วันอาทิตย์, ตุลาคม 04, 2563

‘ดราม่า’ และ ‘ซ่าหริ่ม’ ไทยทุกวันนี้ การบินไทยขายดีปาท่องโก๋ เก้งพระราชทานหาย สัตวแพทย์ยิงกันตาย


สังคมไทยทุกวันนี้ยังดิ้นไม่หลุดจาก ดราม่า และ ซ่าหริ่มเก้งเผือกสองตัวหายไปจากสวนสัตว์สงขลา มีการสั่งย้ายขนานใหญ่ ทำให้เกิดยิงกันตายในองค์การ สัตวแพทย์ท้องที่ยิงผู้อำนวยการแล้วฆ่าตัวตายตาม เหตุเพราะเก้งที่หายนั้นมาจาก พระราชทาน

หน้าฝนคนกรุงรากหญ้ายังต้องเดินลุยน้ำรอระบายถึงหัวเข่า เพื่อจะไปขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า ขึ้นได้แล้วอาจต้องกางร่มเพราะหลังคารถเมล์รั่ว และฝนสาดเข้าไปในตู้รถไฟฟ้า ส่วนพวกที่ชีวิตเข้าท่าหน่อยระดับต้นอ้อต้นแขม ขับรถไปทำงานก็ต้องระวังน้ำท่วมล้อเข้าเครื่อง

ช่วงนี้รายที่พอมีจะกินสามารถส่งลูกเล็กไปโรงเรียนดัง จ่ายค่าเทอมปีละสามหมื่นถึงแสน ทั้งกังวลและวังเวงไม่รู้วันนี้ลูกจะถูกครูตี ตบหัว ผลักหงาย ผลักคว่ำ หรือเอาถุงดำครอบ กี่ครั้งกี่หน ขนาดว่าสำนักข่าวใหญ่รายงาน “แม่เครียด” ลูกถูกครูตีก้นจน หน่องช้ำ


(ไม่รู้ว่านักข่าวใช้ศัพท์สะแลงหรือคำพื้นเมืองภาคไหน แต่ผู้อ่านก็จินตนาการกันได้ว่า หน่อง ต้องเป็นอวัยวะใกล้ก้น ที่ห้อยต่องแต่งเหมือน นิ้งหน่อง น่ะ) แล้วยังเรื่องดราม่าของซ่าหริ่ม ยอดฮิตตอนนี้ต้อง ปาท่องโก๋การบินไทย

ขายได้เดือนละ ๑๐ ล้านบาท ถึงขั้นผู้บริหารคิดจะเปิด แฟรนไชส์จน กานดา นาคน้อย @kandainthai ณ สแตมฟอร์ด สรรพยอก “ปตท.ขายกาแฟ การบินไทยขายปาท่องโก๋ รัฐวิสาหกิจไหนจะขายขนมครกไหม? ลูกชิ้นปิ้ง? หมูปิ้ง?” อ้อ เขามี สังขยาเจ้าจำปี ด้วย ไม่รู้ เหี่ยว ไหม

ก็ไม่บังเอิญนะยุคนี้มีบังอรรู้ดี และรู้จริง Ruetawat Wanprapa คำนวณให้ดู ร้านปาท่องโก่การบินไทยมี ๕ สาขา ตั้งเตาทอดวันละ ๓ ชั่วโมงจะได้กระทะละ ๗๒๐ ตัวต่อวัน พอขายดีมากเพิ่มเป้นร้านละ ๓ กระทะ ก็จะได้วันละ ๒,๑๖๐ ตัวต่อร้าน ๕ สาขาก็วันละ ๑ หมื่น ๘๐๐ ตัว

แต่จะขายให้ได้ ๑๐ ล้านบาทต่อเดือน ย่อยตัวเลขลงไป ขายเป็นชุด ชุดละ ๓ ตัวราคา ๕๐ บาท แปลว่าต้องขายได้ ๒ แสนชุดหรือ ๖ แสนตัวต่อเดือน วันหนึ่งๆ ๒๐,๐๐๐ ตัว จึงจะได้เดือนละ ๑๐ ล้านบาท มากกว่าที่ทอดได้จริงเกือบเท่าตัว นี่ละ ปาท่องโก๋ซ่าหริ่ม

ย้อนไปเรื่องเครียดของแม่ๆ (แต่พ่อๆ เค้ายั้วะแล้วโดดถีบ) หลังจากดราม่าของทั่นประธานอำนวยการผู้ก่อตั้งเครือข่าย สารสาสน์บอกหากปิดโรงเรียนผมไม่แคร์ เพราะถ้าขายที่ตั้งโรงเรียนสามสิบกว่าแห่งก็รวยตายแล้ว แต่ยังไม่คิดขาย เพราะ

