way magazine
11h
การชุมนุมต่อต้านการกลับเข้าประเทศของสามเณร ถนอม กิตติขจร อดีตผู้นำเผด็จการ ที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องในปลายเดือนกันยายน 2519 ได้เปลี่ยนสภาพเป็นการล้อมปราบและการสังหารหมู่ผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์อย่างโหดเหี้ยม ในวันที่ 6 ตุลาคม จนมีผู้เสียชีวิต 45 คน และบาดเจ็บอีก 167 คน (ข้อมูลที่เป็นทางการ)
ปฏิบัติการ ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ เริ่มขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งศูนย์บัญชาการอยู่ ณ บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เปิดฉากระดมยิงเข้าไปในธรรมศาสตร์ด้วยอาวุธหนัก-เบา ตั้งแต่ปืนเล็กยาว M16 ปืนกล ปืนไร้แรงสะท้อน ปืนพก และเครื่องยิงลูกระเบิด M79 แม้รอดพ้นจากห่ากระสุนและระเบิดลูกแล้วลูกเล่า ขบวนการนักศึกษาประชาชนก็ยังต้องเผชิญหน้ากับการ ‘ประชาทัณฑ์’ อย่างรุนแรง ทั้งการเตะ ต่อย ตีด้วยอาวุธสารพัดชนิด และแม้จะเหลือเพียงร่างกายที่ไร้วิญญาณไปแล้ว ก็ยังถูกลากไปตอกอกด้วยลิ่มไม้ เผาไฟโดยมียางรถยนต์เป็นเชื้อเพลิง และจับแขวนคอกับต้นไม้บริเวณสนามหลวง
แต่หลังเหตุการณ์นองเลือดใจกลางพระนครครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนักศึกษาประชาชนที่รอดพ้นจากการถูกสังหารได้ 3,094 คน แต่กลับไม่มีผู้ก่อความรุนแรงหรือฆาตกรรายใดถูกจับกุมหรือตั้งข้อหาเลย
บทความ ‘ใครเป็นใครในกรณี 6 ตุลา’ ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง (2544) ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พยายามจำแนกกองกำลังที่บุกโจมตีผู้ชุมนุมในวันนั้นออกเป็น ‘พวกมีเครื่องแบบ’ (เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยต่างๆ) กับ ‘พวกไม่มีเครื่องแบบ’ (ขบวนการฝ่ายขวาอย่างกระทิงแดง นวพล ลูกเสือชาวบ้าน และอื่นๆ)
“ทารุณกรรมต่างๆ ที่นิยาม 6 ตุลาในความทรงจำของคนทั่วไป เป็นฝีมือของพวกไม่มีเครื่องแบบนี้มากกว่าพวกมีเครื่องแบบ อย่างไรก็ตาม ลำพังพวกไม่มีเครื่องแบบที่มีอาวุธไม่มาก ไม่สามารถจะสลายการชุมนุมในวันนั้นได้ พวกมีเครื่องแบบเป็นผู้โจมตีสังหารหมู่ด้วยอาวุธหนักเบาครบเครื่องก่อน เปิดทางให้พวกไม่มีเครื่องแบบทำทารุณกรรม”
การสังหารหมู่ 6 ตุลาคม โหดร้ายและรุนแรงผิดมนุษย์มนาเสียจนมักได้รับการบรรยายว่าเกิดขึ้นจากน้ำมือของ ‘ปิศาจ’ จากมวลชนฝ่ายขวาที่บ้าคลั่ง ขณะที่อีกหลายคนขนานนามให้เป็น ‘อาชญากรรมโดยรัฐ’ จากการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ผสานกับมวลชนที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ แต่การจัดประเภทเหล่านี้ในความเป็นจริงอาจพร่าเลือน เพราะกระทั่งนักปรัชญาผู้มักถูกกล่าวหาว่าสติฟั่นเฟือนเป็นช่วงๆ อย่าง ฟรีดริช นีตซ์เช (Friedrich Nietzsche) ก็ยังมองออกว่า “รัฐคือชื่อปิศาจที่เลือดเย็นที่สุดในปิศาจทั้งปวง”
แต่ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือปิศาจตนใดก็ไม่อาจยื่นมือมาก่อความรุนแรงและพรากชีวิตมนุษย์ได้โดยตรง การสังหารโหดและทารุณกรรมในเหตุการณ์นี้จึงปรากฏผ่าน ‘มือ’ ของมนุษย์เป็นๆ ที่มีเลือดเนื้อและความรู้สึกไม่ต่างจากเหยื่อที่ถูกกระทำ
WAY ชวนสำรวจโฉมหน้าฝ่ายขวาไทยใน 6 ตุลาคม 2519
--
อ่านฉบับเต็ม:
https://waymagazine.org/rightists-in-6-october-1976.../
text: ปิยนันท์ จินา
.....
