วันพุธ, กันยายน 18, 2567
2 โพสต์ เกี่ยวกับ จักรภพ เพ็ญแข หลายท่านอาจจะยังไม่เคยเห็น
Nithiwat Wannasiri
February 27
·
เบาะแส "ใครสั่งล่า ต้า วันเฉลิม?"
จาก จักรภพ เพ็ญแข
"ต้าร์ถูกฆ่า และผลกระทบต่อไทยทั้งประเทศ
ต้าร์ หรือ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ถูกอุ้มเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2563 เวลา 17.54 น. กลางกรุงพนมเปญของกัมพูชา เมื่อเราโยงเรื่องนี้ไปสู่การอุ้ม-ฆ่านักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน 7 ท่านในลาวและเวียดนามก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึง อาจารย์สุรชัย แซ่ด่าน และ คุณชูชีพ ชีวสุทธิ์ หรือลุงสนามหลวง เราก็มีความหวังน้อยมากที่จะได้เห็นต้าร์รอดชีวิตและได้พบเห็นต้าร์แบบเดิมอีก
ต้าร์เป็นคนเก่ง ฉลาด รื่นเริง นิสัยดี และมีอุดมการณ์ คนที่รู้จักต้าร์จะหัวเราะกับเพจประเภท "กูต้องได้ร้อยล้านจากทักษิณ" ที่ต้าร์ทำ เพราะเขาทำเพื่อประชดประชันเสียดสีฝ่ายตรงข้ามที่ดูแคลนนักประชาธิปไตยว่ารับเงินทองจนเป็นขี้ข้าทักษิณ เพราะในใจจริงๆ แล้ว ซากเดนของระบบอุปถัมภ์พวกนี้ ไม่กล้ายอมรับว่า กองทัพของนักสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงเมืองไทยที่เป็นตัวจริงและของจริงมีอยู่มากมายทั่วเมือง จึงต้องร่วมขบวนการตอแหลดูถูกนักสู้และผู้เสียสละ หลอกตัวเองอย่างกบที่ซ่อนตัวในกะลา และยอมให้คนโรคจิตลากชีวิตตัวเองลงสู่ขุมนรก เพราะไม่กล้ายอมรับว่าเวรกรรมกำลังจะตามมาถึงตัวหรือลูกหลานของตัวในไม่ช้า
เมื่อรู้ข่าวต้าร์ถูกเขาฆ่าล้างผลาญ เช่นเดียวกับวีรชนทุกๆ ท่าน จนถึงผู้กล้าจากราชประสงค์ทุกๆชีวิตเมื่อ พ.ศ.2553 ผมต้องเสียน้ำตามาก แต่ผมไม่เสียกำลังใจ หัวใจที่ทำท่าจะสลายในเวลาสั้นๆ กลับรวมตัวขึ้นใหม่กลายเป็นหัวใจที่มั่นคงเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม ต้าร์มีอำนาจวิเศษที่ทำให้ผมเศร้าสะเทือนใจ หัวใจสลาย หัวใจฟื้นตัว และเกิดจิตใจที่เข้มแข็งมั่นคงในห้วงเวลาเดียวกันได้
เขาสั่งฆ่า 3 คนคือ ต้าร์ พันตำรวจเอกศิวพงษ์ พัฒน์พงศ์พานิช และตัวผม ต้าร์ถูกอุ้มไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ พันตำรวจเอกศิวพงษ์ฯ ซึ่งเป็นอดีตรองผู้บังคับการกองปราบฯ ก็ถึงแก่ความตายด้วยการเสพยาเกินขนาดไปก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน
โดยประวัติแล้ว พ.ต.อ ศิวพงษ์ฯ เป็นลูกชายของ พล.ต.ท. คมกฤช พัฒน์พงศ์พานิช อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส) และเคยเป็น รอง ผบก ที่ บช.ปส. 2 ก่อนจะย้ายมาอยู่กองปราบปรามฯ ถูกลากเข้าสู่วังวนของอำนาจและผลประโยชน์ขนาดใหญ่ และสุดท้ายก็ต้องพบเจอชะตากรรมเช่นนี้
ตกลงรายชื่อนี้ก็เหลือตัวผมอีกเพียงคนเดียว และผมก็คงยังไม่ใช่คนสุดท้ายของมหกรรมทำบาปในครั้งนี้
ปฏิบัติการลับ (covert operation) ครั้งนี้ มีลักษณะที่ซ้ำกับการฆ่า 7 ท่านที่ลี้ภัยไปอยู่ลาวและเวียดนาม นั่นคือ
