ไม่ยืนในโรงหนัง เป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่ผิดกฎหมาย
11/10/2020
The Isaan Record
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ก่อนจะยุติการชุมนุม “ทวงอำนาจคืนราษฎร” ที่ท้องสนามหลวง พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้ประกาศข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อ และเชิญชวนให้ประชาชนใช้วิธีสันติวิธีต่อต้านเผด็จการ 8 ข้อ
หนึ่งในนั้นคือ การรณรงค์ไม่ยืนในโรงหนัง เมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญในโรงภาพยนตร์ แต่ให้ชูสามนิ้วแทน โดยคำเชิญชวนดังกล่าวมีทั้งกระแสบวกและลบ
ผู้สื่อข่าวพิเศษ The Isaan Record จึงลงพื้นที่สำรวจโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ในรอบฉายภาพยนตร์เรื่อง “เลิฟยู โคกอีเกิ้ง” มีผู้เข้าชมในโรงหนังจำนวน 5 คน
ก่อนฉายภาพยนตร์มีการฉายหนังตัวอย่างและโฆษณาสินค้าต่างๆ แต่เมื่อถึงช่วงเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมี กลับไม่มีใครลุกขึ้นยืนหรือทำความเคารพอย่างที่เคยเป็น
พนักงานบริษัทเอกชนอายุ 25 ปี (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) เป็นคนหนึ่งที่ไม่ยืนทำความเคารพในโรงหนัง ให้สัมภาษณ์หลังดูหนังจบว่า ตอนนี้คนสบายใจที่จะแสดงออก ด้วยการไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญมากขึ้น
“ตอนนี้ใครๆ ก็ทำกัน คนพูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ได้อย่างเปิดเผยขึ้น ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อย่างที่เคยเป็นมา”พนักงานเอกชนกล่าว
เขายังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้เวลาคนไม่ยืนในโรงหนังมักมีการบันทึกภาพ แล้วนำไปประจานบนสื่อออนไลน์ กระทั่งคนไม่ยืนถูกทำร้ายร่างกาย จึงทำให้เกิดความกลัวและทำให้ตนจำเป็นต้องทำตามเพื่อไม่ให้ถูกทำร้าย
“เวลาไปดูหนัง ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวไหน หรือดูกับใครก็จะไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ถ้าใครถามว่าเพราะอะไร ผมคิดว่าเป็นคำถามที่ไม่ควรถามและไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะการที่จะยืนหรือไม่ เป็นสิทธิส่วนบุคคล”เขากล่าว
ส่วนนักศึกษาหญิงวัย 21 ปี (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) ให้สัมภาษณ์สั้นๆ หลังจากดูหนังจบว่า ก่อนหนังจะฉายได้ยืนรอด้านนอกโรงหนัง กระทั่งเพลงสรรเสริญพระบารมีจบ เพราะไม่ต้องการยืนทำความเคารพและไม่ต้องการที่จะปะทะกับกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงกับผู้ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี
“การยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล ไม่ถือเป็นค่านิยมของคนยุคนี้ แต่ไม่ควรบังคับและใช้ความรุนแรงกับผู้เห็นต่าง”นักศึกษาหญิงกล่าว