วันศุกร์, มีนาคม 02, 2561

หมดเวลา “ปิน็อกกีโอ จอมโกหก”





“ปิน็อกกีโอ จอมโกหก”

พิน็อกคิโอ หรือ ปิน็อกกีโอ เป็นนิทานเกี่ยวกับการผจญภัยของตุ๊กตาไม้ที่มีชีวิตกับพ่อผู้ยากจนซึ่งเป็นช่างไม้ ปิน็อกกีโอมีลักษณะเด่นที่รู้จักกันดีคือเมื่อพูดโกหกจมูกของเขาจะยาวขึ้น แต่ตอนจบตุ๊กตาไม้ได้กลายเป็นคนเพราะทำความดี ดังนั้น การที่กลุ่มอยากเลือกตั้งเอาผู้นำมาล้อเลียนเป็นปีน็อกกีโอเพราะผู้นำเป็นจอมโกหกในเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้ง ล่าสุดบอกว่าจะมีการเลือกตั้งภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงแทบไม่มีใครเชื่ออีกเพราะพฤติกรรมสั่งสมที่เคยโกหกเรื่องเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้ง หากอยากให้คนเชื่อก็ต้องเลิกโกหก หรืออยากเป็นคนก็ต้องทำความดีแบบปิน็อกกีโอ

คสช. มีแต่กลุ่มคนประเภทเดียวกัน อีกตัวอย่างคือรัฐมนตรีต่างประเทศที่ให้ข่าวว่า เตรียมชี้แจงยูเอ็นว่าไทยมีสิทธิมนุษยชนเกือบล้านเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เช่น การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออก การจับกุมผู้ชุมนุมเรียกร้องการเลือกตั้ง การเอาพลเรือนขึ้นศาลทหาร หรือการถ่วงเวลาการเลือกตั้ง ทั้งหมดคือการละเมิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ดังนั้น การที่ทั้งโลกต่างรังเกียจเผด็จการจึงเปรียบได้กับของเน่าเหม็น สิ่งมีชีวิตที่ชอบหรืออยู่กับของเน่าเหม็นได้ก็ต้องเป็นประเภทชนิดเดียวกัน

ผมเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกลุ่มอยากเลือกตั้ง ที่กำหนดให้การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นภายในไม่เกินเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามโรดแมปที่ไปสัญญากับประชาคมโลกไว้ เพราะไม่มีเหตุอันจำเป็นที่จะต้องเลื่อนและมีการเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง รวมทั้งประชาชนไม่ควรมีอนาคตที่ขึ้นอยู่กับคำสัญญาลมๆ แล้งๆ ของเผด็จการที่เคยโกหกแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง ประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเรียกร้องหรือต่อสู้เพื่อสิทธิของตนที่ถูกละเมิดเสมอ สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิของประชาชน จำไว้ให้ดี

วัฒนา เมืองสุข
1 มีนาคม 2561


Watana Muangsook added 4 new photos.
9 hrs ·






หิ้วไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร "เหมือนจะทำให้เราบ้า” เจ็ดวันในค่ายทหาร ของวัยรุ่นที่ถูกกล่าวหาเป็น "แฮกเกอร์"




Attitude adjusted?: "เหมือนจะทำให้เราบ้า” เจ็ดวันในค่ายทหาร ของวัยรุ่นที่ถูกกล่าวหาเป็น "แฮกเกอร์"


10 มกราคม 2018
ที่มา iLaw


16 ธันวาคม 2559 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) ท่ามกลางเสียงคัดค้านอย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ สร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก และเกิดเป็นกิจกรรมชักชวนกันโจมตีเว็บไซต์ราชการหลายแห่ง เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยดังกล่าว กิจกรรมนี้นำโดยเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า พลเมืองต่อต้านซิงเกิ้ลเกตเวย์

ในเวลาต่อมาเว็บไซต์สำคัญหลายแห่ง เช่น ฐานข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบังคับการตำรวจจราจร, กรมการเงินทหารบก, กองบัญชาการกองทัพไทย, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ ถูกโจมตีจนใช้การไม่ได้ เหตุการณ์นี้จึงถูกมองเป็นเรื่อง “ความมั่นคงของชาติ” และตำรวจต้องเร่งทำทุกวิถีทางที่จะจับตัวการมาให้ได้ เพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างไม่ให้ใครกล้าทำเช่นนี้อีก

ซึ่งตำรวจไทยก็ใช้เวลาไม่นานนัก เพราะในวันที่ 19 ธันวาคม 2559 ผู้ต้องสงสัยรายแรกก็ถูกจับได้ เป็นนักศึกษา ปวส. ด้านคอมพิวเตอร์ ขณะถูกจับอายุ 19 ปี เราจะเรียกเขาด้วยนามสมมติว่า “นัท”


