วันพุธ, ตุลาคม 01, 2568

การจัดทำแผนที่ร่วมไทย–กัมพูชา: กรอบกำหนดโดย MOU 43 และ TOR 46 ว่าไงบ้าง


Bundit Sripa
21 hours ago
·
การจัดทำแผนที่ร่วมไทย–กัมพูชา: กรอบกำหนดโดย MOU 43 และ TOR 46

การสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเป็นกระบวนการที่มีความละเอียดอ่อนและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการธำรงรักษาอธิปไตยและสิทธิประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เอกสารกรอบที่เป็นหัวใจในการดำเนินงานคือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนร่วม พ.ศ. 2543 (MOU 43) และ ข้อกำหนดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference – TOR) พ.ศ. 2546 ซึ่งได้กำหนดแนวทาง วิธีการ และผลลัพธ์ที่ต้องจัดทำขึ้นอย่างชัดเจน

หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญคือ การจัดทำ แผนที่และเอกสารประกอบ การปักปันเขตแดนในสามระดับมาตราส่วนที่แตกต่างกัน เพื่อใช้ประโยชน์ในแต่ละมิติ ได้แก่

1. แผนผังมาตราส่วน 1:500 – ใช้สำหรับกำหนดและยืนยันตำแหน่งหลักเขตแดนในเชิงปฏิบัติ แสดงรายละเอียดเฉพาะจุดว่าหลักเขตถูกปัก ณ พิกัดใด ซึ่งมีความสำคัญต่อการตรวจสอบภาคสนามและการอ้างอิงเชิงกฎหมาย

2. แผนที่สเกลใหญ่มาตราส่วน 1:25,000 – ใช้สำหรับแสดงรายละเอียดพื้นที่โดยรอบแนวเขตแดน ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศ เส้นทางน้ำ ถนน และสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องกับเส้นเขตแดน ทำให้สามารถเข้าใจบริบทพื้นที่ได้อย่างครบถ้วน

3. แผนที่สเกลเล็กมาตราส่วน 1:250,000 – ใช้สำหรับแสดงภาพรวมแนวเขตแดนทั้งหมดในระดับภูมิภาค เพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของเส้นเขตแดนและการเชื่อมโยงกับพื้นที่โดยรอบ

การกำหนดให้ต้องจัดทำแผนที่ทั้งสามระดับมาตราส่วนดังกล่าว ไม่เพียงสะท้อนถึงมาตรฐานทางเทคนิคของงานปักปันเขตแดน หากยังทำหน้าที่เป็น หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเวทีทางการทูตและเวทีทางกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อรวมเข้ากับการรับรองเอกสารโดยประธานร่วมของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีน้ำหนักและความชอบธรรมในทางสากล

