชิ้น ขยะชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภาชนะของกินที่มีคนมาแจกฟรีให้คนเดินขึ้นดอย

หนุ่มสาวชาวจีนทั้งสองคนพูดภาษาอังกฤษได้ดีคาดว่าเป็นชาวจีนรุ่นใหม่ เสียดายอย่างเดียวคือไม่ได้สอบถามว่ามาจากจีนแผ่นดินใหญ่ หรือจีนฮ่องกง หรือจีนมาเลย์ จีนสิงคโปร์ แต่แน่ๆ คือเป็นคนจีน

งานนี้เรียกง่ายๆ ว่า "คนเดินขึ้นดอยฯ ทิ้ง (ขยะ) นักท่องเที่ยวจีนช่วยเก็บ (เพื่อให้สะอาด)" จะอายกันไหมพวกคนมักง่าย

รายงานจากผู้สังเกตการณ์พบว่าประเพณีเดินขึ้นดอยฯ ในแต่ละปีนั้นไม่ได้มีเฉพาะคนไทย อีกส่วนหนึ่งที่รองลงมาคือต่างด้าวประเทศเพื่อนบ้านที่มาขายแรงงานในจังหวัดด้วย

บทความโดยwww.CM108.com
ขอบคุณภาพและข้อมูลโดยดีเจ จีระ
https://www.youtube.com/watch?v=m4K6jbW7L4A


โรฮิงยา โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


ภาพถ่ายโดย คุณวุฒิ บุญฤกษ์

ที่มา เวป TCIJ Thai
01 มิถุนายน 2558

ในฐานะมนุษย์ เราไม่มีทางเลือกอื่นในกรณีโรฮิงยา จำเป็นต้องช่วยให้ชีวิตของเขารอดปลอดภัย การให้อาหารและน้ำรวมทั้งซ่อมเรือเพื่อให้เดินทางต่อ เป็นการช่วยให้รอด แต่ไม่ปลอดภัย อย่างไรก็ต้องนำเขาขึ้นฝั่งเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง

ส่วนใครคือต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องลอยเรือเสี่ยงตายเช่นนี้ ไม่ใช่คำถามที่จะรีดเอาคำตอบในตอนนี้ หรือแม้แต่คำถามว่าจะจัดการกับเขาอย่างไรต่อไป ก็ไม่ใช่คำถามที่จะต้องเอาคำตอบให้ได้ในเวลานี้เช่นกัน ความปลอดภัยในชีวิตของพวกเขาต้องมาก่อน เรื่องอื่นๆ ค่อยคิดกันข้างหน้า

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นของบทความนี้

แม้แต่ผู้ที่เห็นพ้องว่า ต้องรักษาชีวิตของชาวโรฮิงยาบนเรือให้ปลอดภัยก่อน ก็ยังคิดว่าเราไม่อาจให้เขาพักพิงอยู่เป็นเวลานานได้ เขาจะต้องกลับไปสู่ที่เขาออกเรือมา (คือบังคลาเทศและรัฐยะไข่ของพม่า), หรือไปตั้งรกรากในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ไทย นอกจากความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์แล้ว บางคนยังมองคุณค่าทางเศรษฐกิจของการช่วยเหลือชาวโรฮิงยาด้วย เช่นทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดีขึ้นในสายตาของสังคมที่รังเกียจสินค้าประมงของไทย หรือความช่วยเหลือที่ต่างชาติและองค์กรโลกให้แก่ค่ายผู้อพยพ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างดี

ผมอยากถามว่า เหตุใดเราจึงให้เขาพักพิงถาวรไม่ได้ และชาวโรฮิงยาหรือผู้อพยพจากเพื่อนบ้าน จะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานของไทยได้อย่างดี ในฐานะพลเมือง ไม่ใช่ในฐานะแรงงานข้ามชาติ

ประเทศไทยเคยรับผู้อพยพมาหลายครั้งหลายหน ฉะนั้นเราเคยชินกับการตั้งค่ายผู้อพยพมาแล้วหลายต่อหลายแห่ง แต่ก็มีเจตนามั่นคงมาแต่ต้นว่า ผู้อพยพเหล่านี้จะอยู่ในแผ่นดินไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อรอสถานการณ์ในบ้านเกิดที่ปลอดภัยมากขึ้น แล้วก็จะอพยพกลับ หรือเพื่อให้ประเทศอื่นรับเอาไปตั้งรกรากเป็นพลเมืองของตน ดังนั้นเราจึงถนัดที่จะมองหาต้นตอของการอพยพ เช่นม้ง, เขมร, ลาว, เวียดนาม ก็หวังว่าสหรัฐซึ่งเป็นต้นตอของสงครามอินโดจีน ควรรับผิดชอบต่อประชากรอพยพเหล่านี้

ในฐานะค่ายชั่วคราว ผู้อพยพไม่มีผลิตภาพอะไรเลย เพราะถูกควบคุมให้อยู่แต่เฉพาะในค่าย จึงเป็นภาระหน้าที่ของผู้ดูแลค่ายอพยพต้องจัดหาสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตให้ นี่เป็นภาระทางงบประมาณที่ใหญ่มาก ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งใหญ่ แต่ไทยโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลือด้านนี้จากองค์กรโลกบ้าง ต่างประเทศบ้างเสมอมา จึงควักกระเป๋าน้อย

ตรงกันข้ามกับค่ายอพยพ หากเป็นค่ายพักพิงเพื่อเตรียมการเข้าสู่ตลาดแรงงานของประเทศเจ้าของบ้าน สภาวะก็จะต่างออกไปอย่างมาก ประการแรกผู้อพยพประเภทที่ไม่คิดกลับบ้านแล้ว ย่อมกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ (หากเขาไม่มี) รวมทั้งวัฒนธรรมของประเทศเจ้าบ้าน เพื่อจะได้ถูกจ้างโดยเร็ว ในขณะเดียวกัน เพราะคิดไว้แล้วว่าคนเหล่านี้จะเป็นพลเมืองในอนาคต ก็ย่อมให้การปฏิบัติที่ดีพอสมควรมาแต่ต้น เช่น ระวังเรื่องโรคติดต่อ หรือโรคที่ไม่น่าจะนำไปสู่ความตาย มิให้ระบาดหรือลิดรอนกำลังคนในค่ายพักพิง รวมทั้งการฝึกทักษะพื้นฐานที่มีตลาดงานจ้างรองรับ และนำเข้าสู่วัฒนธรรมของเจ้าบ้าน เช่นสอนภาษาพูด

เจ้าของกิจการอาจเข้ามาดูแรงงาน เลือกสรรคนที่มีคุณสมบัติตามต้องการ ทำสัญญากับรัฐที่จะรับผิดชอบต่อแรงงานนั้นในด้านสวัสดิการ, ค่าแรง, และสภาพการทำงาน รัฐสามารถตรวจสอบได้และต้องตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ในส่วนผู้อพยพก็ได้บัตรประจำตัวซึ่งต้องแสดงแก่เจ้าหน้าที่ได้เสมอ เพื่อมิให้ถูกจับฐานหลบหนีเข้าเมือง อาจมีระเบียบให้รายงานตัวต่อราชการทุกปีหรือหกเดือน ทั้งเพื่อตรวจตราควบคุมและเพื่อสวัสดิภาพของผู้อพยพเอง