บุกจับรายแรก ตำรวจปลอมเป็นคนส่งพิซซ่า

“นัท” เล่าว่า วันที่ถูกจับ เวลาประมาณ สี่โมงถึงห้าโมงเย็น มีคนขี่รถมอเตอร์ไซค์พร้อมกล่องพิซซ่าอยู่ด้านหลังมาถึงหน้าบ้าน และตะโกนเรียกว่ามีของมาส่ง เมื่อออกไปเปิดประตู 'คนส่งพิซซ่า'ก็ถามชื่อเขา แล้วก็เห็นคนอื่นที่อยู่ในรถที่จอดอยู่ข้างๆ เปิดประตูรถลงมา แล้วปีนข้ามรั้วเข้ามาในบ้านเลย

“นัท” บอกว่า ตอนนั้นตกใจมาก เลยวิ่งกลับเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู เห็นว่ามีคนวิ่งตามเข้ามาในบริเวณบ้านประมาณ 6-7 คน และมีทหารอีกจำนวนหนึ่งด้วย ตำรวจคนที่แต่งตัวเหมือนพนักงานพิซซ่าก็ทำท่าว่า จะพังประตูบ้าน เลยต้องเปิดประตูให้แต่โดยดี และเมื่อเปิดประตูแล้วก็มีคนกรูกันเข้ามาประมาณ 20 คน เข้ามาปิดม่าน ปิดประตูกระจก และเดินไปตรวจตราดูรอบๆ บ้าน

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตรงไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างไว้ แล้วเอาแฟลชไดรฟ์เสียบเข้าไป แล้วก็สั่งให้ “นัท” ไปหาแฟลชไดรฟ์ที่เคยใช้ และอุปกรณ์ต่างๆ มาให้เขาให้หมด ส่วนทหารก็เดินเข้าไปค้นในห้องน้ำ และวาดรูปแผนผังบ้านของทั้งหลังเอาไว้ ภายในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง “นัท” ถูกจับใส่กุญแจมือ และเอาตัวขึ้นรถไปที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)

“นัท” เล่าว่า ตั้งแต่เจ้าหน้าที่มาถึงเขาถามเพียงว่า รู้หรือไม่ว่าไปทำอะไรมา แล้วก็ไม่ได้แจ้งว่า มาตรวจค้นหรือมาจับกุมด้วยเหตุอะไร และไม่ได้แสดงเอกสารหมายค้น


ตำรวจสอบสวนซ้ำๆ ทั้งคืน จนไม่ได้นอน

เมื่อไปถึงที่ บก.ปอท. ในศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เจ้าหน้าที่ให้ “นัท” นั่งรอในห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งลักษณะคล้ายๆ ห้องประชุม เมื่อแม่ของ “นัท” เดินทางมาถึง เจ้าหน้าที่ก็เอากล้องวีดีโอมาตั้งและเริ่มสอบสวน คำถามหลักๆ ที่เจ้าหน้าที่ถาม คือ ทำอะไรไปบ้าง? ทำเมื่อวันที่เท่าไร? ทำกับใคร? ไปชวนใครมาทำอะไรอีกบ้าง? “นัท” บอกว่า เขาตอบคำถามตำรวจไปเท่าที่ตัวเองรู้ แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ทำอะไรเป็นกลุ่มหรือขบวนการ คำถามที่ถูกถามถึงคนอื่นก็เลยไม่สามารถจะตอบได้

“นัท” เล่าด้วยว่า ขณะถูกสอบสวน มีจุดที่รู้สึกว่า น่ากลัวมาก คือ เจ้าหน้าที่เอาคอมพิวเตอร์เครื่องแม็คบุ๊กมาตั้งให้ดู ให้ “นัท” เปิดเข้าไปยังกลุ่มต่างๆ ด้วยเฟซบุ๊กของ “นัท” เอง ทั้งที่ “นัท” บอกว่า ไม่เคยให้รหัสผ่านเฟซบุ๊กของกับใครเลย

