
ทานุจา ปานเดย์ ถือป้ายข้อความต่อต้านคอร์รัปชันระหว่างการประท้วงในเนปาลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"นักการเมืองรวยเอา ๆ ในขณะเราต้องทนทุกข์" ผู้นำการชุมนุม 'เจนซี' เนปาล บอกบีบีซีถึงเบื้องหลังชัยชนะราคาแพง
รามา ปาราจุลี และกมล ปาริยาร์
บีบีซี แผนกภาษาเนปาล
รายงานจากกาฐมาณฑุ
18 กันยายน 2025
ผู้ชุมนุมเจนซี (Gen Z) ชาวเนปาลล้มรัฐบาลลงได้ภายใน 48 ชั่วโมง แต่ชัยชนะนี้มีราคาที่สูงลิ่ว
"พวกเราภูมิใจ แต่ก็ผสมปนเปไปกับบาดแผล ความเสียใจ และความโกรธ" ทานุจา ปานเดย์ หนึ่งในผู้จัดการชุมนุมเปิดเผย
ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิต 72 คน การชุมนุมประท้วงเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานับเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบที่ร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในประเทศบนเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ในรอบหลายทศวรรษ อาคารต่าง ๆ ของทางการ ที่พักอาศัยของเหล่าผู้นำทางการเมือง และโรงแรมหรูอย่างเช่นฮิลตันที่เปิดให้บริการเมื่อเดือน ก.ค. 2024 ถูกเผาทำลายและปล้นสะดม ขณะที่ภรรยาของอดีตนายกรัฐมนตรีต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเมื่อบ้านของพวกเขาถูกวางเพลิง
การชุมนุมประท้วงครั้งนี้เป็นตัวแทนของ "การปฏิเสธชนชั้นทางการเมืองปัจจุบันของเนปาลอย่างสิ้นเชิง หลังจากหลายทศวรรษของการบริหารที่ย่ำแย่และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรของรัฐ" อาชิช ประธาน ที่ปรึกษาอาวุโสจากองค์กรอินเตอร์เนชันแนลไครซิสกรุ๊ปหรือไอซีจี (International Crisis Group - ICG) ระบุ
เขายังเสริมด้วยว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริการต่าง ๆ ของรัฐบาลอาจ "เทียบเท่าแผ่นดินไหวในปี 2015 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ 9,000 คน"
ความเสียหายไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่ในเมืองหลวงอย่างกรุงกาฐมาณฑุเท่านั้น แต่สำนักงานของหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นอย่างน้อย 300 แห่งทั่วประเทศได้รับความเสียหายด้วย
กาฐมาณฑุโพสต์ (Kathmandu Post) ซึ่งอาคารสำนักงานต่าง ๆ ของสำนักข่าวแห่งนี้ถูกฝูงชนโจมตีและจุดไฟเผาเช่นกัน รายงานว่ามูลค่าความสูญเสียหายของทั้งประเทศอาจสูงถึง 3 ล้านล้านรูปีเนปาล (ราว 6.8 แสนล้านบาท) ซึ่งเทียบเท่าเกือบครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีของเนปาล
ด้วยความโกรธแค้นจากความเหลื่อมล้ำที่สูงมาก หนุ่มสาวชาวเนปาลต่างเรียกลูก ๆ ของนักการเมืองว่า "เนโปเบบี้" (Nepo Baby) ที่อาจแปลเป็นไทยได้ว่า "เด็กเส้น" หรือ "ลูกท่านหลานเธอ"
'Nepo babies' (เนโปเบบี้)
สองวันก่อนการชุมนุมประท้วงรุนแรงเมื่อ 8 ก.ย. ปานเดย์ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมวัย 24 ปี อัปโหลดภาพวิดีโอที่แสดงให้เห็นเหมืองแร่บนเทือกเขาชูเร (Chure) หนึ่งในเทือกเขาที่เปราะบางที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยเธอเขียนข้อความว่า "ทรัพยากรของเนปาลควรเป็นของประชาชน ไม่ใช่บริษัทเอกชนของนักการเมือง" พร้อมกับเรียกร้องให้เพื่อน ๆ ของเธอ "ออกมาชุมนุมต่อต้านคอร์รัปชันและการใช้ความมั่งคั่งของประเทศในทางที่ผิด"
เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของเยาวชนกลุ่มอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในเอเชีย การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเจนซีชาวเนปาลไม่มีแกนนำ โดยมีอีกหลายคนที่เรียกร้องในทำนองเดียวกันกับปานเดย์ หลังจากรัฐบาลเนปาลตัดสินใจปิดกั้นแพลตฟอร์ตโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์ม โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้จดทะเบียนกับหน่วยงานท้องถิ่น
เป็นเวลาหลายเดือนที่กระแสความโกรธเกรี้ยวหลั่งไหลไปที่เหล่า "nepo babies" (เนโปเบบี้) หรือบรรดาลูกหลานของนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลจากทุกฝักฝ่าย พวกเขากล่าวหาว่าเนโปเบบี้เหล่านี้ต่างอวดความร่ำรวยอย่างไร้คำอธิบายลงบนโซเชียลมีเดีย
หนึ่งในภาพที่เป็นไวรัลที่สุดคือภาพของซอกัต ธาปา ลูกชายของรัฐมนตรีประจำจังหวัด ที่ยืนอยู่ถัดจากต้นคริสต์มาสที่ทำจากกล่องแบรนด์หรูต่าง ๆ ทั้งหลุยส์ วิตตอง, กุชชี และคาร์เทียร์ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวออกมาตอบโต้ว่านี่คือ "การตีความผิดพลาดอย่างไม่เป็นธรรม" และพ่อของเขา "ส่งคืนเงินทุกรูปีที่ได้จากบริการสาธารณะให้กับชุมชน"
ปานเดย์ได้ดูสิ่งที่ "เนโปเบบี้" เกือบทุกคนโพสต์บนโซเชียลมีเดีย แต่วิดีโอ ๆ หนึ่งที่แสดงให้เห็นทั้งภาพวิถีชีวิตแสนหรูหราของครอบครัวนักการเมืองและคนหนุ่มสาวชาวเนปาลที่ต้องหางานทำในกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียสะดุดใจเธอ
"มันเจ็บปวดที่จะดู โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าแม้แต่เยาวชนที่มีการศึกษาก็ยังถูกผลักให้ต้องออกนอกประเทศ เพราะค่าแรงที่นี่มันต่ำต้อยมากเมื่อเทียบกับที่คน ๆ หนึ่งต้องใช้ในการจะมีชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติ" เธอกล่าว
เนปาลเป็นประเทศประชาธิปไตยอายุไม่มากนักโดยเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นรูปแบบสาธารณรัฐในปี 2008 หลังจากสงครามกลางเมืองที่นำโดยลัทธิเหมาซึ่งยืดเยื้อมาร่วมทศวรรษคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 17,000 คน
แต่เนปาลกลับไม่ได้มีสเถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองตามที่มีการสัญญาไว้ ในช่วงระยะเวลา 17 ปี เนปาลผ่านรัฐบาลมาแล้ว 14 รัฐบาล และไม่มีผู้นำคนใดอยู่ได้ครบวาระ 5 ปี การเมืองของประเทศคล้ายกับเกมเก้าอี้ดนตรี โดยพรรคคอมมิวนิสต์ และพรรคคองเกรสเนปาล ซึ่งเป็นพรรคสายกลาง ผลัดกันขึ้นปกครอง ผู้นำ 3 คนที่รวมถึงเคพี ชาร์มา โอลี ซึ่งลาออกจากการประท้วงของกลุ่มเจนซี คือผู้ที่เคยขึ้นสู่อำนาจหลายต่อหลายครั้ง
ตัวเลขจีดีพีต่อหัวของเนปาลอยู่ต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 47,600 บาท) นับเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดเป็นดับสองของเอเชียใต้รองจากอัฟกานิสถาน โดยมีประชาการประมาณ 14% ออกไปทำงานนอกประเทศ และมี 1 ใน 3 ของครัวเรือนที่รับเงินโอนจากต่างประเทศ