ลูกหลานของผู้อพยพซึ่งได้งานจ้างแล้ว ก็จะออกจากค่ายพร้อมผู้ปกครอง พร้อมทั้งบัตรประจำตัว บัตรเหล่านี้ให้สิทธิแก่เขาให้ได้รับการรักษาพยาบาลในโครงการประกันสุขภาพทั่วหน้า (สมาชิกของครอบครัวเสียภาษีให้รัฐแล้ว เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการในตลาด) และสิทธิในการเข้าเรียนหนังสือเท่ากับที่เด็กไทยได้รับ แน่นอนผู้มีทักษะซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาด ก็จะได้รายได้ถึงขั้นที่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาด้วย (เราอาจหวังบุคคลระดับนี้ในหมู่ผู้อพยพชาวโรฮิงยาในปัจจุบันไม่ได้ แต่เราเคยได้ผู้อพยพระดับนี้มาแล้วในกรณีการอพยพของชาวลาวและกัมพูชา – รวม”มนุษย์เรือ”เวียดนามด้วย ซึ่งเราไม่ยอมให้ขึ้นฝั่งเหมือนกัน – )คุณสมบัติของผู้อพยพระดับนี้ ทำให้ประเทศเจ้าบ้านใช้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจได้ทันที แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างรัฐไทยและวัฒนธรรมไทย กับผู้อพยพอื่นได้ดี การกลืนผู้อพยพให้กลายเป็นพลเมืองจะราบรื่นขึ้น

จำนวนมากของค่าใช้จ่ายในกระบวนการนี้ ประเทศไทยคงต้องเป็นผู้จ่าย ซึ่งก็เป็นธรรมดี เพราะเราคือผู้ได้ประโยชน์มากที่สุด คือได้พลเมืองจากผู้อพยพในช่วงที่อย่างไรเสียแรงงานทุกระดับของไทย โดยเฉพาะระดับล่าง ขาดแคลน และจะขาดแคลนหนักขึ้นเมื่อแรงงานข้ามชาติจำนวนหนึ่งพากันกลับบ้าน เพราะเศรษฐกิจของเขากำลังขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ว่าที่จริงก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่าการสร้างพลเมืองจากครรภ์มารดาอย่างเทียบกันไม่ได้ (เพียงแค่ยุให้หญิงไทยตั้งครรภ์บ่อยขึ้น ก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนไม่เล็กแล้ว) นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายนี้มีแต่จะลดลง เพราะภาระการเลี้ยงดูผู้คนลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ

กระบวนการได้สัญชาติไทยคงต้องมีเงื่อนไข นับตั้งแต่เงื่อนไขด้านเวลา เช่นต้องอยู่ในประเทศไทยมากี่ปีแล้ว เงื่อนไขด้านการศึกษา เช่นต้องได้วุฒิไม่ต่ำกว่าป.๖ (จากโรงเรียนหรือจากการสอบเทียบก็ตาม) ด้านวัฒนธรรม เช่นต้องเขียนอ่านภาษาไทยได้ ต้องรู้ระบบการเมืองการปกครองของไทยระดับหนึ่ง ต้องรู้จักประเทศไทยโดยเฉพาะด้านความหลากหลายของพลเมือง ต้องมีความรู้ที่แสดงว่าน่าจะมีขันติธรรมกับความแตกต่างด้านชาติพันธุ์และศาสนาในระดับหนึ่ง

(ในขณะที่เราหวังให้ผู้อพยพได้รับการศึกษาที่ตระหนักถึงความหลากหลายแตกต่างของพลเมือง ก็คงต้องให้การศึกษาแก่คนไทยให้ตระหนักเหมือนกันด้วย ทั้งผ่านโรงเรียนและผ่านสื่อ โดยสรุปคือทำให้สังคมไทยพร้อมจะอยู่ร่วมกับความหลากหลายแตกต่างได้ดีขึ้น เช่นจะมีคนพูดภาษาไทยมาตรฐานที่ออกเสียงแปร่งหูแก่คนกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้น บางคนอาจขับแท็กซี่ และบางคนอาจเป็นผู้ประกาศข่าวทางทีวี – แปลว่ากรมประชาสัมพันธ์ควรยกเลิกสำเนียงภาษาไทยมาตรฐานที่ตายตัวในการสอบผู้ประกาศทางทีวีและวิทยุเสียที)

เรื่องของเงื่อนไขคงคิดกันในรายละเอียดได้ แต่ต้องไม่ให้ฝ่ายความมั่นคงมาร่วมคิดด้วย เพราะเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้วที่ฝ่ายความมั่นคงถือเอาเป็นอำนาจเด็ดขาดของตนเองในการสร้างเงื่อนไขที่จะรับพลเมือง แต่ฝ่ายความมั่นคงไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่ชัดหรือมีเหตุผลใดๆ ในการตัดสิน มีแต่ความหวาดระแวงคนต่างชาติพันธุ์ กว่าลูกหลานชาวเวียดนามอพยพซึ่งพูดหรืออ่านภาษาเวียดนามไม่ได้แล้ว จะได้รับสัญชาติไทย ก็ต้องรอจนกระทั่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและเวียดนามราบรื่นขึ้น จึงอนุมัติให้รับคนเหล่านั้นเป็นพลเมืองไทย ลองคิดถึงความสูญเสียโอกาสของคนเหล่านั้น ในการศึกษา, ในอาชีพการงาน, ในการสะสมทุน ฯลฯ เกือบตลอดชีวิต โอกาสที่สูญเสียไม่ได้เป็นของบุคคลอย่างเดียว แต่เป็นของชาติไทยโดยรวมด้วย เช่นเดียวกับชาวเขา ชาวเล, คนไทยพลัดถิ่น, ผู้ตกสำรวจ ฯลฯ ที่ยังประสบชะตากรรมเดียวกันมาจนถึงทุกวันนี้ ประเทศไทยสูญเสียโอกาสไปแค่ไหนภายใต้อำนาจที่ไร้การถ่วงดุลของฝ่ายความมั่นคง

กลับมาถึงเรื่องโรฮิงยาโดยเฉพาะ มีข้อกังวลบางอย่างที่ผมควรกล่าวไว้ด้วยว่า ไม่น่าจะกังวลมากจนเกินไป

ข้อแรกก็คือ หากชาวโรฮิงยาได้รับการต้อนรับอย่างดีเช่นนี้ ก็จะมีผู้อพยพหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยอีกมาก (ปัจจุบันเขาอยากไปมาเลเซีย แต่เพื่อเข้าเมืองมาเลเซียโดยผิดกฎหมาย จึงต้องลักลอบผ่านไทย และกลายเป็นโอกาสของการค้ามนุษย์ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว) ซึ่งก็เป็นไปได้ แต่ที่ว่า”มาก”นั้นเท่าไรกันแน่ ปัจจุบันมีชาวโรฮิงยาอยู่นับตั้งแต่ ๘ แสนคนไปถึงล้านกว่า (ที่ตัวเลขไม่แน่นอนเพราะไม่เคยมีการสำรวจอย่างเป็นทางการและถี่ถ้วนจริง) หากดูเฉพาะค่ายอพยพในบังคลาเทศ ก็มีประชากรหลายแสน ฉะนั้นถ้าชาวโรฮิงยามุ่งหน้ามาตั้งรกรากในเมืองไทย ก็คงมีคนเป็นแสนขึ้นไปทยอยกันลอยเรือเข้ามา ผมเดาไม่ถูกว่าจำนวนทั้งหมดจะเป็นเท่าไร แต่ที่แน่นอนคือไม่มีทางที่จะเป็นทั้งหมดของชาวโรฮิงยาแน่นอน หากไทยจะเพิ่มประชากรสัก ๓-๕ แสนคนในระยะ ๕ ปี คงมีปัญหาอยู่บ้างเช่นขยายบริการของรัฐไม่ทันในช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับคอขาดบาดตายหรอก

ชาวโรฮิงยาเป็นมุสลิม หลายคนคิดถึงปัญหาที่เราเผชิญอยู่ในสามจังหวัดภาคใต้ทันที แต่ความบาดหมางที่รัฐไทยมีกับประชากรบางกลุ่มในภาคใต้ไม่ใช่ความแตกต่างทางศาสนา ทั้งประเทศไทยมีคนนับถือศาสนาอิสลามมากกว่าประชากรในสามจังหวัดภาคใต้เสียอีก แต่นั่นก็ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งอะไรกับรัฐ ที่มีความขัดแย้งกับคนบางกลุ่มในภาคใต้ เป็นปัญหาด้านอัตลักษณ์มากกว่า ศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์แน่ แต่อัตลักษณ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐในระดับที่ประชากรในภาคใต้พอใจ คือชาติพันธุ์ มากกว่าศาสนา การกระจุกตัวของชาวมลายูในพื้นที่สามจังหวัด ทำให้สามารถแสดงความไม่พอใจนั้นได้อย่างชัดเจน ด้วยวิถีความรุนแรงหรือด้วยวิถีที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ตาม

ผู้อพยพโรฮิงยาที่จะค่อยๆ ถูกกลืนเป็นพลเมืองย่อมถูกกระจายไปทั่วประเทศ ตามแต่แหล่งงานจะดึงไป ยิ่งเมื่อระดับการศึกษาของเขาขยับสูงขึ้น ลักษณะตั้งถิ่นฐานที่กระจายก็ยิ่งเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่รัฐไทยไม่ค่อยมีปัญหากับศาสนาอิสลาม (คืออาจมีบ้างแต่ไม่ร้ายแรงนัก) พลเมืองโรฮิงยามุสลิมก็จะเหมือนมุสลิมทั่วไปอื่นๆ ถึงจะมีข้อขัดแย้งกับรัฐไทย ก็มาจากเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เหมือนพลเมืองพุทธไทยอีกมากที่มีข้อขัดแย้งกับรัฐไทยไม่ใช่หรือ (หรือกลับกัน คือรัฐไทยชอบมีปัญหากับพลเมืองทุกศาสนาอยู่แล้ว)

ในระยะยาว สัดส่วนของมุสลิมในประชากรไทยทั้งหมดย่อมสูงขึ้น (อาจเพิ่มขึ้นไม่ถึง ๒%) แล้วยังไง ถึงอย่างไรก็ยังเป็นส่วนน้อยมากๆ ของพลเมืองไทย เพราะสัดส่วนชาวพุทธในประเทศไทยสูงมาก

การคุมกำเนิดเป็นวิถีอิสลามหรือไม่ สำนักโต๊ะครูแต่ละแห่งในประเทศไทยหาได้มีมติตรงกันในเรื่องนี้ไม่ จำนวนหนึ่งซึ่งไม่น้อยเห็นว่าขัดกับศาสนบัญญัติ แต่นั่นไม่น่าเป็นเหตุให้วิตกกังวลว่า โรฮิงยาจะมีลูกหลานมากจนกลายเป็นกลุ่มใหญ่ของประชากรไทย ได้พบมานานแล้วว่า จำนวนของบุตรในครอบครัวจะมากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการคุมกำเนิดเท่ากับระดับการศึกษาของพ่อ-แม่, สถานะทางสังคมและอาชีพของพ่อ-แม่, สถิติการอยู่รอดของทารกและเด็ก ฯลฯ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือปัจจัยทางสังคมที่อยู่ในวิถีชีวิตของครอบครัว หากประเทศไทยเปลี่ยนเข้าสู่สังคมเมืองและการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและบริการในอัตราดังที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ชาวโรฮิงยาซึ่งเป็นพลเมืองไทย ก็ย่อมต้องเข้ามาอยู่ในเงื่อนไขทางสังคมที่ไม่ต้องการมีครอบครัวที่ใหญ่เกินไปนักอยู่เอง พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นคนไทยไม่นานก็ไม่อยากมีลูกมากแล้ว

โดยสรุปก็คือ โรฮิงยาในค่ายพักพิงจะถูกเตรียมให้สามารถกลืนตัวเองเป็นพลเมืองของไทยได้โดยสะดวก สร้างทักษะที่จำเป็นขั้นพื้นฐานในการกลืนตัวเองกับสังคมไทย การได้ออกมาทำงานข้างนอกก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของกระบวนการกลืนตัวเอง ซึ่งไม่จำกัดว่าต้องทำเฉพาะในค่ายพักพิงเท่านั้น ในระหว่างนั้นเขาย่อมพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ อาจค่อยๆ สะสมทุน (เช่นมีลูกได้เรียนหนังสือและหางานจ้างได้อีกแรงหนึ่ง)จนมีฐานะมั่นคงขึ้น รัฐก็จะมีรายได้จากภาษีทางอ้อมเพิ่มขึ้น บางรายที่ตั้งตัวได้ดีกว่านั้น ก็ยังต้องจ่ายภาษีทางตรงแก่รัฐด้วย ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของเขา จะเป็นอีกส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งของสังคมไทย

กระบวนการกลืนตัวเอง คือเราจะสร้างพลเมืองที่มีสมรรถภาพ และมีความสุข จากพวกเขา

การมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นแสนอย่างฮวบฮาบ โดยที่คนเหล่านั้นไร้รากเหง้าในสังคมมาก่อน จะก่อให้เกิดปัญหาหรือไม่ เกิดแน่ครับ แต่ล้วนเป็นปัญหาที่ประเทศไทยพอจะจัดการได้ ที่จริงสังคมไทยมีศักยภาพในการ "กลืน" คนต่างชาติพันธุ์และวัฒนธรรมสูงมาก อย่างที่เรากลืนคนต่างชาติพันธุ์และวัฒนธรรมมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมาแต่โบราณ รัฐไทยสมัยใหม่ต่างหากที่คอยขวางกั้นและบ่อนทำลายศักยภาพในแง่นี้ของสังคม หากรัฐเปลี่ยนนโยบายเสีย ทั้งรัฐและสังคมไทยก็จะก้าวข้ามปัญหาของการกลืนคนไร้รากในสังคมไทยเป็นแสนๆ คนได้ไม่ยาก อย่างที่เราเคยกลืนคนจีน, คนมอญ, ฝรั่ง, ชวา, พม่า ฯลฯ มาแล้วในอดีต

นักเศรษฐศาสตร์ด้านแรงงานคนหนึ่งทำนายว่า ใน ๑๐ ปีข้างหน้า เศรษฐกิจใหญ่ๆ ของอาเซียนจะขาดแคลนแรงงานในเกือบทุกระดับ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และระยะยาวไปพร้อมกัน


วันจันทร์, มิถุนายน 01, 2558

เมื่อความคลั่งไคล้ในตัวฮิตเลอร์ในไทย กลายเป็นประเด็น ที่ฝรั่งเอาไปพูดด้วยความขบขัน



https://www.youtube.com/watch?feature=youtu.be&v=WWNbekZVyKk&app=desktop

Last Week Tonight with John Oliver - Thailand HITLER

Published on Jun 1, 2015
Last Week Tonight with John Oliver - Thailand HITLER Nazi Czech

Infographic: Thai junta leader to cut short ‘boring’ Friday night rants



By Saksith Saiyasombut & Siam Voices
Asian Correspondent
Jun 01, 2015

As Thai military junta leader General Prayuth Chan-ocha considers shortening his weekly TV addresses, we look how much air time he has already racked up.

Every Friday evening, the dulcet tones of synthesized strings of a pop ballad ring in the program that has been a mainstay on Thai television for a year now, and a man starts talking and talking… and talking about the work he has done in the past week. The weekly spot is part of the Thai military government’s media propaganda routine, replacing the much-loved soap operas that are usually shown at this time.

Since the military coup of May 22, 2014, as part of the junta’s efforts to “Return Happiness” to the Thai people in order to win backs the hearts and minds it has continuously intimidated, Thai junta leader and Prime Minister General Prayuth Chan-ocha appears every Friday night at around 8.3opm to address the nation in his show “Returning Happiness to the Nation’s People” (“คืนความสุข ให้คนในชาติ”).