เท่าที่ “นัท” จำได้ ในคืนแรกที่ถูกจับ มีเจ้าหน้าที่เข้าห้องมาสอบสวนอีก ประมาณ 7-8 รอบ ด้วยคำถามเดิมๆ ตลอดทั้งคืน จนกระทั่งตัวเขาและแม่ของเขาไม่ได้นอนเลยจนถึงเช้า ในวันต่อมาเจ้าหน้าที่ก็ให้นัทนั่งอยู่กับแม่เฉยๆทั้งวันโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ระหว่างนั้นก็ได้ยินตำรวจคุยกันว่า จับคนอื่นได้เพิ่มแล้ว ในคืนที่สอง"นัท"ถึงได้นอนบนโซฟาในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ปอท.คนหนึ่ง "นัท" เล่าด้วยว่าในการสอบสวนตำรวจจะเป็นคนถามคำถามโดยมีทหารเป็นคนมาเฝ้า ทุกครั้งที่"นัท"ไปเข้าห้องน้ำจะต้องมีทหารเดินตามไปด้วย


คลุมหัว พาเข้าค่ายทหารสอบประวัติต่อ

ช่วงประมาณเที่ยงถึงบ่าย ของวันที่ 21 ธันวาคม “นัท” ถูกพาตัวออกจากปอท. ตำรวจพาตัวเขาออกไปขึ้นรถตู้โดยลิฟท์ที่อยู่ด้านหลังอาคาร บนรถตู้มีตำรวจ 3-4 คน นั่งไปด้วย ระหว่างเดินทาง พอถึงถนนที่มีป้ายเขียนเหมือนว่า เขตดุสิต ตำรวจก็เอาผ้ามาคลุมหัว แล้วก็เลี้ยวเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อลงจากรถก็ได้ยินเสียงดัง “แก๊ก” เหมือนรองเท้าคอมแบต

ตอนเจ้าหน้าที่พาตัว “นัท” ลงจากรถเขายังถูกคลุมหน้าอยู่ เจ้าหน้าที่พาเขาไปในอาคารโดยการจับแขนให้เดินจนไปถึงห้องๆหนึ่ง แล้วจึงเปิดผ้าคลุมออกและให้เข้าไปข้างในห้อง เท่าที่ "นัท" สังเกตด้านในห้องเป็นกระจกสีดำทึบ มีตาข่ายสีเขียวลายพรางคลุมกระจกอีกชั้นหนึ่ง มีโต๊ะตั้งอยู่ตรงกลางห้องหนึ่งตัว มีคนนั่งเก้าอี้สามคนรออยู่แล้ว และมีเก้าอี้หนึ่งตัววางอยู่ฝั่งตรงข้ามรอให้ “นัท” เข้าไปนั่ง ด้านหน้าห้องตรงทางออกมีเก้าอี้อีกตัวหนึ่งที่มีทหารคอยนั่งเฝ้า

“ทันทีที่ตำรวจพาผมมาส่งเสร็จก็ลากลับไป คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแต่งตัวนอกเครื่องแบบ คนหนึ่งใส่เสื้อกีฬาสีดำลายขาวแดง อีกคนหนึ่งใส่เสื้อยืดคอโปโลสีขาว เขาเอาของกลางที่ยึดจากบ้านผมมาวางกองกันไว้บนโต๊ะ ทหารในห้องก็ถามประวัติ เช่น ชื่อ โรคประจำตัว ทั้งหมดในชีวิตนี้เคยทำอะไรมาบ้าง และเคยไปที่ไหนมาบ้าง ผมอยู่ในห้องนั้นประมาณ 6-7 ชั่วโมง”




“นัท” เล่าต่อว่า เมื่อถึงช่วงค่ำแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เอาถุงผ้าดิบมาคลุมหัวอีกครั้งและพาตัวเดินออกไปจนถึงห้องอีกแห่งหนึ่ง ที่ประตูติดลูกกรง มีเก้าอี้ตั้งอยู่ด้านหน้าและมีทหารเฝ้าประตูอยู่ตลอดเวลา ด้านในมีเตียงหนึ่งหลัง มีพัดลมอยู่กลางห้อง ไม่มีเครื่องปรับอากาศ บนโต๊ะในห้องมีขันและอุปกรณ์อาบน้ำ กับขนมนิดหน่อย ด้านในสุดเป็นห้องน้ำ ซึ่งเพดานห้องน้ำเป็นลักษณะลาดขึ้นไป จึงพอเดาได้ว่า เป็นห้องใต้บันได

“ผมได้อาบน้ำ และนอนอยู่ในห้องนี้จนถึงเช้า คืนนั้นไม่ได้กินอาหาร จนตอนเช้ามีทหารเดินเอาข้าวเข้ามาให้ ทหารเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ ก่อนกินข้าวทหารจะบอกให้ถือจานข้าวไว้ และยิ้มเพื่อถ่ายรูปก่อนทุกครั้ง”