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การจัดทำแผนที่สามระดับมาตราส่วนตามกรอบ MOU 43 และ TOR 46 ยังถือเป็น การลบล้างความสำคัญของแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แผนที่ดังกล่าวแม้จะไม่เคยได้รับการรับรองร่วมอย่างเป็นทางการ แต่กลับถูกนำมาใช้อ้างอิงต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และกลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ. 2505 การที่ MOU 43 และ TOR 46 กำหนดมาตรการทางเทคนิคอย่างรัดกุมด้วยการใช้แผนที่มาตราส่วนที่เป็นมาตรฐานสากลและจัดทำโดยความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย จึงเป็นการปิดช่องว่างทางประวัติศาสตร์และป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทลักษณะเดียวกันซ้ำอีกในอนาคต
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=25344484905154837&set=a.336349079728432
...
13 hours ago
·
MOU 2543 (MOU 2000) หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไม่ใช่การกำหนดเขตแดน แต่เป็น MOU ที่สองฝ่ายตกลงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน มีเครื่องมือสำคัญ คือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Committee หรือ JBC) ซึ่งขับเคลื่อนการจัดทำหลักเขตแดนทางบกผ่านเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ คือ อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 และแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม ตามอนุสัญญา ฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ฉบับปี ค.ศ. 1907
หลังจากการลงนาม MOU 2543 ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีประเด็นที่ท้าทายอยู่หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีปัญหาการทับซ้อนทางเขตแดน เช่น พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งกลายเป็นกรณีพิพาทที่นำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และในบางพื้นที่การกำหนดแนวเขตแดนตามแผนที่ในอดีตอาจไม่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศในปัจจุบัน จึงทำให้งานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่เป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานาน MOU 43
═══════ ข้อ 1 ═══════
จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทยให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้
(ก) อนุสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับสยามแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ปี ค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ปี 1904)
(ข) สนธิสัญญาระหว่างประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907) และ
(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยามซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม
═══════ ข้อ 2 ═══════
1. ให้มีคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัมพูชา-ไทย ซึ่งต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม” ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คนและกรรมาธิการอื่น ๆ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของแต่ละฝ่าย ให้ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นประธานร่วม รัฐบาลของประเทศทั้งสองจะแจ้งการแต่งตั้งดังกล่าวต่อกันภายในหนึ่งเดือนหลังจากบันทึกความเข้าใจฉบับนี้เริ่มใช้บังคับ
2. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมจะประชุมกันปีละครั้งในประเทศกัมพูชาและประเทศไทยสลับกัน ในกรณีที่จำเป็น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมอาจประชุมกันสมัยพิเศษเพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่
═══════ ข้อ 3 ═══════
1. ให้มีคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คนและอนุกรรมาธิการอื่น ๆ ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งจากประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมของแต่ละฝ่าย
2. ให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมมีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้
(ก) พิสูจน์ทราบตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดน 73 หลักซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยามเมื่อปี ค.ศ. 1909 และ ค.ศ. 1919 และรายงานผลการพิสูจน์ทราบต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเพื่อพิจารณา
(ข) จัดทำแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วม
(ค) แต่งตั้งชุดสำรวจร่วมเพื่อปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
(ง) เสนอรายงานหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
(จ) จัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้ว
(ฉ) แต่งตั้งผู้แทนผู้ได้รับมอบอำนาจ ในกรณีที่จำเป็น เพื่อควบคุมดูแลงานสนามแทนประธานอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม และ
(ช) แต่งตั้งคณะทำงานทางเทคนิคใด ๆ เพื่อช่วยงานเฉพาะรายใด ๆ ที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
3. ในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ใด ๆ ชุดสำรวจร่วมจะได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากกับระเบิดเสียก่อน
═══════ ข้อ 4 ═══════
1. เพื่อความมุ่งประสงค์ของงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ให้แบ่งแดนทางบกร่วมกันตลอดแนวออกเป็นหลายตอนตามที่คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมจะได้ตกลงกัน
2. เมื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแล้วเสร็จแต่ละตอน ให้ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ และแผนที่ที่จะแนบบันทึกความเข้าใจดังกล่าวซึ่งแสดงตอนที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จไว้
═══════ ข้อ 5 ═══════
เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
═══════ ข้อ 6 ═══════
1. รัฐบาลแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของฝ่ายตนในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
2. รัฐบาลทั้งสองจะรับผิดชอบค่าวัสดุสำหรับหลักเขตแดนหรือหมุดหมายพยานกับการจัดทำและผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้วอย่างเท่าเทียมกัน
═══════ ข้อ 7 ═══════
1. รัฐบาลของประเทศทั้งสองจะเตรียมการที่จำเป็นเกี่ยวกับการเข้าเมือง การกักกันโรคติดต่อ และพิธีการศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
2. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปกรณ์ วัสดุ และเสบียงในปริมาณที่สมควรและสำหรับชุดสำรวจร่วมใช้เฉพาะในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก แม้ว่าได้นำข้ามแดน จะไม่ถือเป็นการส่งออกจากประเทศหนึ่งหรือนำเข้าอีกประเทศหนึ่ง และจะไม่ต้องชำระอากรศุลกากรหรือภาษีอื่น ๆ เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกหรือนำเข้าซึ่งสินค้า
═══════ ข้อ 8 ═══════
ให้ระงับข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา
═══════ ข้อ 9 ═══════
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเริ่มใช้บังคับในวันลงนามบันทึกความเข้าใจโดยผู้แทนผู้ได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องเพื่อการนี้ จากรัฐบาลของแต่ละฝ่ายได้ลงนามบันทึกความเข้าใจนี้ไว้เป็นสำคัญ
ทำขึ้นเป็นคู่ฉบับ ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 เป็นภาษาเขมร ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ตัวบททุกฉบับใช้เป็นหลักฐานได้เท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีการตีความแตกต่างกันระหว่างตัวบทใด ๆ ให้ใช้ตัวบทฉบับภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระบวนการปักปันเขตแดนจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ MOU 2543 ยังคงเป็นกรอบความร่วมมือที่สำคัญและเป็นพื้นฐานในการเจรจาเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดน แต่ยังช่วยสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านในระยะยาวอีกด้วย

https://www.facebook.com/bundit.sripa/posts/25347477261522268?ref=embed_post
.....

Atukkit Sawangsuk 
Yesterday
·
MOU 43 คือข้อตกลงว่าจะเจรจาปักหลักเขตตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งยึดสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
โดยผูกมัดให้เจรจากัน2ฝ่ายเท่านั้น
ไม่เอา UN องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเป็นคนกลาง
:
ยกเลิก MOU 43 ไม่ใช่ยกเลิกสนธิสัญญา
แต่พวกคลั่งชาติคิดว่า ยกเลิก MOU 43
จะทำให้ไทยสามารถใช้กำลังทหารที่เหนือกว่า ความเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า เขมรมันด้อยกว่า
เบ่งก้ามขีดเส้น “แผ่นดินกู” ตามใจชอบ
ตาเมือนธมก็ของกู ตาควายก็ของกู ภูมะเขือก็ของกู
:
MOU44 เป็นข้อตกลงเพื่อเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเล และเขตไหล่ทวีป ซึ่งเป็นคนละเส้นกัน
มีขึ้นเพื่อควบคุมการที่กัมพูชาขีดเส้นไหล่ทวีป มาคร่อมเกาะกูดตั้งแต่ 50 กว่าปีก่อน
เส้นเขตแดน ตามสนธิสัญญา ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย จะมีหรือไม่มี MOU เส้นเขตแดนก็อยู่ตามนั้น + 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง เป็นของไทย ใครล่วงล้ำยิงได้ทันที
แต่เส้นไหล่ทวีป ซึ่งขีดทับกัน คือการอ้างสิทธิในทรัพยากรก๊าซธรรมชาติใต้ทะเล (โดยข้างบนยังเป็นของไทย)
ซึ่งมีช่องตามกฎหมายให้กัมพูชาอ้างได้กว้าง แต่เข้ามาทำจริงไม่ได้ แค่ประกาศสิทธิขวางไม่ให้เกิดการสำรวจผลิต บริษัทข้ามชาติเข้ามาขุดก็อาจโดนฟ้อง
ยกเลิก MOU44 ปัญหานี้ก็ยังอยู่
ไม่ใช่จะอ้างว่ากองทัพเรือไทยใหญ่โตเหนือกว่า ยกเลิกข้อตกลงแล้วขีดเส้นของเราได้ตามอำเภอใจ
:
การจะทำประชามติคือการหาประชานิยมแบบงี่เง่า บนความคลั่งชาติไม่ลืมหูลืมตา