วันเสาร์, พฤษภาคม 14, 2559

รับร่างไปก่อนอีกแระ





สักแต่ว่าให้มันเสร็จๆ ไปตามที่นายสั่งมางั้นละ ปู่มีชัยขายรัฐธรรมนูญให้กับคนสองร้อยด้วยการยกยอเปรียบเปรยระหว่าง กรธ.ของตน กับ สนช. และ สปท. เป็น ‘มดกับช้าง’

“แต่พวกเราทั้งสามล้วนต่างเป็นลูกไล่ของเสือลายพาดกลอน” (อันนี้แถมให้ พนันได้ว่าปู่มีชัยต้องนึกในใจอย่างนี้)

แม้นว่า “สนช.และสปท.ไม่ค่อยเห็นด้วย...แต่ว่าวันนี้แก้อะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องเดินหน้ากันต่อไป เพื่อทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์

ถ้ามันเกิดขาดตกบกพร่องอะไร วันข้างหน้า คนข้างหน้าก็คงไปแก้ไขกันเอง” เนติบริกรรุ่นเก๋าที่รับงานมาแล้วหลายยุคหลายสมัยโบ้ยบ้ายตามฟอร์ม

(http://www.posttoday.com/politic/431744)

เอ๊ะ ขอไปทีทำนองนี้เคยมีมาแล้ว หลังจากเจ้านายชุดเดียวกันนี้แหละลากรถถังออกมารวบรัด จัดการฉีกรัฐธรรมนูญเก่าเพื่อเขียนใหม่ ใครจะเถียงใครจะท้วงไม่สน

เข็นออกมาแล้วบอกประชาชนว่า “รับไปก่อนแล้วแก้ทีหลังได้” จนแล้วจนรอด จนบัดนี้เกือบสิบปีก็ยังแก้ไม่ได้

ทำให้ข้อโต้แย้งขอไม่รับร่างฯ ของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกฯ ที่ว่า ถ้าต้องการแก้มากๆ และเร็วละก็ ต้องตีตกร่างฯ เพื่อเขียนใหม่ทั้งหมดเลยจะดีกว่า





แจ้งๆ จะๆ ที่ผิดผีผิดไข้ในฉบับนี้ มีชัยยอมรับเองแหละว่า “การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีในรัฐธรรมนูญนี้ มีลักษณะพิเศษคือการยอมรับนับถือการมีสิทธิเสรีภาพที่สมบูรณ์ ‘ยกเว้น’ จนกว่าจะถูกห้าม”

อ้าว อย่างนี้ก็ไม่เรียกว่ามีหลักประกันคุ้มครองสิทธิ น่ะสิ ที่เปิดช่องไว้ให้ “ห้าม” อย่างโจ่งแจ้ง อีหรอบเดียวกับเรื่องปรองดองนั่นหละ แค่พูดลอยๆ

“แม้ไม่ได้สร้างความปรองดองอย่างสมบูรณ์ แต่เป็นส่วนที่ช่วยให้ความปรองดองเกิดขึ้นได้”

(http://www.matichon.co.th/news/135105)

นี่ถือว่าขัดคำสั่งเจ้านายก็ได้นะ เพราะทั่นหัวหน้าใหญ่พูดเกือบทุกครั้ง ทุกวันจนกลายเป็นสร้อยติดปาก ว่าอุตส่าห์เข้ามาทำปู้ยำกับสิทธิพลเมืองและเศรษฐกิจรากหญ้าเนี่ย เพื่อให้หยุดทะเลาะ เป็นอันหนึ่งเดียวกันไง แล้วไหงเหลือแค่ “ช่วยให้เกิดขึ้นได้” เท่านั้นเอง

อีกอย่าง ถามทั่นรองฯ หรือยัง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีบอกว่า “รัฐบาลมีแนวทางของตัวเองอยู่แล้ว”

“กรณีนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปด้านการเมือง สปท.เสนอทางปรองดองโดยมีแนวคิดออกกฏหมายรอการลงโทษนั้น ไม่ผิด ถือเป็นการสนองนโยบายรัฐบาล แต่อาจจะมีความไม่เหมาะสมตรงที่ยังไม่ตกผลึก...

แต่การปรองดองไม่จำเป็นที่จบด้วยการนิรโทษกรรมหรืออภัยโทษ...” ทั่นรองฯ ชี้ว่าการปรองดองกับนิรโทษกรรมอาจไปด้วยกันได้ “แต่ไม่จำเป็นต้องคู่กัน”

(http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/698183)

อาจเป็นดังเช่น ‘ทีมข่าวการเมือง’ ไทยรัฐชี้ชัดว่ากฎหมายรอการกำหนดโทษของ สปท. เสรี ‘จบเห่’ ตั้งแต่พี่ใหญ่ คสช. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาปรามแต่แรกว่าถ้ายังไม่สารภาพผิดก็ไม่ต้องมีนิรโทษกรรม

(http://www.thairath.co.th/content/620059)

ถึงอย่างไรข้อเสนอนั้นก็ไม่สามารถรับได้แก่ทุกฝ่ายอยู่แล้ว เพราะเห็นชัดว่าออกแบบมาสำหรับรอการกำหนดโทษแก่กลุ่มที่ปิดสนามบิน ปิดกระทรวงมหาดไทย และปิดแจ้งวัฒนะเท่านั้น

และแน่นอน ความพยายามของทหารที่จะยัดข้อหามาเฟียส้องสุมอาวุธแก่นายวรชัย เหมะ และนายประชา ประสพดี สองอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ด้วยการยกกำลังไปบุกบ้าน พังห้อง ย่อมเป็นท่าทีไม่สร้างบรรยากาศปรองดองอย่างแน่นอน





อย่างน้อยในช่วงต้องการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญให้ผ่านออกมาจงได้ ด้วยข้ออ้างให้เป็นไปตามโร้ดแม็พ ทั้งที่เป็นร่างฯ เพื่อสร้างระบบการเมืองในครอบงำของคณะทหารเป็นเวลานาน ๕-๒๐ ปี





ตามตรรกะของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “อยู่นานแค่ไหนก็แล้วแต่ ๑๐-๒๐ ปีก็อยู่ไป ต้องอยู่ให้ประชาชนชอบให้ได้ ให้ประชาชนมีกินมีใช้มีความสุข เรามีอยู่เท่าไรเอาเท่านั้น แต่อย่าทำให้แตกแยก” นั่นน่ะ

(http://www.matichon.co.th/news/134345)

น่าจะทำให้พังไวเข้าไปอีกเสียละมากกว่า การไม่ทำให้แตกแยกเห็นมีอยู่แต่ทางเดียว คือสองฝ่ายที่ขัดแย้งต่างก็ไม่พอใจ คสช. เหมือนกัน ซึ่งทางนี้พอเห็นมีแววอยู่ คณะทหารตั้งแต่หัวถึงหางต่างมีวิธีการข่มขู่ให้คนเกลียดได้เข้าไคล้เลยทีเดียว