Weekly programs where Thai prime ministers provide updates about the work of their government are not a novelty, as previous civilian governments have done so before. The main difference is that their programs ran on Sunday on one state-owned TV station. Gen. Prayuth on the other hand appears on nearly all Thai free TV channels on Friday evening, a time slot normally reserved for the “lakorns”, the soap operas that are hugely popular, but can also be rather questionable – so questionable, in fact, that Gen. Prayuth himself offered to write some new scripts himself.

On the program – which is pre-recorded in front of a green screen – Gen. Prayuth discusses the week’s progress of his administration on a variety of issues. On some episodes, he’s joined by other members of the junta or the cabinet to provide their updates. But more often than not, his rapid-fire remarks veer off-script into bizarre side notes and furious tirades (so much so that the English subtitles hardly keep up with him), further cementing his mercurial rhetoric and his compulsive loquaciousness.

And more often than not, his weekly addresses vary in length, but tend to be on the longer side, as our infographic shows:


Those times are soon coming to an end though, or at least they appear to be cut short:

Prime Minister General Prayut Chan-o-cha is considering cutting the length of his weekly national address by half and may move it out of the prime-time slot. Prayut said yesterday he would try to keep his speech to about 30 minutes during the programme […]

When asked if he watched the pre-recorded programme, the prime minister said: “I do and I feel bored.”

Prayut to rethink time and length of his weekly TV show“, The Nation, May 29, 2015

While the junta leader is seemingly omnipresent on TV, it is not known if a lot of people are actually tuning to hear his words of “wisdom” – it could be possible that the majority actually doesn’t watch, most likely in disappointment at being deprived of their beloved “lakorns”. And TV executives aren’t really happy about this either, considering that these shows score the highest ratings and contribute to the largest advertising revenues:


“It was popular during the first few weeks, but since it’s been a year now, it has lost its appeal,” Sirote Klampaiboon, an independent scholar and TV host, said last week. Forcing all channels to relay the programme could be considered as monopolising information, Sirote said. (…)

The programme, which usually drags on for more than an hour, has impacted the TV industry, he said. The operators all paid a fortune to bid for a spot on the digital TV platform last year in the hope that they could create content and attract viewers. Undoubtedly, airtime was valuable, he said. The operators held the rights to exploit the resources they had paid for, but the programme hosted by the premier prevented them from doing so, he added.

Not every TV viewer is happy with Prayut ‘Returning Happiness to the People’“, The Nation, May 31, 2015

In a related development, the military government’s daily TV show “Thailand Moves Forward”, also aired on all state-owned channels, is getting another 15 minutes of air time.


เปิดผลการโหวตเวป ประชามติ ต่อ 2 คำถาม "ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ เห็นด้วยหรือไม่?" - "หน้าที่พลเมืองตามที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนด เห็นด้วยหรือไม่?"




เปิดผลการโหวตสองประเด็นใน Prachamati.org

1) ต่อคำถามว่า "ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ เห็นด้วยหรือไม่?" (ซึ่งพาดพิงถึงร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 74, 77 และ 261 ตลอดจนร่าง พ.ร.บ.สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติที่สภาปฏิรูปแห่งชาติมีมติเห็นชอบ) มีผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมด 1867 คน เห็นด้วย 183 คน หรือ 9.8 % และไม่เห็นด้วย 1684 คน หรือ 90.2 % ตัวเลขนี้บันทึกไว้ตอนเที่ยงของวันที่ 31 พ.ค. 58 และยังเปิดการโหวตต่อให้ผู้ที่ยังไม่ได้ลงคะแนนสามารถใช้สิทธิ์ได้

คุณสามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ ความคิดเห็นจากผู้ที่เข้าไปโพสต์ความเห็น และผลการลงคะแนนล่าสุดได้ที่

https://www.prachamati.org/polls/89

2) ต่อคำถามว่า "หน้าที่พลเมืองตามที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนด เห็นด้วยหรือไม่?" (ซึ่งพาดพิงถึงร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 26 และมาตรา 27) มีผู้ลงคะแนนเสียงทั้งหมด 1812 คน เห็นด้วย 380 คน หรือ 20.1 % และไม่เห็นด้วย 1432 คน หรือ 79.9 % ตัวเลขนี้บันทึกไว้ตอนเที่ยงของวันที่ 31 พ.ค. 58
และยังเปิดการโหวตต่อให้ผู้ที่ยังไม่ได้ลงคะแนนสามารถใช้สิทธิ์ได้

คุณสามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ ความคิดเห็นจากผู้ที่เข้าไปโพสต์ความเห็น และผลการลงคะแนนล่าสุดได้ที่

https://www.prachamati.org/polls/123

หมายเหตุ: "ประชามติ" หรือ Prachamati.org เป็นโครงการร่วมของ
สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล (https://www.facebook.com/IHRP.Mahidol)
ประชาไท (prachatai.com) ไทยพับลิก้า (ThaiPublica.org)
และโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw.or.th)

คุณสามารถเข้าไปศึกษาเรียนรู้
ตลอดจนร่วมแสดงความคิดเห็น
และโหวตในประเด็นสำคัญๆ ของร่างรัฐธรรมนูญได้ที่
https://www.prachamati.org/

Prachamati - ประชามติ


เปิดหนังสือลับ-ด่วนที่สุด ป.ป.ช.เร่งเอาผิดคนช่วยเหลือเยียวยาประชาชน "แต่" คนสั่งล้อมปราบ-ฆ่า ยังปล่อยลอยนวล!



ที่มา เวปที่นี่และที่นั่น
May 31, 2015

กรณี “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)” เร่งดำเนินคดีโครงการรับจำนำข้าว ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ด้วยความรวดเร็วว่องไว แม้ “นายวิชา มหาคุณ” กรรมการ ป.ป.ช.คนสำคัญ จะยอมรับก่อนหน้านี้ว่า “..ในชั้นนี้พยานหลักฐานยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมในการทุจริตหรือสมยอมให้เกิดการทุจริต..”

ถูก “สังคม” นำไปเปรียบเทียบอย่างมากมาย กับ กรณีที่ ป.ป.ช.ยังไม่ได้ดำเนินการให้มีความชัดเจนกับการดำเนิน “คดีทุจริตระบายข้าว” ของ “รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์” ที่นำโดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2552-2553

จนกลายเป็น “คำถาม” มากมายถึง การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ชุดนี้ทั้งคณะว่า แท้ที่จริงแล้ว “เอนเอียง-เอียงข้าง-เลือกปฏิบัติ และมีความยุติธรรม “สมศักดิ์ศรี” องค์กรตรวจสอบของประเทศไทยหรือไม่ ?
ยาวนานมาตลอดหลายปีที่ ป.ป.ช.ชุดนี้ยึดครองเก้าอี้อำนาจ

แต่กระนั้นล่าสุด ป.ป.ช.ก็ได้สร้างความประหลาดใจอีกครั้ง กับการเร่งดำเนินการกับ “คณะรัฐมนตรี (ครม.)” รัฐบาลเพื่อไทย อีกครั้ง ในกรณีการจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบกับการชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ พ.ศ.2548-2553 แต่ขณะเดียวกันการดำเนินการสอบสอบสวนและเอาผิด “ผู้ออกคำสั่งให้ฆ่าประชาชน” ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชนในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 จนเป็นสาเหตุให้ประชาชนเสียชีวิตกว่า 100 ราย บาดเจ็บมากกว่า 2,000 ราย ในช่วง “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่มี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เป็น “รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวย ศอฉ.” นั้น “ป.ป.ช.” กลับยังไม่ “ความชัดเจน” ใดๆ ในการดำเนินคดีและเอาผิด?