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1673672156242622&set=a.1385633111713196
Suchart Sawadsri
October 6, 2015
มิตรสหายคนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อมาถึง "6 ตุลา" คราใด ใจก็ให้คิดไปถึงคู่กรรมที่ชื่อ "ทมยันตี" เสียทุกที เวลา 39 ปี ผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่ใจก็ยังอดคิดถึงวิทยากรนักประพันธ์ ผู้อบรม "นวพล" และ "ลูกเสือชาวบ้าน" เสียมิได้ อยากลืม แต่ก็กลับจำ
ว่าไปแล้ว ในแวดวงคนเขียนหนังสือที่มีบทบาทไปทางเดียวกันยังมีอีก ที่สำคัญที่เป็นเหมือนหัวขบวนก็เช่น "กระจกฝ้า" ( นามปากกาของ พท.อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้การ ดี.เจ.แห่งวิทยุยานเกราะ ) ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ "นายหนหวย" ( นามจริงอย่างไรก็ลืมไปแล้ว ) ประหยัด ศ.นาคะนาท คุณหญิงอะไรอีกคนหนึ่งก็ลืมชื่อไปแล้วเหมือนกัน ( ช่วยนึกชื่อด้วย ) และที่สำคัญในขบวน"ขวาพิฆาตซ้าย" ก็คือหัวหอกอย่างเช่น นสพ."ดาวสยาม" รายวัน
บุคคลและกลุ่มบุคคลเหล่านี้มีส่วนในการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ขวา-ซ้าย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ว่าไปแล้วก็ไม่ผิดแผกไปจาก "การเมืองสีเสื้อ" ในเวลาอีก 20 ปีต่อมาเท่าใดนัก เป้าหมายสำคัญ ก็คือ คำว่า "ลัทธิคอมมิวนิสต์" โดยมี พคท. ( พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ) โซเวียตรุสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ( "เจ๊กแดง" ) และ เวียตนามเหนือ เป็นหัวโจก ส่วนอีกข้างหนึ่งก็มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวโจกของฝ่าย "เสรีประชาธิปไตย" ในยุคสมัย"สงครามเย็น" ตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา จนจบสิ้นลงในช่วงต้นทศวรรษ 1980
Suchart Sawadsri
October 6, 2015
มิตรสหายคนหนึ่งกล่าวว่า เมื่อมาถึง "6 ตุลา" คราใด ใจก็ให้คิดไปถึงคู่กรรมที่ชื่อ "ทมยันตี" เสียทุกที เวลา 39 ปี ผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่ใจก็ยังอดคิดถึงวิทยากรนักประพันธ์ ผู้อบรม "นวพล" และ "ลูกเสือชาวบ้าน" เสียมิได้ อยากลืม แต่ก็กลับจำ
ว่าไปแล้ว ในแวดวงคนเขียนหนังสือที่มีบทบาทไปทางเดียวกันยังมีอีก ที่สำคัญที่เป็นเหมือนหัวขบวนก็เช่น "กระจกฝ้า" ( นามปากกาของ พท.อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้การ ดี.เจ.แห่งวิทยุยานเกราะ ) ดร.อุทิศ นาคสวัสดิ์ "นายหนหวย" ( นามจริงอย่างไรก็ลืมไปแล้ว ) ประหยัด ศ.นาคะนาท คุณหญิงอะไรอีกคนหนึ่งก็ลืมชื่อไปแล้วเหมือนกัน ( ช่วยนึกชื่อด้วย ) และที่สำคัญในขบวน"ขวาพิฆาตซ้าย" ก็คือหัวหอกอย่างเช่น นสพ."ดาวสยาม" รายวัน
บุคคลและกลุ่มบุคคลเหล่านี้มีส่วนในการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ขวา-ซ้าย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ว่าไปแล้วก็ไม่ผิดแผกไปจาก "การเมืองสีเสื้อ" ในเวลาอีก 20 ปีต่อมาเท่าใดนัก เป้าหมายสำคัญ ก็คือ คำว่า "ลัทธิคอมมิวนิสต์" โดยมี พคท. ( พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ) โซเวียตรุสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ( "เจ๊กแดง" ) และ เวียตนามเหนือ เป็นหัวโจก ส่วนอีกข้างหนึ่งก็มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวโจกของฝ่าย "เสรีประชาธิปไตย" ในยุคสมัย"สงครามเย็น" ตั้งแต่ในช่วงทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา จนจบสิ้นลงในช่วงต้นทศวรรษ 1980