สำหรับปานเดย์ เธอมาจากครอบครัวชนชั้นกลางทางตะวันออกของเนปาล และพ่อของเธอเป็นครูโรงเรียนรัฐที่เกษียณอายุแล้ว สามปีก่อนหน้านี้ เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมอง ซึ่งขณะนี้เธอยังคงอยู่ในกระบวนการรักษา ค่ารักษาพยาบาลเกือบทำให้ครอบครัวของเธอล้มละลาย พี่สาวของเธอจึงย้ายไปอยู่ออสเตรเลียเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือ
ก่อนการประท้วง ปานเดย์ทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ในการกำหนดแนวทางที่เน้นการไม่ใช้ความรุนแรงและให้ความเคารพต่อกัน พร้อมกับเตือนผู้ร่วมชุมนุมระมัดระวัง "กลุ่มผู้แอบอ้าง" เข้ามาฉวยโอกาส
ในช่วงเช้าของวันที่ 8 ก.ย. เธอเดินทางมาถึงอนุสาวรีย์ไมติการ์ มันดาลา (Maitighar Mandala) ใจกลางกรุงกาฐมาณฑุกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน เธอคิดว่าอย่างมากที่สุดก็คงจะมีผู้คนมารวมตัวกันหลักพันคน แต่ปรากฏว่าฝูงชนทยอยมาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
อากริติ กิมิเร ผู้ชุมนุมวัย 26 ปี ระบุว่าในช่วงแรก ๆ การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย "พวกเราทุกคนต่างนั่งลง เราต่างร้องเพลงเนปาลเก่า ๆ" เธอเล่า "สโลแกนและทุกอย่างในนั้นมันสนุกสนาน พวกเรามีความสุขกับมัน และหลังจากนั้นเราก็เริ่มเดินขบวน... ตำรวจก็อยู่ที่นั่นด้วยเพื่อกันยานพาหนะไม่ให้เข้ามาในที่ชุมนุม"
ทั้งปานเดย์ และกิมิเร เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณอันตรายราวช่วงเที่ยง เมื่อฝูงชนเริ่มเคลื่อนขบวนไปยังเขตบาเนชวอร์ใหม่ (New Baneshwor) ซึ่งเป็นละแวกที่ตั้งของรัฐสภา ทั้งคู่เห็นคนที่ขี่รถจักรยานยนต์มาสมทบ และปานเดย์เล่าว่าคนกลุ่มนี้ดูมีอายุมากกว่าผู้ชุมนุมเจนซีโดยเฉลี่ย
กิมิเรเชื่อว่าพวกเขาคือมือที่สาม "มันเริ่มยากมาก ๆ สำหรับพวกเราที่จะแยกแยะผู้ที่มาชุมนุมโดยสงบหรือคนที่มาเพื่ออะไรบางอย่างจริง ๆ กับคนที่เข้ามาโดยมีจุดประสงค์ก่อความรุนแรง"
เมื่อผู้ประท้วงบางคนพยายามฝ่าฝืนการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภา ตำรวจก็ตอบโต้ด้วยการยิงแก๊สน้ำตา ฉีดน้ำแรงดันสูง และยิงกลับใส่ผู้ชุมนุม โดยมีหลักฐานว่ามีการใช้กระสุนจริง และตำรวจยังถูกกล่าวหาว่ายิงใส่เด็กนักเรียนด้วย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวน
'Nepo babies' (เนโปเบบี้)
สองวันก่อนการชุมนุมประท้วงรุนแรงเมื่อ 8 ก.ย. ปานเดย์ นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมวัย 24 ปี อัปโหลดภาพวิดีโอที่แสดงให้เห็นเหมืองแร่บนเทือกเขาชูเร (Chure) หนึ่งในเทือกเขาที่เปราะบางที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยเธอเขียนข้อความว่า "ทรัพยากรของเนปาลควรเป็นของประชาชน ไม่ใช่บริษัทเอกชนของนักการเมือง" พร้อมกับเรียกร้องให้เพื่อน ๆ ของเธอ "ออกมาชุมนุมต่อต้านคอร์รัปชันและการใช้ความมั่งคั่งของประเทศในทางที่ผิด"
เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของเยาวชนกลุ่มอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในเอเชีย การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเจนซีชาวเนปาลไม่มีแกนนำ โดยมีอีกหลายคนที่เรียกร้องในทำนองเดียวกันกับปานเดย์ หลังจากรัฐบาลเนปาลตัดสินใจปิดกั้นแพลตฟอร์ตโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์ม โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้จดทะเบียนกับหน่วยงานท้องถิ่น
เป็นเวลาหลายเดือนที่กระแสความโกรธเกรี้ยวหลั่งไหลไปที่เหล่า "nepo babies" (เนโปเบบี้) หรือบรรดาลูกหลานของนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลจากทุกฝักฝ่าย พวกเขากล่าวหาว่าเนโปเบบี้เหล่านี้ต่างอวดความร่ำรวยอย่างไร้คำอธิบายลงบนโซเชียลมีเดีย
หนึ่งในภาพที่เป็นไวรัลที่สุดคือภาพของซอกัต ธาปา ลูกชายของรัฐมนตรีประจำจังหวัด ที่ยืนอยู่ถัดจากต้นคริสต์มาสที่ทำจากกล่องแบรนด์หรูต่าง ๆ ทั้งหลุยส์ วิตตอง, กุชชี และคาร์เทียร์ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวออกมาตอบโต้ว่านี่คือ "การตีความผิดพลาดอย่างไม่เป็นธรรม" และพ่อของเขา "ส่งคืนเงินทุกรูปีที่ได้จากบริการสาธารณะให้กับชุมชน"
ปานเดย์ได้ดูสิ่งที่ "เนโปเบบี้" เกือบทุกคนโพสต์บนโซเชียลมีเดีย แต่วิดีโอ ๆ หนึ่งที่แสดงให้เห็นทั้งภาพวิถีชีวิตแสนหรูหราของครอบครัวนักการเมืองและคนหนุ่มสาวชาวเนปาลที่ต้องหางานทำในกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียสะดุดใจเธอ
"มันเจ็บปวดที่จะดู โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าแม้แต่เยาวชนที่มีการศึกษาก็ยังถูกผลักให้ต้องออกนอกประเทศ เพราะค่าแรงที่นี่มันต่ำต้อยมากเมื่อเทียบกับที่คน ๆ หนึ่งต้องใช้ในการจะมีชีวิตอยู่อย่างมีเกียรติ" เธอกล่าว
เนปาลเป็นประเทศประชาธิปไตยอายุไม่มากนักโดยเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นรูปแบบสาธารณรัฐในปี 2008 หลังจากสงครามกลางเมืองที่นำโดยลัทธิเหมาซึ่งยืดเยื้อมาร่วมทศวรรษคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 17,000 คน
แต่เนปาลกลับไม่ได้มีสเถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองตามที่มีการสัญญาไว้ ในช่วงระยะเวลา 17 ปี เนปาลผ่านรัฐบาลมาแล้ว 14 รัฐบาล และไม่มีผู้นำคนใดอยู่ได้ครบวาระ 5 ปี การเมืองของประเทศคล้ายกับเกมเก้าอี้ดนตรี โดยพรรคคอมมิวนิสต์ และพรรคคองเกรสเนปาล ซึ่งเป็นพรรคสายกลาง ผลัดกันขึ้นปกครอง ผู้นำ 3 คนที่รวมถึงเคพี ชาร์มา โอลี ซึ่งลาออกจากการประท้วงของกลุ่มเจนซี คือผู้ที่เคยขึ้นสู่อำนาจหลายต่อหลายครั้ง
ตัวเลขจีดีพีต่อหัวของเนปาลอยู่ต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 47,600 บาท) นับเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดเป็นดับสองของเอเชียใต้รองจากอัฟกานิสถาน โดยมีประชาการประมาณ 14% ออกไปทำงานนอกประเทศ และมี 1 ใน 3 ของครัวเรือนที่รับเงินโอนจากต่างประเทศ
สำหรับปานเดย์ เธอมาจากครอบครัวชนชั้นกลางทางตะวันออกของเนปาล และพ่อของเธอเป็นครูโรงเรียนรัฐที่เกษียณอายุแล้ว สามปีก่อนหน้านี้ เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมอง ซึ่งขณะนี้เธอยังคงอยู่ในกระบวนการรักษา ค่ารักษาพยาบาลเกือบทำให้ครอบครัวของเธอล้มละลาย พี่สาวของเธอจึงย้ายไปอยู่ออสเตรเลียเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือ
ก่อนการประท้วง ปานเดย์ทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ในการกำหนดแนวทางที่เน้นการไม่ใช้ความรุนแรงและให้ความเคารพต่อกัน พร้อมกับเตือนผู้ร่วมชุมนุมระมัดระวัง "กลุ่มผู้แอบอ้าง" เข้ามาฉวยโอกาส
ในช่วงเช้าของวันที่ 8 ก.ย. เธอเดินทางมาถึงอนุสาวรีย์ไมติการ์ มันดาลา (Maitighar Mandala) ใจกลางกรุงกาฐมาณฑุกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน เธอคิดว่าอย่างมากที่สุดก็คงจะมีผู้คนมารวมตัวกันหลักพันคน แต่ปรากฏว่าฝูงชนทยอยมาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
อากริติ กิมิเร ผู้ชุมนุมวัย 26 ปี ระบุว่าในช่วงแรก ๆ การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย "พวกเราทุกคนต่างนั่งลง เราต่างร้องเพลงเนปาลเก่า ๆ" เธอเล่า "สโลแกนและทุกอย่างในนั้นมันสนุกสนาน พวกเรามีความสุขกับมัน และหลังจากนั้นเราก็เริ่มเดินขบวน... ตำรวจก็อยู่ที่นั่นด้วยเพื่อกันยานพาหนะไม่ให้เข้ามาในที่ชุมนุม"
ทั้งปานเดย์ และกิมิเร เริ่มสังเกตเห็นสัญญาณอันตรายราวช่วงเที่ยง เมื่อฝูงชนเริ่มเคลื่อนขบวนไปยังเขตบาเนชวอร์ใหม่ (New Baneshwor) ซึ่งเป็นละแวกที่ตั้งของรัฐสภา ทั้งคู่เห็นคนที่ขี่รถจักรยานยนต์มาสมทบ และปานเดย์เล่าว่าคนกลุ่มนี้ดูมีอายุมากกว่าผู้ชุมนุมเจนซีโดยเฉลี่ย
กิมิเรเชื่อว่าพวกเขาคือมือที่สาม "มันเริ่มยากมาก ๆ สำหรับพวกเราที่จะแยกแยะผู้ที่มาชุมนุมโดยสงบหรือคนที่มาเพื่ออะไรบางอย่างจริง ๆ กับคนที่เข้ามาโดยมีจุดประสงค์ก่อความรุนแรง"
เมื่อผู้ประท้วงบางคนพยายามฝ่าฝืนการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบอาคารรัฐสภา ตำรวจก็ตอบโต้ด้วยการยิงแก๊สน้ำตา ฉีดน้ำแรงดันสูง และยิงกลับใส่ผู้ชุมนุม โดยมีหลักฐานว่ามีการใช้กระสุนจริง และตำรวจยังถูกกล่าวหาว่ายิงใส่เด็กนักเรียนด้วย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวน

โรงแรมฮิลตันตกเป็นหนึ่งในเป้าการโจมตีของผู้ลอบวางเพลิง
เช้าวันรุ่งขึ้นเต็มไปด้วยความโกลาหลและความรุนแรง ผู้ประท้วงตอบโต้ด้วยการจุดไฟเผาอาคารรัฐสภา สำนักนายกรัฐมนตรี และอาคารอื่น ๆ ของรัฐบาล ทั้งปานเดย์และกิมิเรไม่ได้ออกมาร่วมชุมนุมแต่ได้เฝ้าดูพัฒนาการผ่านทางออนไลน์
"มีคนจำนวนมากแชร์ว่าพวกเขารู้สึกดีที่ได้เห็นบรรดานักการเมืองได้เผชิญผลลัพธ์ของทุกการกระทำที่พวกเขาทำลงไปซักที" กิมิเรระบุถึงการทำลายบ้านเรือนของเหล่าผู้นำทางการเมือง เธอเล่าต่อว่าจากนั้นอารมณ์ของผู้คนก็ยิ่งดำดิ่งลงไปอีก
"ฉันเห็นคนถือขวดบรรจุน้ำมัน พวกเขาเอามันมาจากพวกรถมอเตอร์ไซค์ พวกเขาเริ่มโจมตีอาคารรัฐสภา" ปานเดย์ระบุ
บัณฑิตกฎหมายรายนี้ร่ำไห้หลังเห็นศาลฎีกาที่เธอนับถือว่าเสมือน "เป็นวัด" สำหรับเธอ ถูกเพลิงเผาไหม้ เพื่อน ๆ ของเธออยู่ที่นั่นและพยายามจะสาดน้ำเข้าไปเพื่อดับไฟ พวกเขาทั้งหมดรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ แต่ก็ทำเพื่อปลอบโยนตัวเองเพียงเท่านั้น
"มีคนว่ากันว่ามีผู้ไม่หวังดีที่ตั้งใจมาเพื่อเผาทำลายสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะ... พวกเขาเป็นใคร ?" กิมิเร ตั้งคำถาม "จากภาพวิดีโอ พวกเขาทุกคนสวมหน้ากาก"