ล่าสุดตรวจสอบพบ “หนังสือด่วนที่สุด” ของ “สำนักงาน ป.ป.ช.” เรื่อง “ขอให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา” โดยอ้างถึง หนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลับ ที่ ปช 0012/1422 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2556 ระบุว่า ตามหนังสือที่อ้างถึง คณะอนุกรรมการไต่สวนได้แจ้งคำสั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ 44/2556 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนให้ท่านทราบ ซึ่งเป็นการกล่าวหาท่านเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี… กับพวกรวม 36 ราย ว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กรณีจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง พ.ศ.2548-2553

โดยอ้าง “..การดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 คณะอนุกรรมการไต่สวนประสงค์จะแจ้งข้อกล่าวหาให้ท่านทราบ เพื่อให้โอกาสท่านชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตามาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงขอให้ท่านไปพบคณะอนุกรรมการไต่สวน ณ ห้องประชุม 1103 อาคาร 1 ชั้น 1 สำนักงาน ป.ป.ช. ถนนนทบุรี ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ในวันที่ .. มิถุนายน 2558 เวลา 09.00 น.เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา”

สำหรับคดีที่มีการกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุมของประชาชนในเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 100 ราย บาดเจ็บอีกมากกว่า 2,00 รายนั้น ขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน แม้กรณีดังกล่าวจะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งนับจนถึงขณะนี้ รวมเป็นเวลา 5 ปีแล้วก็ตาม ???




ข้อคิดของ ลุงหวอ ไกด์ชาวเวียดนาม




Published on Jan 29, 2015

...
ที่มาเรื่อง เพจ

Pipad Krajaejun


ลุงหวอ เป็นไกด์ชาวเวียดนาม ปีนี้อายุ 70 กว่าแล้ว ลุงหวอไปโตเมืองไทยตั้งแต่เด็กจนถึงอายุ 20 กว่าจึงได้กลับมา และเป็นเวียดกงรบต่อต้านอเมริกา ทำให้ลุงพูดภาษาไทยได้ชัด ทุกวันนี้ก็ยังคงติดตามข่าวสารบ้านเมืองในไทยอยู่

เรื่องหนึ่งที่คุยกันวันนี้ก็คือเรื่องสื่อมวลชนและคนสำคัญในบ้านเมืองไทย ลุงบอกว่า คนไทยเดี๋ยวนี้พูดภาษาไทยคำอังกฤษคำ คำบางคำมีคำในภาษาไทยแต่ทำไมไม่ใช้ เช่น โรดแมพ ลุงฟังอยู่ตั้งนานว่าหมายถึงอะไรจนทีวีมีตัวอักษรขึ้นถึงได้รู้ว่าคือ Road map ซึ่งในภาษาไทยก็ใช้คำว่า "แผนการ" หรือ "แนวทาง" ก็ได้ หรือตอนน้ำท่วม สื่อมวลชนก็ใช้คำว่า Big bag ลุงบอกทำไมไม่เรียกถุงขนาดใหญ่

ลุงบอกว่า สื่อมวลชนและคนสำคัญในบ้านเมืองคือคนที่ชี้นำทางด้านภาษา ถ้าใช้ภาษาแบบนี้ คนในบ้านเมืองก็จะจดจำไปใช้ ในขณะเดียวกัน คำศัพท์พวกนี้ ชาวบ้านที่เป็นคนชนบทรุ่นเก่าๆ เขาจะฟังรู้เรื่องเหรอ แทนที่จะให้สื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ เพราะการใช้ภาษาแบบนี้ทำให้คนในชนบทเข้าไม่ถึงความเข้าใจ อย่างนี้สังคมก็เหลื่อมล้ำ

นอกจากนี้ ลุงยังบอกด้วยว่าสื่อมวลชนไทยตั้งคำถามแบบเอาสนุกและชอบหาเรื่อง แทนที่จะถามเอาความเข้าใจ แต่นั่นก็ไม่ผิด เพราะที่สำคัญด้วยคือ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของไทยในปัจจุบันพูดจาไม่เป็นผู้ใหญ่ ไม่มีความอดทนอดกลั้นต่อการตอบคำถาม พูดจาแบบนี้คนในสังคมก็คิดว่ามีอำนาจแล้วพูดได้สิ

ฟังแล้วผมนี่... เลย

...



https://www.youtube.com/watch?v=zXmWBsGe9iU

ใครคับ...สม... ชื่อนี้ดังกระฉ่อน ฮ่าๆๆๆๆ



สมเย็ด ขออภัยค่ะ สมยศ(ไม่ถึง 15 วินาที ลองฟังดู)กูนี่ขำตกเก้าอี้
Posted by กูต้องได้ 100 ล้าน จากทักษิณแน่ๆ on Sunday, May 31, 2015
https://www.facebook.com/secret100million/videos/377761565755379/?pnref=story


บทเรียน ล้ำค่า ศึกษา"ประวัติศาสตร์" ของ คนขี่เสือ



ที่มา มติชน
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วาทะที่ว่าการอยู่ในอำนาจเหมือนกับ"การขี่เสือ" และความเด็ดเดี่ยวในการ "ฆ่าเสือ" ก่อนลงจากหลังเสือนั้นเหี้ยมหาญอย่างยิ่ง

สะท้อนให้เห็นว่า "การขี่เสือ" ต้องมากด้วย "ศิลปะ"

ที่ซับซ้อนมากยิ่งกว่า "การขี่เสือ" ก็คือ การลงจากหลังเสือได้อย่างราบเรียบ นิ่มนวลปลอดภัย

ไม่ต้องถูกเสือขบ ไม่ต้องถูกเสือขม้ำ

วาทกรรมว่าด้วยการอยู่บน "หลังเสือ" จึงสัมพันธ์กับ "อำนาจ" อย่างแนบแน่น ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางเศรษฐกิจ

เท่ากับยืนยันว่า "อำนาจ" เป็นเรื่องน่ากลัวพึงต้อง "ระมัดระวัง"

บางคนจึงเปรียบเทียบอำนาจเหมือนกับ "ยาเสพติด" ยิ่งเสพ ยิ่งอยู่ในอำนาจยิ่งถลำลึก ยากจะถอนตัวออกมาได้

ในที่สุด แทนที่จะ "คุม" อำนาจ กลับถูกอำนาจ "ครอบงำ"

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมให้เห็นว่า การขึ้นสู่อำนาจยากอย่างยิ่งอยู่แล้ว การถอนตัวหรือลงจากอำนาจยิ่งยากมากกว่า

ประวัติศาสตร์จึงเท่ากับเป็น "บทเรียน"

หากศึกษาจาก พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ หากศึกษาจาก พล.อ.สุจินดา คราประยูร จะตระหนักในบางแง่มุมในทางการเมือง

พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มาจาก "รัฐประหาร"

เริ่มต้นจากรัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2519 ตามมาด้วยรัฐประหาร "ซ้ำ" ในเดือนตุลาคม 2520

ปี 2519 ยังอยู่ในตำแหน่งทาง "การทหาร"

ต่อเมื่อหลังรัฐประหารเดือนตุลาคม 2520 นั้นหรอกจึงทะยานไปยังตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี

ดำรงตำแหน่งครั้งแรกเป็นไปอย่าง "ราบรื่น"

แต่ภายหลังการเลือกตั้งในเดือนเมษายน 2522 การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์

กลับไม่ราบรื่น

1 ประสบกับวิกฤตน้ำมันโลก 1 ประสบกับวิกฤตการเมืองภายใน

เป็นการเมืองภายในจากพรรคการเมือง เป็นการเมืองภายในจากกองทัพ เพราะว่าเมื่อพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ขาลอย ต้องฝากผีฝากไข้ไว้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผบ.ทบ.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นั่นแหละคือ นายกรัฐมนตรี คนต่อไป

พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มาจากกระบวนการรัฐประหาร

พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็มาจากกระบวนการรัฐประหาร

เป็นรัฐประหาร รสช.เมื่อเดือนกุมภาพันธ์2534

ในเบื้องต้น พล.อ.สุจินดา คราประยูร อยู่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นของ นายอานันท์ ปันยารชุน

มีการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 ออกมา

เปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีมาจาก "คนนอก" คนที่มีบทบาทเป็นอย่างสูงในการร่างก็หน้าคุ้นๆ เอ่ยชื่อออกมาก็ร้องฮ้อกันเกรียวกราว

หลังการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2535 ทุกอย่างก็ "ฉลุย"

เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2534 เปิดช่องให้ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็สไลด์จาก ผบ.ทบ.เข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีฐานจากพรรคการเมืองและนักการเมืองอันมาจากการเลือกตั้ง

แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่วันก็ต้อง "อำลา"

แม้จะมีพรรคการเมืองหนุนเสริม แม้จะมีกองทัพไม่ว่า กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ รวมถึงตำรวจให้การค้ำยันอย่างแข็งแกร่ง

แล้ว นายอานันท์ ปันยารชุน ก็หวนคืนมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก

อาจเป็นเพราะ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ไม่ได้ "ฆ่าเสือ"

แต่คำถามที่เสนอเข้ามาก็คือ ปัจจัยอันใดในทางการเมืองที่เรียกว่า "เสือ" เพราะภาวะปั่นป่วนอันเกิดขึ้น ดำรงอยู่และดำเนินไป ล้วนมิได้เกิดขึ้นห่างจากแวดวงแห่งอำนาจ

จึงต้องทำให้ชัดว่าที่ว่าเสือ-เสือนั้นคืออะไร


แต่ละประเทศ เอาผิดคณะรัฐประหารอย่างไร?


http://news.voicetv.co.th/world/74303.html

by Prach Panchakunathorn
3 กรกฎาคม 2556
ที่มา Voice TV

ไปย้อนรอยดูความพยายามเอาผิดเหล่านายทหารที่ก่อรัฐประหารในประเทศต่างๆ กัน จากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีปากีสถาน แถลงว่า รัฐบาลปากีสถานเตรียมฟ้องร้องเอาผิด อดีตประธานาธิบดี ที่ก่อรัฐประหารแล้วปกครองปากีสถานแบบเผด็จการนาน 7 ปี การฟ้องร้องนี้จะเป็นครั้งแรกของปากีสถาน ที่ผู้ก่อรัฐประหารสำเร็จจะต้องขึ้นศาล

นายกรัฐมนตรีปากีสถาน นายนาวาส ชารีฟ กล่าวว่า พล.อ.เปอร์เวซ มูชาราฟ อดีตประธานาธิบดีปากีสถาน จะถูกฟ้องข้อหากบฏ ซึ่งมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า พล.อ.มูชาราฟ ยังเป็นที่ยอมรับนับถือในกองทัพ และหากเขาถูกขึ้นศาลจริง กองทัพของปากีสถานซึ่งมีอิทธิพลในการเมืองสูง ก็อาจไม่อยู่เฉย

แต่ในอดีตที่ผ่านมา ก็มีหลายประเทศที่กองทัพมีอำนาจมาก แต่รัฐบาลก็ยังกล้าหาญพอจะต่อสู้เพื่อขังกองทัพไว้ในกรมกอง ไม่ให้ออกมาก่อรัฐประหารได้อีก

ในอาร์เจนตินา กองทัพก่อรัฐประหารในปี 2519 และปกครองแบบเผด็จการอยู่นาน 7 ปี แต่ใน พ.ศ. 2538 รัฐบาลพลเรือนได้จัดตั้งคณะกรรมการไต่สวนผู้ก่อรัฐประหารขึ้นมา และฟ้องศาล มีนายทหารอาร์เจนตินาถูกฟ้องร้องทั้งหมดกว่า 300 นาย

แต่หลังจากนั้น กองทัพก็ขู่รัฐบาล ว่าจะก่อรัฐประหารอีกครั้ง และบังคับให้รัฐบาลผ่านกฎหมายคุ้มครองคณะรัฐประหารไม่ให้มีความผิด

อย่างไรก็ดี 8 ปีต่อมา รัฐสภาอาร์เจนตินา ออกกฎหมายมาลบล้างกฎหมายที่คุ้มครองคณะรัฐประหารนั้น และเริ่มดำเนินคดีกับคณะรัฐประหารอีกครั้ง ในที่สุดหัวหน้าคณะรัฐประหารถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ส่วนนายทหารอีก 3 คนในคณะรัฐประหารถูกจำคุกตั้งแต่ 4 ปีครึ่ง ไปจนถึง 17 ปี ตามแต่ความผิดของแต่ละคน

ในประเทศกรีซ กองทัพก่อรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2510 และปกครองประเทศเป็นเวลา 7 ปี แต่หลังจากที่เผด็จการทหารสิ้นสุดลง รัฐบาลพลเรือนของนายคอนสแตนติโนส คารามาลิส ก็ถูกกดดันให้ดำเนินคดีกับคณะรัฐประหาร โดยเริ่มจากการออกกฎหมายลบล้างบทนิรโทรกรรมตัวเองของคณะรัฐประหาร

สื่อของกรีซ ณ ขณะนั้นยังเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดีกับ พลจัตวา ดิมิทริโอส อิโออานนิดิส ซึ่งสื่อเรียกว่า "นักเผด็จการที่มองไม่เห็น" หรือ "The Invisible Dictator" เพราะเป็นผู้ร่วมวางแผนรัฐประหาร แต่อยู่เบื้องหลัง

คณะนายทหารผู้ก่อรัฐประหาร รวมทั้ง พลจัตวา อิโออานนิดิส ถูกสั่งห้ามออกนอกประเทศ และไต่สวนสาธารณะ ในที่สุดกลุ่มผู้นำคณะรัฐประหาร รวมทั้ง "นักเผด็จการที่มองไม่เห็น" ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่รัฐบาลของนายคารามาลิส ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต

ในเกาหลีใต้ พล.อ.ชุน ดูฮวาน อดีตผู้นำคณะรัฐประหารและผู้นำเผด็จการเกาหลีใต้ ก็ถูกตัดสินลงโทษแล้ว พล.อ.ชุน ดูฮวาน อยู่ในอำนาจ 9 ปี ตั้งแต่ปี 2523 ระหว่างนั้นเขาได้สั่งปิดล้อมเมืองกวางจู และสังหารผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยไปประมาณ 165 คน

แต่หลังจากลงจากอำนาจได้ 16 ปี รัฐบาลพลเรือนของนายคิม ยังซัม ได้ผ่านกฎหมายลบล้างกฎหมายที่ พล.อ.ชุน ได้ออกไว้ หลังจากนั้น พล.อ.ชุน พร้อมพวกอีก 15 คน ถูกจับขึ้นไต่สวนข้อหาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในที่สุด พล.อ.ชุน ถูกตัดสินประหารชีวิต แต่รัฐบาลของนายคิม ยังซัม อภัยโทษให้ ส่วนนายทหารที่ได้เลื่อนยศจากการล้อมปราบผู้ประท้วงในเมืองกวางจู ถูกถอดยศคืนทั้งหมด

ตุรกีเป็นประเทศล่าสุดที่เอาผิดกับคณะรัฐประหารสำเร็จ กองทัพตุรกีทำรัฐประหารมาแล้ว 4 ครั้ง ในปี 2503, 2514 และ 2523 และพยายามวางแผนทำรัฐประหารอีกครั้งในปี 2546

แต่รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีอับดุลเลาะห์ กูล และนายกรัฐมนตรีเรเซป ตอยิป แอร์โดกัน ได้แก้รัฐธรรมนูญ โดยประกาศให้บทนิรโทษกรรมตัวเองของคณะรัฐประหารนั้นเป็นโมฆะ และนำผู้ก่อรัฐประหารเข้ากระบวนการยุติธรรม

