วันอังคาร, ตุลาคม 28, 2568

เปิดเนื้อหา 8 ข้อใน "ถ้อยแถลง" ไทย-กัมพูชา


26 ตุลาคม 2025
บีบีซีไทย

เปิดเนื้อหา 8 ข้อใน "ถ้อยแถลง" ไทย-กัมพูชา

กระทรวงการต่างประเทศของไทย เผยแพร่คำแปลอย่างไม่เป็นทางการของเอกสาร "ถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย" ที่ลงนามโดยผู้นำไทย กัมพูชา และมีสักขีพยาน ได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย มีใจความสำคัญรวม 8 ข้อ

1) พวกเรายืนยันความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ตามที่ได้ประกาศไว้ ณ เมืองปุตราจายา มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568 และย้ำความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง การแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ และการเคารพต่อเขตแดนระหว่างประเทศและต่อกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง

2) พวกเรายืนยันความมุ่งมั่นอย่างหนักแน่นในการยึดมั่น และดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกันในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC)

3) พวกเราได้ลงนามในเอกสารขอบเขตการจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ซึ่งจะประกอบด้วยบุคลากรจากรัฐสมาชิกอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ พวกเราเรียกร้องให้รัฐสมาชิกอาเซียนให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสมเพื่อให้ AOT ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุวัตถุประสงค์

4) นอกจากนี้ พวกเราได้ให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างกัมพูชาและไทย ทั้งนี้บรรลุและสนับสนุนเป้าหมายพวกเราได้ตกลงในขั้นตอนดังต่อไปนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ และเพื่อฟื้นฟูสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดน:
  • ลดความตึงเครียดทางการทหารภายใต้การสังเกตการณ์และการยืนยันตรวจสอบโดย AOT ซึ่งรวมถึงการถอนอาวุธยุทโธปกรณ์หนักและทำลายล้างสูงออกจากแนวชายแดนกลับไปยังที่ตั้งปกติ โดยทั้งสองฝ่ายจะมอบหมายคณะทำงานร่วมเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้การสังเกตการณ์ของคณะผู้สังเกตการณ์การหยุดยิงชั่วคราว (IOT) และหลังจากนั้นโดย AOT
  • ละเว้นการเผยแพร่หรือส่งเสริมการใช้ข้อมูลเท็จ การกล่าวอ้าง และวาทกรรมที่สร้างความเสียหาย ทั้งช่องทางทางการของรัฐบาลหรือช่องทางไม่เป็นทางการ เพื่อลดความตึงเครียด บรรเทาความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชน และสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการหารืออย่างสันติ
  • เห็นพ้องดำเนินการสร้างความเชื่อมั่นโดยทันทีและเต็มรูปแบบเพื่อฟื้นฟูและรักษาความเชื่อมั่น ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แก้ไขความแตกต่างอย่างสันติและร่วมมือเพื่อนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ
  • ประสานงานและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนตามที่ตกลงในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ
  • ยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนและการจัดทำหลักเขตแดน ผ่านสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง หรือการกระทำที่เป็นการยั่วยุใด ๆ และตระหนักว่าคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกทวิภาคีสำหรับการทำงานร่วมกันในประเด็นชายแดนอย่างสันติ โดยให้เป็นตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละกลไก โดยให้มีการประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในระดับท้องถิ่น เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ในพื้นที่ให้เป็นไปอย่างสันติ ซึ่งรวมถึงประเด็นการรุกล้ำพื้นที่ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตามแนวทางของผลการหารือในการประชุม JBC ตลอดจนจะยุติกิจกรรมทุกประเภทที่เป็นการขยายขอบเขตข้อพิพาทและเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้น
5. เมื่อมีการดำเนินการตามมาตรการข้างต้นอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับว่าเป็นการสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์ที่ดำเนินอยู่ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการส่งเสริมความเชื่อมั่นและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ไทยจะดำเนินการปล่อยเชลยศึกโดยพลัน

6. พวกเราตกลงที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือ การแบ่งปันข้อมูล และการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งของการตรวจสอบควบคุมตามแนวชายแดน เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพลเมืองทั้งสองประเทศและประชาคมระหว่างประเทศ