ความสงบเริ่มกลับคืนมาบ้างเมื่อมีการส่งกองทัพไปควบคุมสถานการณ์ มีการสั่งเคอร์ฟิวอยู่หลายวัน ก่อนที่ต่อมาในสัปดาห์เดียวกัน อดีตประธานศาลฎีกา สุชิลา การ์กี จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ โดยเธอได้รับการสนับสนุนจากผู้ประท้วงให้ดำรงตำแหน่งนี้
ปานเดย์คาดหวังว่าอดีตประธานศาลฎีกาหญิงผู้นี้ "จะสามารถนำประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดให้มีการเลือกตั้งตามเวลาที่กำหนด และคืนอำนาจให้กับประชาชน
แต่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตทางการเมืองของเนปาลยังคงมีอยู่
รูเมลา เซ็น ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียใต้แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ระบุว่ามันเป็นเรื่องที่ "น่ากังวล" ที่ได้เห็น "การเชิดชูกองทัพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในฐานะเสียงจากฝ่ายที่มีเหตุมีผลและเสถียรภาพ"
หลายคนยังรู้สึกไม่สบายใจกับการมีส่วนร่วมของดูร์กา ปราไซ ในช่วงเริ่มต้นของการเจรจาตามคำเชิญของกองทัพ นายปราไซเคยถูกจับกุมจากการมีบทบาทในการชุมนุมประท้วงรุนแรงเพื่อต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในเดือน มี.ค. เขาเคยลี้ภัยไปอินเดียก่อนจะหวนคืนเนปาล ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเจนซีเดินออกจากวงประชุม

ขณะเดียวกัน ครอบครัวของผู้ประท้วงที่เสียชีวิตก็กำลังพยายามทำความเข้าใจกับความสูญเสีย
"พวกเราตกใจมาก เพราะเราสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักของเรา" ยุพราช เนยุปาเน ผู้สูญเสียโยเกนดรา ลูกชายวัย 23 ปีไปในการชุมนุมกล่าว "ฉันยังไม่รู้เลยว่าเขาตายได้อย่างไร"
จากรายงานการชันสูตรพลิกศพ โยเกนดราถูกยิงที่ด้านหลังของศีรษะขณะที่เขาอยู่ใกล้กับอาคารรัฐสภา
โยเกนดรา ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว มีพื้นเพมาจากภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเนปาล เขาเดินทางไปศึกษาต่อในกรุงกาฐมาณฑุด้วยความใฝ่ฝันที่จะเป็นข้าราชการ เพื่อนและครอบครัวของเขาเล่าว่า เขามักเข้าเรียนหนังสืออยู่เสมอ
แต่ในวันที่ 8 ก.ย. เขาไปร่วมชุมนุมพร้อมกับเพื่อน ๆ ด้วยความหวังที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศ ครอบครัวของเขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นด้วยจนกระทั่งเขาโทรศัพท์บอกเมื่อสถานการณ์เริ่มลุกลามบานปลาย
"บุคคลอันเป็นที่รักของเราสูญเสียชีวิตของเขาในการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง" ซอพาเกีย ญาติผู้อาวุโสของเขากล่าว "การสละเลือดเนื้อของเขาต้องได้รับการจดจำ เพื่อที่คนหนุ่มสาวจะได้ไม่ต้องลงถนนอีกในอนาคต"
ปานเดย์บอกว่าเธอมองอนาคตของประเทศในแง่ดีอย่างมีสติ แต่บาดแผลจากสัปดาห์ที่ผ่านมาจะยังคงอยู่กับเธอไปตลอดชั่วชีวิต
นี่คือการตื่นรู้ทางเมืองสำหรับคนรุ่นเธอ
"เราไม่อาจจะอยู่เงียบ ๆ หรือยอมรับกับความอยุติธรรมได้อีกต่อไป" เธอกล่าว "นี่ไม่ใช่แค่การสะกิดเบา ๆ แต่มันคือการท้าทายต่อระบบที่สั่งสมอำนาจมาหลายทศวรรษอย่างกล้าหาญ"
รายงานเพิ่มเติมโดยเกรซ ชอย
https://www.bbc.com/thai/articles/ckg3l9vxv5yo