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ศาลตุรกีได้ตัดสินลงโทษนายทหารกว่า 300 คน ข้อหาวางแผนก่อรัฐประหารเมื่อปี 2546 ในจำนวนนี้มี อดีตผู้บัญชาการทั้ง 3 เหล่าทัพ ที่เกษียณอายุแล้ว ถูกจำคุกตลอดชีวิต แต่ได้ลดโทษเหลือ 20 ปี

ทั้งอาร์เจนตินา กรีซ เกาหลีใต้ และตุรกี ล้วนเป็นประเทศที่เคยเกิดรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่หลังจากเอาผิดคณะรัฐประหารได้แล้ว อาร์เจนตินา กรีซ และเกาหลีใต้ ก็ไม่เคยเกิดรัฐประหารอีก

ในตุรกี อาจจะยังเร็วไปที่จะตัดสิน เพราะคณะรัฐประหารเพิ่งถูกตัดสินจำคุกไปเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่กระนั้นก็ตาม สื่อต่างชาติหลายแห่งก็เริ่มมองว่าการตัดสินครั้งนั้นได้พาตุรกีออกจากวงจรอุบาทว์ของการรัฐประหารแล้ว

ปากีสถานก็สามารถหยุดวงจรรัฐประหารได้เช่นกัน หากรัฐบาลนายชารีฟ กล้าหาญพอจะเผชิญหน้ากับกองทัพ ในนามของประชาธิปไตย

ชูวิทย์ I'm No.5 : "อภินิหารเจ้าสัว" - ขบวนการฟอกป่า โกงชาติ เขมือบเกาะ




ในอดีตเกาะช้างเป็นหมู่บ้านชาวประมง มีความสวยงามของทิวทัศน์หาดทรายขาว ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยมากกว่า 40 เกาะ

ต่อมาเมื่อปี 2525 มีพระราชกฤษฎีกาให้เป็น "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง" รวมถึงเกาะใกล้เคียง ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทะเลรอบเกาะช้างออกไป 3 กิโลเมตร ถือเป็นพื้นที่อุทยานฯ

ปัจจุบัน มีการบุกรุกพื้นที่เกาะช้างโดยจัดตั้งโรงแรม รีสอร์ท สนามบิน ท่าเรือเฟอร์รี่ โดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้ "อภินิหาร" ความเป็น "ตระกูลผูกขาด" ทำเรื่องเล็กไม่เป็น ทำเป็นแต่เรื่องใหญ่

"ที่ไหนมีโอกาสทำเงิน ที่นั่นเป็นของเรา

ที่ไหนมีคนเก่ง (คนโกง) ที่นั่นเป็นของเรา

ที่ไหนมีทรัพยากรธรรมชาติ ที่นั่นเป็นของเรา"

ฟังดูคุ้นๆ คงรู้นะว่าตระกูลไหน?

ผมขอเปิดเผยไอเดียสุดบรรเจิดเลิศล้ำของ "เจ้าสัว" พร้อมกับปริศนาดำมืดของเกาะช้าง ใน episode 2

...





ขบวนการฟอกป่า โกงชาติ เขมือบเกาะ (episode 2) "อภินิหารเจ้าสัว"

มีความพยายามที่จะนำ "เกาะช้าง" ไปเทียบชั้นลอกเลียนแบบ "เกาะสมุย"

โดยต่อไปจะมีทั้งสนามบิน ท่าเรือเฟอร์รี่ โรงแรม รีสอร์ท ขายบ้านพักหรูพร้อมที่ดินให้คนรวย เพราะศักยภาพของเกาะช้างยังสามารถพัฒนาได้อีกมากมาย

ในขณะที่เกาะสมุยพื้นที่เต็ม "นักการเมืองคนดีห่มเหลือง มือถือสากปากถือศีล" เข้าไปยึดครอง และ "บางกอกแอร์เวย์" เข้าไปพัฒนาสนามบินอยู่นานแล้ว จนทำให้ปัจจุบันที่ดินบูมขึ้น มีราคาแพงมหาศาล

เกาะช้างจึงกลายเป็นเป้าหมายของ "เจ้าสัวหน้าเลือด" ที่จะพัฒนาให้เป็นเหมือน "เกาะสมุย" เพื่อโกยกำไรเป็นกอบเป็นกำเข้ากระเป๋าตัวเอง

"คนเก่ง (โกง) ในโลกนี้เป็นของเรา วัตถุดิบ (ทรัพยากร) ในโลกนี้เป็นของเรา เงินในโลกนี้เป็นของเรา ที่ใดมีโอกาส (ผูกขาด) ที่นั่นเป็นของเรา"

นี่เป็นความคิดของตระกูลนักผูกขาดประเทศไทย โดย "เจ้าสัว ธ.” แห่ง "กงสีใหญ่" เป็นผู้อัดฉีดเงินทุน และให้ "เจ้าสัว จ.” ญาติผู้พี่ เป็นผู้ออกหน้าประสานงาน และแขวนชื่อ "เจ้าสัว ธ.” ไว้เป็นเพียงที่ปรึกษา เพื่อเป็น "ยันต์กันผี" แผ่บารมี

เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันอย่างเปิดเผย ทุกอย่างจึงผ่านกระบวนการ "นอมินี" อาศัยความดีความชอบและชื่อเสียงของ "เจ้าสัว ธ.” เป็นหลักประกัน และบุญคุณที่อ้างว่า "ผลประโยชน์ของประเทศชาติต้องมาก่อน ผลประโยชน์ของบริษัทมาทีหลัง"

กระบวนการยำ ส.ค.1 ผ่านเจ้าหน้าที่รัฐ แปลงสมบัติของชาติ มาเป็นของตัวเอง มีดังต่อไปนี้

1. กงสีใหญ่ (เจ้าสัว ธ.) เป็นที่ปรึกษาและจัดสรรเงินทุน

2. "เจ้าสัว จ.” เป็นผู้ดำเนินการ

3. ผ่าน "นอมินี พ.” ในพื้นที่ และผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น

4. สรรหา ส.ค.1 ในพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการ

5. ผ่านกระบวนการยำ ส.ค. 1 โดยการร่วมมือของเจ้าหน้าที่

ส.ค.บิด (ไม่เคยมีเอกสารสิทธิ์ ส.ค.1 มาก่อน แต่ใช้วิธีการสวม แอบอ้าง)

ส.ค.บวม (มีเอกสารสิทธิ์ ส.ค.1 อยู่อีกที่ แต่ทำเลไม่ติดชายหาด ก็ย้ายมาอยู่ในทำเลสวยที่ต้องการ)

ส.ค.บวม (เอกสารสิทธิ์มีพื้นที่อยู่น้อย จึงขยายให้มีจำนวนมากขึ้น)

6. ออกมาเป็นโฉนดถูกต้องตามกฎหมาย

การจัดการกับนายทุนระดับ "เจ้าสัว" และ "กงสีใหญ่" ไม่ใช่จะกระทำกันได้ง่ายๆ เพราะมีคอนเนคชั่น ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ มีเงินทุนมหาศาลพร้อมที่จะจ่ายให้เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อบิดเบือนทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นของตนเองโดยไม่มีใครกล้าหือ

เปรียบเทียบกับร้านลาบ ร้านปลาเผา รีสอร์ทริมทาง ริมเขื่อน ริมอุทยานฯของชาวบ้าน หรือหาบเร่แผงลอยริมถนน กลับจัดการได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย เพียงแค่ลัดนิ้วมือชี้สั่งการ วันรุ่งขึ้นอันตรธานหายไปเรียบร้อย

แต่เมื่อไปเจอกับระดับ "เจ้าสัว ธ. กงสีใหญ่" หากจะงัดข้อคงต้องคิดให้มาก เพราะถูกย้ายออกนอกพื้นที่ไปนักต่อนักโดยไม่ทันตั้งตัว

วันที่ 1 เดือนหน้านี้ มีนโยบาย "กวาดล้างผู้บุกรุกป่า 6 แสนไร่" แบ่งเป็นพื้นที่ป่า 4 แสนไร่ พื้นที่อุทยาน 2 แสนไร่ ตามข้อมูลเชิงลึกของผม รับประกันว่าไม่มีพลาด มีเรื่องราวลึกลับดำมืดอีกเป็นจำนวนมาก ไปตรวจเมื่อไหร่ เป็นเจอเมื่อนั้น เช่นเดียวกับ "คีรีมายา" เขาใหญ่

แต่เรื่องของเรื่องคือ "เอาความเงียบ มาสยบความเคลื่อนไหว" ไม่เถียง ไม่โต้ ไม่พูด เจ้าหน้าที่รัฐทำตัวเป็น "พระเตมีย์ใบ้" เสียอย่าง "องคุลีมาล" อย่างผมจะไปทำอะไรได้?

