วันอังคาร, กรกฎาคม 08, 2568

วันพุธที่ 9 กค.นี้ ร่าง #ร่างพรบ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ที่ร่วมคดีมาตรา 112 จะเข้าสภา อ.พวงทอง เป็นหนึ่งที่จะขึ้นกล่าวในสภาฯ ถึงเหตุผลว่าทำไมสภาจึงควรผ่านกฎหมายฉบับนี้ แต่ยังอยู่ต่างประเทศ จึงขอนำร่างคำแถลงที่เตรียมไว้ก่อน มาให้ท่านได้อ่านกัน

.....

Puangthong Pawakapan
22 hours ago
·
วันพุธที่ 9 กค.นี้ ร่าง #ร่างพรบ.นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ที่ร่วมคดีมาตรา 112 จะเข้าสภา เป็นการเลื่อนมาจากเมื่อวันที่ 9 เมย. ซึ่งดิฉันเป็นหนึ่งในคนที่ทาง I-law และศูนย์ทนายฯ ขอให้ขึ้นกล่าวในสภาฯ ถึงเหตุผลว่าทำไมสภาจึงควรผ่านกฎหมายฉบับนี้ แต่วันนี้ดิฉันยังอยู่ต่างประเทศ จึงขอนำร่างคำแถลงที่เตรียมไว้ตั้งแต่วันที่ 9 เมย. มาแปะไว้ให้ท่านได้อ่านกัน

ไม่ได้มีความหวังมากนัก แต่ก็เขียนจากใจ และยังอยากวิงวอนให้บรรดาสส. พรรคการเมือง ที่ป่าวร้องว่ารักประชาธิปไตยนักหนา มีความกล้าหาญ ไม่ทอดทิ้งประชาชนเพียงเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ขอวิงวอนให้ผู้สนับสนุนช่วยกันส่งเสียงเรียกร้องให้พรรคการเมืองของท่านทำสิ่งที่ถูกต้อง อย่าทิ้งเพื่อนๆ

#####################

เรียน ประธานสภาฯที่เคารพ เพื่อผ่านไปยังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน …

ดิฉันจะไม่ขออารัมภบทให้เสียเวลามากเกินไป ... พวกเราทราบดีว่า อุปสรรคสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมประชาชนก็คือ การรวมเอาผู้ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ไว้ด้วย ฉะนั้น ในวันนี้ดิฉันจะขอพูดถึงแต่ประเด็นเดียวว่า ทำไมท่านจึงควรสนับสนุนการนิรโทษกรรมคนกลุ่มนี้ไว้ด้วย และสังคมไทยจะได้ประโยชน์อย่างไร


ท่านประธาน... ดิฉันขออนุญาตกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ซึ่งดิฉันเชื่อว่าท่านประธาน และสมาชิกสภาฯส่วนใหญ่ ยังคงจดจำกันได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ สังคมไทยเคยออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และคดีการเมืองร้ายแรงอื่นๆ ให้กับคนจำนวนมากมาแล้ว

โดยเริ่มจากในปี 2521 เมื่อรัฐบาลของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อันเป็นรบ.จากการรัฐประหาร ได้ผลักดันพรบ.นิรโทษกรรมให้กับผู้นำนักศึกษา 18 คน และตามมาด้วยการอนุญาตให้นิสิตนักศึกษากรรมกรชาวนาอีกนับพันคน ที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สามารถกลับคืนสู่เมือง กลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง โดยรัฐไม่เอาผิดทางอาญา ซึ่งเราท่านก็ได้เห็นแล้วว่าบุคคลเหล่านี้ ณ วันนี้ ได้กลายเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ...เป็นนักการเมือง รัฐมนตรี ข้าราชการ และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมาย หลายคนจึงมีอำนาจวาสนาในวันนี้ได้ ... ถ้าเมื่อ 49 ปีที่แล้ว ผู้มีอำนาจของไทยปฏิเสธที่จะประนีประนอม ในวันนี้ ท่านเหล่านั้นจะมีชะตากรรมเช่นใด ก็ยากจะคาดเดาได้

ในฐานะที่ดิฉันศึกษาเกี่ยวกับสงครามเย็นมาบ้าง ดิฉันเห็นว่าการประนีประนอมทางการเมืองเมื่อ 5 ทศวรรษที่แล้ว เกิดจากการที่ผู้มีอำนาจรัฐ โดยเฉพาะในผู้นำทหารในขณะนั้น ตระหนักว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายทั้งในประเทศและนอกประเทศ หากยังมุ่งใช้วิธีกดปราบประชาชนอย่างเดียว ก็จะนำไปสู่ภาวะสิ้นชาติได้ ... มันเกิดอะไรขึ้นในขณะนั้น?

สถานการณ์นอกประเทศ ..ในปี 2518 ประเทศเพื่อนบ้านของไทย ได้แก่ ลาว เวียดนาม และกัมพูชา กลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์กันหมด ขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกา ที่รัฐบาลไทยฝากผีฝากประเทศไว้กับเขามาตลอด ก็ถอนตัวออกจากสงครามเวียดนาม ถอนทหารและปิดฐานทัพในไทยจนหมดสิ้น

ส่วนสถานการณ์ในประเทศ เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำ ข้าวยากหมากแพง .. ผู้คนต้องเข้าคิวซื้อข้าวและน้ำตาล ... และที่รุนแรงที่สุด ก็คือการสังหารหมู่ประชาชนเมื่อวันที่ 6 ตุลา 2519 ผลักดันให้นิสิตนักศึกษากรรมกรชาวนา พากันหลั่งไหลเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ..ในช่วงเวลานั้น ข่าวการปะทะระหว่างกองกำลังของ พคท.กับเจ้าหน้าที่รัฐ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน และรัฐบาลต้องประกาศพื้นที่สีแดงมากขึ้นทุกปี