7. พวกเราตระหนักถึงความจำเป็นในการวางแนวทางเพื่ออนาคตที่สดใสที่ไม่ยึดติดกับความขัดแย้งในอดีต รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติ โดยเคารพในกฎหมายระหว่างประเทศและสนธิสัญญาและความตกลงที่มีอยู่

8. พวกเราแสดงความเชื่อมั่นว่า การหารือครั้งนี้ ซึ่งมีประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เข้าร่วมและให้การสนับสนุน เป็นรากฐานที่มั่นคงต่อความเคารพซึ่งกันและกันและการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค พวกเรารับทราบด้วยความขอบคุณยิ่งต่อบทบาทสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ในการเสริมสร้างการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัมพูชาและไทย


กายา กัลลัส ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง และรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (HR/VP) ระบุผ่านข้อความบนเอ็กซ์ (X) ว่า "ข้อตกลงระหว่างกัมพูชาและไทยในวันนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่สันติภาพ เราขอชื่นชมโดนัลด์ ทรัมป์ และ มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนสำหรับความพยายามในการบรรลุข้อตกลงนี้ สหภาพยุโรปพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการตามข้อตกลงนี้ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการกำจัดทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน"

ท่าทีของกัมพูชาต่อการลงนามใน "ข้อตกลงสันติภาพ"

ก่อนหน้านี้ ทางการไทยเรียกว่าการลงนาม "ปฏิญญาร่วมว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา" และในวันนี้เอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศไทยที่เผยแพร่ให้สื่อมวลชนระบุว่า เอกสารที่ทั้งสี่ชาติลงนามเรียกว่า "ถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา" แต่ทั้งผู้นำสหรัฐฯ และนายกฯ กัมพูชา เรียกว่า "ข้อตกลงสันติภาพ" เช่นเดียวกับประธานาธิบดีทรัมป์

ย้อนกลับไปในวันที่ 19 ต.ค. ที่ผ่านมา สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กของเขาว่าข้อตกลงสันติภาพที่กำลังมีขึ้น ไม่ได้ทำให้กัมพูชาต้องเสียอธิปไตยเหนือดินแดนอย่างที่หลายคนพูดถึงกันในสื่อสังคมออนไลน์

"ข้าพเจ้าขอชี้แจงอย่างสั้น ๆ ว่า ข้อตกลงหยุดยิง (28 ก.ค. 2568) เป็นเรื่องของเงื่อนไขและแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสู้รบขึ้นอีก ส่วนข้อตกลงสันติภาพ (ที่จะมีการลงนามในอนาคต) เป็นเรื่องของการกำหนดเงื่อนไขและแนวทางปฏิบัติเพื่อสร้างและรับประกันสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการยุติความขัดแย้งและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" โพสต์ดังกล่าว ระบุ

นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชาบอกว่า แม้ข้อตกลงทั้งสองฉบับจะไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องดินแดนหรือพรมแดนโดยตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมสละสิทธิ์ตามกฎหมายในการควบคุมดินแดนภายใต้อธิปไตยของตน

ส่วนการกำหนดเขตแดนและการปักปันเขตแดนทางบกอยู่ภายใต้เขตอำนาจของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา–ไทย หรือ เจบีซี (JBC) และจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างสันติ ตามสนธิสัญญา อนุสัญญา และข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างสองประเทศ คือ กัมพูชาและไทย

"โดยสรุป ข้าพเจ้าขอชี้แจงต่อพี่น้องร่วมชาติว่า 1. กัมพูชาไม่ได้ตกลงในข้อตกลงใด ๆ รวมถึงข้อตกลงหยุดยิง (28 ก.ค. 2568) และข้อตกลงสันติภาพ (ที่วางแผนจะลงนามในอนาคต) ที่จะนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูช 2. รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยลืมหรือทอดทิ้งพันธกรณีและสิทธิ์ตามกฎหมายในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา"


สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์

ต่อมาในวันที่ 23 ต.ค. 2568 สมเด็จฮุน มาเนต ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กของเขาอีกครั้งว่ารัฐบาลพยายามหาทางออกให้กับชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านแสร็ง และ หมู่บ้านเปรยจัน ใน จ.บันเตียเมียนเจย ติดกับชายแดนไทยบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว และ บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้วของไทย ให้เร็วที่สุด โดยพยายามไม่ให้สถานการณ์ลุกลามเป็นวงกว้าง เพราะจะยิ่งทำให้การหาทางออกเพื่อยุติปัญหายากยิ่งขึ้น

"ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของประชาชน เพราะวิธีการที่รัฐบาลใช้ ซึ่งเป็นแนวทางที่สุขุมและรอบคอบ อาจไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทันที ขณะที่ความพยายามในการหาทางออกดูเหมือนไม่เห็นผล และสถานการณ์ในพื้นที่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้บางคนรู้สึกสิ้นหวัง และคิดว่าอาจไม่มีทางออก นอกจากนี้ การกระทำบางอย่างของฝ่ายไทย เช่น การเก็บกู้กับระเบิด การจัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชนชาวไทย หรือการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ที่ทหารไทยได้ล้อมไว้แล้ว ก็ยิ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่าอาจไม่มีทางออก และบางคนถึงกับเข้าใจผิดว่ารัฐบาลกัมพูชาได้แอบตกลงยกดินแดนให้กับฝ่ายตรงข้ามเพื่อแลกกับการหยุดยิงหรือข้อตกลงสันติภาพ" นายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน มาเนต ระบุ

เขายืนยันว่าไม่มีการตกลงลับใด ๆ ในการยกดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยโดยชอบธรรมของกัมพูชาให้แก่ประเทศใด เพื่อแลกกับการหยุดยิงหรือการเจรจาสันติภาพ

ในโพสต์เดียวกันนี้ เขาบอกว่าในการประชุมเจบีซี (JBC) ครั้งล่าสุดระหว่างไทยกับกัมพูชา ได้ข้อตกลงว่าระหว่างหลักเขตที่ 42 - 47 ซึ่งอยู่บริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้วของไทย ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินการด้านเทคนิคต่อไป เพื่อร่วมกันกำหนดการวัดระยะและจัดตั้งเขตแดนชั่วคราว โดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามสนธิสัญญาปี 1907 และบันทึกการปักปันเขตแดนของคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดนฝรั่งเศส–สยาม เป็นพื้นฐาน โดยผลลัพธ์ที่ได้จะถูกตรวจสอบกับการครอบครองที่แท้จริงของประชาชนทั้งสองฝ่าย เพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป

วันนี้ (26 ต.ค.) สำนักข่าวขแมร์ไทมส์ของกัมพูชา รายงานว่านอกจากการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องแล้ว ระหว่างการเยือนประเทศมาเลเซียครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสมเด็จฮุน มาเนต จะได้รับเชิญให้ลงนามใน "ข้อตกลงสันติภาพ" ร่วมกับผู้นำของไทย ภายใต้การเป็นประธานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

"ข้อตกลงสันติภาพฉบับนี้ถือเป็นเอกสารสำคัญในการรับรองการหยุดยิง และเป็นก้าวสำคัญสู่สันติภาพตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย" ขแมร์ไทมส์ ระบุ

จากรายงานของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ระบุว่าผู้ที่ร่วมเดินทางไปกับนายกรัฐมนตรี ได้แก่ นายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ พร้อมด้วยรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีอาวุโส รัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล รวมถึงผู้แทนภาคธุรกิจจากหอการค้ากัมพูชา และสมาคมออกญากัมพูชา

อนุทินขอประชาชนเชื่อมั่นลงนามร่วมกัมพูชา ไม่ทำไทยเสียเปรียบ

เช้าวันนี้ (26 ต.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้จะส่งผลดีกับประเทศไทย คือ จะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน และในช่วงสายจะมีการลงนามในปฏิญญาหาแนวทางในการเจรจาและเพื่อนำไปปฏิบัติไปสู่สันติภาพของประเทศไทยและกัมพูชา

"มีความห่วงกังวลว่า การเจรจาของพวกผมนั้น จะทำให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่ ผมตัดสินใจมาพบกับทุกท่านในวันนี้ โดยการไลฟ์เฟซบุ๊ก เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ในปฏิญญาที่เราจะลงนามในวันนี้ กับทางรัฐบาลกัมพูชา ไม่มีข้อไหนที่จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบแม้แต่ข้อเดียว ปฏิญญานี้ไม่ใช่สนธิสัญญา จึงไม่จำเป็นต้องไปขอกับทางรัฐสภา แต่รับรองจากคณะรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายอนุทินชี้แจงสอดคล้องกับนายนิกรเดชก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่าเนื้อหาการลงนามจะมี 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1. การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน 2. การเก็บกู้วัตถุระเบิด 3. การร่วมมือกันปราบอาชญากรรม สแกมเมอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ 4. การหาแนวทางในการบริหารพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน ไม่ให้เกิดปัญหา