พอดีมีสื่อค่ายหนึ่ง #workpointTODAY ไปขุดคุ้ยมาแฉ เครือโรงเรียนสารสาสน์ทำกำไรมาทุกปี อย่างน้อยๆ ตั้งแต่ ๒๕๕๗ กำไร ๒๔๓.๒ ล้านบาท ปี ๕๘ ขึ้นไปเป็น ๔๒๕.๗ ล้านบาท ปีต่อมา ๔๓๙.๔ ล้าน ปี ๖๐ กับ ๖๑ ลดหน่อยก็ยัง ๓๖๙ และ ๒๖๗ ล้านตามลำดับ

ปีที่แล้วกำไรเพิ่มขึ้นมาเป็น ๓๖๗.๗ ล้าน รวมความว่าตลอดอายุรัฐบาล คสช.ต่อมาถึงรัฐบาลสืบทอดอำนาจ สารสาสน์กำไรเพิ่มขึ้นทุกปี คุณพิบูลย์ ยงค์กมล คงไม่อยากปิดกิจการเพื่อไปขายทรัพย์เอารวยครั้งเดียวหรอก อยู่อย่างนี้รวยทุกปีดีกว่า

มาถึงดราม่าไม่น่าขำสำหรับผู้ใช้ถนนในกรุง เจอกับถนนสะเทิ้นน้ำมาหลายวันแล้ว พอฝนเทน้ำก็หลาก พอฝนหยุดน้ำก็ขัง เป็นอนิจจังอย่างนี้โดยที่ผู้ว่าการ กทม.ซึ่ง คสช.แต่งตั้ง ทำนิ่งมาตลอดจนกระทั่งเกิดประโคมข่าวเก่าเล่าใหม่


ว่าเหตุที่น้ำขังไม่ได้ระบายเนื่องจากหา กุญแจเครื่องสูบน้ำไม่เจอ เท่านี้แหละ กทม.ของทั่น อัศวิน ขวัญเมือง รีบแก้ตัวทันควันว่านั่นเป็น โอลด์นิวส์นอร์มอล เดาเอาว่าที่อัศวินปากไม่ว่าแต่ตาขยิบรอคนรับช่วง อดีต ผบ.ตร.อยู่ระหว่างบวชสะเดาะเคราะห์

เรื่องสุดท้าย ที่สุดของดราม่าไตแลนเดียก็กรณีเก้งเผือกที่สวนสัตว์สงขลาหายไปเป็นตัวที่สอง แล้วมีการสอบสวนกันเป็นเรื่องใหญ่มาก ชนิดสำนักข่าวอิศรากระโดดงับเกาะติดเสนอข่าวเรื่องนี้แต่ต้นๆ คงเพราะเก้งที่หายไปสองตัวนั่น “ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์”

การนั้นทำให้นายสุริยา แสงพงค์ ผอ.องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยทำการสืบสวนสอบสวนเข้ม เมื่อหัวหน้าสวนสัตว์แจ้งอย่างอ้ำอึ้งว่าเก้งเผือกทั้งสองตัวน่าจะถูกงูเหลือมกิน เพราะได้พบซากกระดูกหลังจากตัวแรกหายไปได้สองเดือน

ทั่น ผอ.ลงพื้นที่จัดการสั่งย้ายสลับเปลี่ยนทั้งหัวหน้าศูนย์และบุคคลากร จนเกิดเหตุสัตวแพทย์ประจำท้องที่ยิง ผอ.เสียชีวิตแล้วหนีไปยิงตัวตายที่บ้านพัก ทีนี้เลยเป็นดราม่าขนาดใหญ่ชนิด อิศรา ช่วงชิงการเสนอข่าวแนวนี้ไปจาก ไทยรัฐเชียวละ

นอกจากดราม่าแล้วยังซ่าหริ่มเข้าไปอีก เมื่ออิศรารายงานข่าวว่าคำปรารภของนายอรรถพล ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการสวนสัตว์เขาเขียว “ว่า ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยได้ข่าวว่าเก้งเผือกเป็นที่ต้องการของตลาดมืด...ไม่น่าจะมีราคาแพงมากถึงขั้นยอมเสี่ยงเอาชีวิตราชการมาแลก”

แถมยังบอกอีกว่า ที่ถึงขั้นเจ้าหน้าที่ยิงกันตาย “การทำงานข้าราชการมีการโยกย้ายกันโดยปกติมาเป็น ๒๐๓๐ ปีแล้ว ถือเป็นเรื่องที่เบามาก” ปัดโธ่ มันอาจไม่เบาหรอกถ้าหัวหน้าทำตัวเป็นนายมากเกินไป จาบจ้วงล่วงล้ำจนลูกน้องอดกลั้นไม่ไหว

แบบนี้ชักเป็นห่วง ตู่ทั้งขึ้นทั้งล่อง กรณีตัวเองออกแนวที่ทำให้ลูกน้องหงอ จนอาจมีแบบสัตวแพทย์สงขลาบ้างสักวัน หรือโดนเหนือหัวสับโขกด้วยเป็นครั้งคราว (เดี๋ยวดูวันที่ ๑๐ นี้ได้) ถ้ามันกดดันทั้งบนและล่างพร้อมกันทำไง

(https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2377806 และ https://www.isranews.org/article/isranews/92456-news01-47.html)