หากฟ้าดินมีจริงโปรดเป็นพยานสาปแช่ง ให้พวกที่เอาผืนป่ามรดกของชาติมาเป็นของตัวเอง รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้ความร่วมมือ ตกนรกหมกไหม้ไปยันชั่วลูกชั่วหลานชั่วกัปชั่วกัลป์

ประเทศไทยยามนี้ พึ่งเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ทางกฎหมาย ก็ขอพึ่งกฎแห่งกรรมเอาก็แล้วกัน

ปล. “เจ้าสัว จ.” ไม่ใช่นายเจริญ เบียร์ช้าง

...




ขบวนการฟอกป่า โกงชาติ เขมือบเกาะ episode 3 “10 ที่ดินตัวอย่าง ของเจ้าสัวเขมือบเกาะ"

ในอดีตเมื่อปี 2484 ประวัติศาสตร์ไทยได้บันทึกวีรกรรมของทหารเรือ ที่ต่อสู้ปกป้อง "เกาะช้าง" จากข้าศึกศัตรู เราเรียกสงครามครั้งนั้นว่า "ยุทธนาวีเกาะช้าง"

แต่ปัจจุบัน "เจ้าสัวแห่งตระกูลผูกขาด" ใช้นอมินีและเงินทองฟาดหัวเจ้าหน้าที่รัฐ ที่คิดคดทรยศชาติ เห็นแก่ทรัพย์สินเงินทอง ยักยอกสมบัติของชาติมาเป็นของตัวเอง

“10 ที่ดินตัวอย่าง" ที่ถูกเขมือบโดย "เจ้าสัว จ.” (พี่ชายเจ้าสัว ธ.) ใช้นอมินีเข้าไปยึดครอง เพื่อโกยเงินเข้า "กงสีใหญ่" เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่แน่จริง ขอให้ข้อมูลแบบจะๆกันไปเลย ดังนี้

1. โฉนดเลขที่ 881 หมู่ 3 ต.เกาะช้างใต้ ตั้งอยู่บนยอดเขาติดริมทะเล ไม่เคยมี ส.ค.1 แต่ใช้อภินิหาร "ส.ค.บิน" เอา ส.ค.1 จากที่อื่นมาออกโฉนด ในอนาคตจะสร้างเป็นกระเช้า ข้ามไปเกาะหวาย

2. โฉนดเลขที่ 965 หมู่ 3 ต.เกาะช้างใต้ ใช้อภินิหาร "ส.ค.บิด" นำ ส.ค.1 ที่เคยออกโฉนดแล้ว มาออกซ้ำหน้าด้านๆ ด้วยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐ

3. "รีสอร์ททานตะวัน" หมู่ 3 ต.เกาะช้างใต้ หัวใจของเจ้าสัว ลอกเลียนแบบมาจากรีสอร์ทดัง "Bora Bora” ที่เกาะมัลดีฟ เป็นรีสอร์ทริมชายหาด ทอดยาวลงไปถึงในน้ำ ไม่มีใบอนุญาต ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถูกตรวจยึดแต่ไม่รื้อ ขณะนี้ดองคดีอยู่ที่ สภ.เกาะช้าง รอ "ฟอก" แล้วมาเปิดใหม่

4. "ป่าคลองเทียน" หมู่ 3 ต.เกาะช้างใต้ ใช้อภินิหาร "ส.ค.บิด" แถมด้วย "ส.ค.บวม" ขยายจากพื้นที่เล็กๆ ให้เพิ่มมากขึ้นมหาศาล

5. "บ่อกุ้งเจ็กแบ้" พื้นที่กว่า 300 ไร่ ทั้งที่ในอดีตไม่เคยมีชาวบ้านครอบครอง ส.ค.1มากขนาดนี้ แต่ใช้อภินิหาร "ส.ค.บวม" เพิ่มพื้นที่ แล้วแสร้งทำเป็น "บ่อกุ้งทดลอง" ของ "กงสีใหญ่" เพื่อ "ผูกขาดตลาดกุ้ง" ในอนาคต ตามกลยุทธ์ใช้อำนาจเหนือตลาดของ "ตระกูลผูกขาด"

6. "เขาไชยเชษฐ์" หมู่ 4 ต.เกาะช้าง ตั้งอยู่บนยอดเขาทำเลสวยงาม ไม่เคยมี ส.ค.1 มาก่อน แต่ใช้อภินิหาร "ส.ค.บิด" ทำให้มีขึ้นมา มีแผนการณ์จะสร้างเป็นบ้านหรูขายให้กับคนรวยและชาวต่างชาติ

7. "สนามบินคลองพร้าว" หมู่ 4 ต.เกาะช้าง จะสร้างเป็นสนามบินพาณิชย์ เลียนแบบ "บางกอกแอร์เวย์" ที่เกาะสมุย แต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดินใดๆ

8. "โรงแรมซีวิว" หมู่ 4 ต.เกาะช้าง เจาะไข่แดง โค่นต้นไม้เข้าไปอยู่กลางป่า ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ

9. "ป่าใบลาน" หมู่ 1 ต.เกาะช้างใต้ พื้นที่โดยรอบเป็นป่าหิน ทำเลสวยงาม ไม่มีเอกสารสิทธิ์ใดๆ

10. "ท่าเรืออ่าวธรรมชาติ" อยู่บนพื้นที่ของกรมอุทยานฯ แต่ไม่มีใบอนุญาตใดๆจากกรมอุทยานฯ และไม่ผ่านการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เปิดทำมาหากินบนสมบัติของชาติมากว่า 10 ปี โดยไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปตรวจสอบ

"10 สถานที่ต้องคำสาป" บนเกาะช้าง เป็นเพียงหลักฐานส่วนหนึ่งของผม ที่แสดงให้เห็นถึงความชั่วช้าเลวทรามของ "ขบวนการฟอกป่า โกงชาติ เขมือบเกาะ" ที่รัฐบาลจะต้องเร่งขุดคุ้ยให้รู้เช่นเห็นชาติ

หากนายทุนแปลงธรรมชาติมาเป็นเงินได้ ชาวบ้านเขาก็อยากจะทำบ้าง แต่ที่ต่างกันคือ พอชาวบ้านทำถูกจับตามกฎหมาย แต่นายทุนทำดันหลับหูหลับตา สมยอม เกรงใจ

วันที่ 1 มิถุนายนนี้ ตามนโยบายกวาดล้างผู้บุกรุกป่าและอุทยานฯ โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรธรณีและชายฝั่ง กรมประมง กรมที่ดิน และกรมพัฒนาที่ดิน หวังว่าจะร่วมมือกันไปตรวจสอบ "เกาะช้าง" อย่างจริงจัง

ไม่ใช่ "เลือกที่รักมักที่ชัง" จบลงแบบที่เขาใหญ่เจ๊าๆกันไปเหมือนเดิม


ชูวิทย์ I'm No.5