"ทั้ง 4 ข้อนี้ พี่น้องประชาชนจะเห็นได้เลยว่า จะต้องมีการเริ่มจากทางฝั่งกัมพูชาก่อน เมื่อเขาเริ่มแล้ว เราถึงจะมาประเมิน ดำเนินการต่อไปเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง ยังไม่มีเลยที่ว่าเราจะเปิดด่าน ยังไม่มีที่ว่าเราดำเนินการใด ๆ ยอมเสียดินแดน เดี๋ยวจะเสียดินแดน เดี๋ยวจะสร้างรั้ว ใช้แผนที่ 1:200,000 ตอนนี้ประเทศไทยไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขตรงนี้เลย"

"ปฏิญญาดีก็คือสิ่งที่จะนำไปสู่การปฏิบัติของทั้งสองประเทศ ที่จะทำให้เกิดสันติภาพ เกิดความสงบในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ และความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ เราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครเลยแม้แต่คนเดียว เรารักสงบอยู่แล้ว ในเพลงชาติก็บอกว่าไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด ซึ่งเป็นกรอบที่ไทยปฏิบัติมาตลอดนับตั้งแต่เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับกัมพูชา" นายอนุทินกล่าว


นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย และ ประธานอาเซียน ให้การต้อนรับนายอุนทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

"เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องประชาชนให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลไทย ทั้งกองทัพ ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ทำงานอย่างหนักกว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ขอให้ท่านได้มั่นใจอีกครั้งหนึ่ง ผมไม่ทราบว่าจะพูดได้อย่างไร แต่ผมก็มีประสบการณ์ในการเจรจามาตั้งแต่ใช้ชีวิตในภาคเอกชน" นายอนุทิน กล่าว

เขากล่าวต่อว่า ตนเองไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อยว่าปฏิญญาที่ไทยจะลงนามกับกัมพูชา จะทำให้ไทยเสียเปรียบ โดยบอกว่าตนเองไม่ได้มองเรื่องการเสียเปรียบ-ได้เปรียบ แต่มองเรื่องความปลอดภัยของประชาชน การทำให้ประเทศรักษาเกียรติภูมิ รักษาธิปไตย และรักษาดินแดนไว้ได้ทุกอย่าง

ส่วนประเด็นที่มีคนบอกว่าไทยยอมใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 นั้น นายกรัฐมนตรีบอกว่าไม่เป็นความจริง

"เราไม่เคยยอมใช้แผนที่ 1:200,000 แต่ตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกไลดาร์ (Lidar) เมื่อนำไปสู่การเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนให้ครบ ก็จะใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งแผนที่ 1:200,000 จะหมดไปโดยปริยาย จะใช้การเจรจาโดยหลักของความเป็นจริงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้มากที่สุดซึ่งทั้งสองฝ่ายข้อตกลงตามนี้" เขากล่าว

นายกรัฐมนตรียังบอกด้วยว่าการลงนามในปฏิญญาครั้งนี้ไม่ใช่ "สัญญาสงบศึก ไม่ใช่ peace deal" แต่เป็น joint declaration (แถลงการร่วม) หรือแนวทางที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพในดินแดนของทั้งสองประเทศ

เขาบอกด้วยว่ากว่าจะถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่การตกลงเพียงวันสองวัน แต่เป็นการประชุมหารือกันมาระยะหนึ่งแล้ว บางครั้งก็ล้มเหลว และบางครั้งก็สำเร็จ แต่ในที่สุดแล้วเขาเชื่อว่าด้วยความยึดมั่นในหลักของความถูกต้องของประเทศไทย จึงสามารถทำให้คู่กรณี ยอมรับในสิ่งที่เป็นเงื่อนไขที่ไทยเสนอไปทุกข้อ

ที่มา บีบีซีไทย
ส่วหนึ่งของบทความ
ไทย-กัมพูชา ลงนามใน "ถ้อยแถลงร่วม" ที่มาเลเซีย ทรัมป์เป็นสักขีพยาน ยกเป็น "ข้อตกลงสันติภาพ"

https://www.bbc.com/thai/articles/c5ypg4eqzdko