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้นำทหารที่ขึ้นสู่อำนาจหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 ตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์เสียใหม่ ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อประชาชนใหม่ด้วย จากที่เคยมองประชาชนเป็น “ศัตรูของชาติ” ที่ต้องถูกทำลายให้สิ้นซาก ก็เริ่มมองว่าแท้ที่จริง พวกเขาคือเยาวชนที่รักชาติ ต้องการเห็นสังคมและผู้คนที่ทุกข์ยากมีชีวิตที่ดีขึ้น เพียงแต่พวกเขาใช้วิธีการที่แตกต่างจากรัฐไทยเท่านั้น นอกจากนี้ ยังเกิดการปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่ามีแต่การพัฒนา การเข้าใจความทุกข์ยากของประชาชน ประชาธิปไตย และการประนีประนอมทางการเมืองเท่านั้นที่จะทำให้รัฐเข้มแข็งขึ้น และทำให้พลังของฝ่ายต่อต้านรัฐอ่อนแอลง

ดิฉันขอเรียนว่าการเปิดกว้างทางการเมืองที่เริ่มขึ้นในต้นทศวรรษ 2520 มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของประเทศอย่างยิ่ง คือ

ประการแรก มันทำให้สงครามระหว่างรัฐกับประชาชนที่ดำเนินมากว่า 2 ทศวรรษได้ยุติลง เราได้ยุติการสูญชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายประชาชน รัฐสามารถนำการพัฒนาเข้าสู่พื้นที่ชนบท ที่เคยเป็นพื้นที่สีแดง ได้มากขึ้น

ประการที่สอง พลังของฝ่ายต่อต้านรัฐอ่อนแอลง ขณะที่ความรู้สึกคับแค้นต่อความอยุติธรรมก็บรรเทาลง เพราะประชาชนเห็นว่ารัฐยินดีประนีประนอม

ประการที่สาม เมื่อเข้าสู่ปลายทศวรรษ 2520 เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุค “โชติช่วงชัชวาล” แน่นอนว่ามันเป็นผลจากนโยบายเศรษฐกิจหลายประการ แต่ดิฉันเชื่อว่ามันเป็นผลจากการเมืองด้วย การเมืองที่ยุติการเป็นศัตรูกันของคนในชาติ รัฐไม่ต้องสูญเสียงบประมาณและกำลังคนไปกับการทำสงครามกับประชาชน

ท่านประธานที่เคารพ ดิฉันใฝ่ฝันเห็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของไทยได้พานพบกับความโชติช่วงชัชวาลอีกครั้งหนึ่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร

ในขณะนี้ เราต่างรู้ดีว่าเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ ทั้งจากการดำเนินนโยบายของมหาอำนาจ และจากการทุจริตที่ลุกลามไปทุกองคาพยพของรัฐไทย ปัญหาที่อยู่ข้างหน้าเรามีมากเหลือเกิน แต่ก็น่าเสียใจเหลือเกินที่ดิฉันพบว่า 10 ปีที่ผ่านมา วิธีการแก้ไขปัญหาการเมืองของรัฐ ไม่สามารถประสานรอยร้าวในสังคม ได้เลย มีแต่ทำให้ประชาชนเจ็บปวดมากขึ้น เป็นสิ่งที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่ฝ่ายการเมืองไม่มีความกล้าหาญพอที่จะผลักดันแนวทางประนีประนอมเพื่อลดความขัดแย้งเลย ไม่เห็นความสำคัญของการประสานพลังของประชาชนกลุ่มต่างๆ เพื่อรับมือกับวิกฤตที่อยู่ตรงหน้า .. แต่กลับยังมุ่งลงโทษประชาชนที่คิดต่างต่อไป

ท่านประธาน.... ในความเป็นจริง ผู้ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 ต่างถูกลงโทษมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกคุมขัง คนที่รอการตัดสินคดี หรือคนที่ลี้ภัยไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนวัยเกษียณ วัยทำงาน หรือเป็นเยาวชนที่ร่ำเรียนอยู่ พวกเขาและคนในครอบครัวของพวกเขาถูกลงโทษทั้งทางกายและทางใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความทุกข์ที่พวกเขาได้รับนั้น มากเกินพอแล้ว และหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาก็อยู่กับความกลัว อยู่กับความเงียบ พวกเขาอ่อนแอลงอย่างมากแล้ว ดิฉันจึงขอวิงวอนให้สมาชิกผู้ทรงเกียรติของสภาฯ ได้โปรดช่วยกันยุติการลงโทษพวกเขาเถิด

ดิฉันเชื่อว่ามีแต่การประนีประนอม หลักมนุษยธรรม และการเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของกันและกันเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้สังคมไทยสามารถฝ่าฟันวิกฤติที่เรากำลังเผชิญนี้ได้อย่างมีพลังอีกครั้งหนึ่ง
ท่านประธานและท่านสมาชิกสภาฯผู้ทรงเกียรติ ดิฉันจึงขอวิงวอนให้พวกท่านได้โปรดลงมติสนับสนุนร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับประชาชน ที่รวมคดีคดีอาญา 112 ไว้ด้วย

ดิฉันเชื่อเหลือเกินว่าด้วยแนวทางเช่นนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย ได้มีโอกาสพบกับความโชติช่วงชัชวาลอีกครั้งหนึ่ง

ขอแสดงความนับถือ
พวงทอง ภวัครพันธุ์
#นิรโทษกรรมประชาชน

https://www.facebook.com/photo?fbid=24298120199812077&set=a.138005429583558