1. เลือกเป้าหมายที่ไม่มีกลุ่มอำนาจใดขัดขวาง หรือได้รับการสนับสนุน
2. ซุ่มซ่อนสังเกตพฤติกรรมของเป้าหมาย
3. อุ้ม นำตัวไปทำร้ายทรมาน รีดข้อมูลแบบบีบบังคับให้ใส่ร้ายคนอื่นๆ ก่อนจะสังหาญผลาญชีวิต
4. เมื่อพลาดท่าจนเกิดการออกข่าว อย่างในกรณีของต้าร์ ทีมตอแหลในเมืองไทยที่เป็นบุคคลบ้าง สำนักข่าวบ้าง ก็ออกมาทำหน้าที่สร้างความสับสนในสังคม ออกข่าวเท็จว่าต้าร์ยังไม่ตายบ้าง ตั้งข้อสงสัยนั่นบ้างนี่บ้าง จนถึงขนาดลงทุนออกผลสำรวจประชามติที่ถามนำและเจาะจงถามลงไปยังกลุ่มที่ถูกล้างสมองมาแล้ว เพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่าคนส่วนมากไม่เชื่อว่าต้าร์ตายจริง แล้วอาศัยความชุลมุนนี้เอาตัวรอดด้วยการติดตามทำลายหลักฐานที่เขาเข้าถึงได้ เพื่อป้องกันคดีความในอนาคต
5. ต้าร์ถูกล็อคคอจากด้านหลังในขณะพูดโทรศัพท์กับพี่สาว เขาจึงตะโกนออกมาว่า "โอ๊ย หายใจไม่ออก" ซึ่งตรงตามเหตุการณ์และสมเหตุสมผล แต่ทึมตอแหลในระบบอุปถัมภ์ศักดินาเหล่านี้ ก็ยังทำบาปต่อเนื่องด้วยการออกมาทำท่าทีเยาะเย้ยว่าเรื่องของต้าร์เป็นละครเลียนแบบ จอร์ช ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ถูกตำรวจเมืองมินนีอาโปลิสฆ่าตาย จนกลายเป็นกระแสอันใหญ่หลวงต่อต้านการแบ่งแยกเหยียดหยามมนุษย์ไปทั่วโลกจนถึงเวลานี้
6. การอุ้มฆ่าจึงหวังให้ไม่มีข่าว แต่เตรียมแผนสำรองไว้ว่า ถ้าเกิดข่าวขึ้นก็ปล่อยข้อมูลเท็จและมีลักษณะขัดแย้งเพื่อให้เกิดความลึกลับสับสน และเผยแพร่ข้อมูลเท็จมาทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้ถูกฆ่า เพื่อลดความเห็นใจของคนที่ไม่รู้ ก่อนหน้านั้นก็ทำลายร่างและหลักฐานต่างๆ ไปจนหมดสิ้น ให้ดูเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
7. การดูแคลนว่าต้าร์เป็นคนที่ไม่มีความสำคัญ จึงไม่มีเหตุผลให้ถูกอุ้มนั้น ก็คือเล่ห์เหลี่ยมส่วนหนึ่งของขบวนการตอแหลทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณ คนที่ออกข่าวก็รู้อยู่ในกะโหลกมากกว่าใครๆ ว่า ปฏิบัติการนี้มาจากคำสั่งอันปฏิเสธมิได้ ไม่ต้องมีเหตุผลหรือหลักฐานใดๆ มารองรับ ไม่มีทางอิดออดทัดทานหรือเถียงกลับ ถือเป็นเรื่องของอารมณ์อันวิปลาสและความหลงในอำนาจอย่างหนักโดยแท้
สรุป: การฆ่าต้าร์จึงเป็นงานของเครือข่ายเดิมและด้วยวิธีการเดิม (same team, same team, same techniques)
เราไม่มีวันยอมให้ชีวิตของต้าร์และวีรชนทั้งหมดของขบวนประชาธิปไตยหมดสิ้นไปอย่างสูญเปล่า แต่เรื่องนี้มีจังหวะเวลาของมัน กรณีหมู่อาร์มออกมาเปิดเผยทุจริตในกองทัพบกอาจมีความสำคัญมากกว่าข่าวที่ออกมา และความเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของสหภาพยุโรปและประเทศที่มิได้เป็นสมาชิก ก็ย่อมมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกัน เขาต้องการให้เราเกิดอารมณ์แค้นและใส่อารมณ์แค้นเข้ามาในการเดินงาน ซึ่งจะทำให้งานนั้นหยาบ บกพร่อง และผิดพลาดง่าย เราจึงบริหารอารมณ์ของเราให้สมดุลเพื่อผลในอนาคต ธรรมในพระพุทธศาสนาช่วยให้สติปัญญากับผมมากในขณะนี้ เช่นเดียวกับที่ให้ผมมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต
ผมไม่ได้ตั้งใจจะเผยแพร่ข้อเขียนเล็กๆ นี้ในวันที่ 9 มิถุนายน แต่เกิดมาตรงกันพอดีอย่างน่าทึ่ง วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 คือวันที่เกิดกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 อันเป็นความรุนแรงและแรงเหวี่ยงภายในราชสำนัก และวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2551 คือในอีก 70 ปีเต็มต่อมา ผมเขียนใบลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ซึ่งต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดก็ได้สั่งไม่ฟ้องและได้สั่งระงับคดีไปแล้วจนหมดสิ้นทั้ง 2 คดี
การฆ่าและการใช้ความรุนแรงอันเกิดจากโมหะจริตนั้น มีแรงเหวี่ยงแห่งกรรมที่รุนแรง ผลแห่งความชั่วร้ายอาจยาวนานมาส่งผลครอบคลุมในหลายชั่วอายุคน ผู้ที่ปฏิบัติธรรมและมีปัญญา สามารถยับยั้ง ลดความรุนแรง หรือหยุดกรรมชั่วได้ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าขาดปัญญาและถลำตัวลึกลงไปเรื่อยๆ ก็จะถึงจุดหนึ่งที่ไม่มีใครช่วยเหลืออะไรได้
เป้าหมายของเราไม่มีเปลี่ยนแปลง
1. พิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นคนของคนไทย
2. เพิ่มอำนาจและทรัพยากรให้แก่มวลชน ให้เขานำไปใช้พัฒนาตัวเองตามความรู้ความสามารถ
3. ทลายเพดานแก้วของชนชั้นนำและอำมาตย์ที่จำกัดความเติบโตของลูกชาวบ้านอยู่ จนเกิดโอกาสและทรัพยากรอันเท่าเทียมและเสมอภาค
4. พัฒนาไทยไปสู่ความเป็นพลโลกที่รับผิดชอบ ใจสูง และมีศักดิ์ศรี
5. เพิ่มอำนาจป้องกันตัวเองของมวลชนจากการกดขี่ข่มเหง
ต้าร์ และผู้เสียสละเพื่อประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทุกๆ ท่าน ยังคงเป็นพลังธรรมชาติที่จะช่วยพวกเรานำพามวลชนผ่านมรสุมและคลื่นลมรุนแรงไปจนถึงฝั่ง จนเราทั้งหลายต่างหลุดพ้นจากรัฐนาวาอันเสียสตินี้ได้ในไม่ช้า
ด้วยความรักพี่น้องร่วมอุดมการณ์และมวลชนทุกคน"
จักรภพ เพ็ญแข
9 มิถุนายน พ.ศ.2563
https://www.facebook.com/nithiwat.wannasiri/posts/7142743515811290?ref=embed_post
.....
อุเชนทร์ เชียงเสน
7 hours ago
·
เผื่อใครยังไม่รู้ เจ้าของบทความ อันเป็นที่มา ทำให้สมยศ พฤกษาเกษมสุข ในฐานะบรรณาธิการ นิตยสาร Voice of Taksin ติดคุกในคดี 112 ผู้ใช้นามปากกา “จิตร พลจันทร์” ไม่ใช่ใครอื่นไกล ตามคำยืนยันของสมยศ คือ จักรภพ เพ็ญแข นั่นเอง
“ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เขามีความผิดสองกรรมจากบทความสองชิ้นที่เขียนโดยนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ โดยให้เหตุผลว่าแม้เรื่องราวในบทความจะเล่าผ่านตัวละครสมมติ ไม่มีการเอ่ยพระนามพระมหากษัตริย์ แต่บริบททางประวัติศาสตร์ทำให้ผู้อ่านตีความได้ว่ากำลังพูดถึงใคร”
https://www.bbc.com/thai/thailand-55691874