ห้องนอนรวมเหล่าผู้ต้องสงสัย แต่ไม่อนุญาตให้คุยกัน

วันต่อมา “นัท” ถูกพาย้ายห้องอีกครั้ง ไปยังห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ลักษณะคล้ายห้องจัดเลี้ยง มีม่านสีฟ้ารอบห้อง ภายในห้องทหารเอาบอร์ดมาวางกั้น ซอยให้เป็นห้องย่อยๆ หกห้อง มีโต๊ะกลมตั้งอยู่ตรงกลางห้อง มีประตูเดินไปห้องด้านหลังเพื่อเข้าห้องน้ำได้ โดยห้องด้านหลังก็มีบอร์ดกั้นเป็นห้องย่อยอีกสามห้อง

“นัท” เล่าว่า เมื่อมาถึงห้องนี้ ก็ต้องนั่งอยู่ตรงโต๊ะกลมตรงกลางห้องและถูกสอบสวนอีกครั้ง โดยคนอีกสามคนที่ท่าทางเก่งคอมพิวเตอร์พอสมควร ใช้เวลาสอบถามรายละเอียดอยู่อีก 3-4 ชั่วโมง ด้วยคำถามเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา เช่น ทำอะไรมาบ้าง? รู้จักใครอีกบ้าง? คนนั้นคนนี้เป็นใคร? ก่อนที่จะพาเข้าไปยังห้องเล็กๆ ของตัวเอง

ห้องเล็กๆ ที่กั้นไว้ด้วยบอร์ดยาวสองฝั่งซ้ายขวา และบอร์ดสั้นตรงปลายเท้า เปิดช่องไว้พอให้คนเดินเข้าได้ ด้านในมีเตียงหนึ่งหลัง มีโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้หนึ่งตัวให้นั่งกินข้าวได้ มีผ้าห่มผืนบางๆ มีชุดเสื้อผ้าเหมือนๆ กันให้ทุกคนใส่ บอร์ดสั้นตรงปลายเท้ามีป้ายติดไว้ว่า “ออกวันที่ 26” ซึ่งป้ายหน้าห้องของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป





“ผมมาถึงห้องนี้เป็นคนแรก เมื่อมาถึงสักพักก็มีคนทยอยมาเพิ่มทั้งหมดเก้าคน ทุกคนที่ถูกพามาก็จะถูกพามานั่งสอบสวนที่โต๊ะกลมตรงกลางก่อน แล้วค่อยเข้าห้องย่อยของตัวเอง”

“นัท” เล่าด้วยว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้ ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกันเลย ไม่ได้รับข่าวสารจากภายนอก และไม่รู้เวลา โดยมีทหารเฝ้าอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ทุกคนคุยกัน และเมื่อจะไปเข้าห้องน้ำก็ต้องขอให้ทหารพาไปทุกครั้ง

ระหว่างที่ “นัท” นอนอยู่ที่ห้องนี้รวม 4 คืน มีตำรวจเข้ามาคุยกับเขาอีกสองครั้ง ซึ่งเข้ามาคุยในห้องเล็ก และตำรวจก็ยังเข้ามาคุยกับแต่ละคนในห้องของใครของมันอีกบ้าง แต่ละครั้งใช้เวลาคุยไม่นาน ส่วนเวลาอื่นนอกจากนั้นก็นอนอยู่เฉยๆ ท่ามกลางแอร์ที่เย็นจนและแสงสว่างของไฟที่เปิดทิ้งไว้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีอะไรให้ทำ ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู “นัท” เคยขอสูบบุหรี่ แล้วทหารก็หาบุหรี่มาให้ แต่ไม่ให้ออกไปสูบข้างนอกห้อง

“ผมคิดว่า มันมีคำสั่งมาจากข้างบน ความจริงทหารทุกคนที่คุมผม เขาไม่โหดนะ รู้สึกว่า ทหารเป็นมิตรต่อเรา แต่คนที่อยากจะโหดและอยากจะบังคับผมน่าจะมาจากข้างบนมากกว่า”


“เขาไม่ได้ข้อมูลอะไรจากผมเพิ่มเติมเลย”

เมื่อถามถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัวแบบพิเศษนี้ “นัท” ตอบว่า ความรู้สึก คือ เขามาอยู่จุดนี้ได้ยังไง? แล้วเขามาทำอะไรที่นี่? มันเป็นความรู้สึกที่ถูกกดดัน เพราะโดนหลายๆ คนเข้ามายิงคำถามซ้ำๆๆ ถามแต่เรื่องเดิมๆๆ อยากจะพูดอะไรกลับไปแต่ก็ไม่กล้า

แต่เมื่อถามแต่เรื่องเดิมๆ สิ่งที่ตอบกลับไปก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ไปกว่าที่เคยตอบไปตั้งแต่วันแรกที่ บก.ปอท. เพราะไม่เหลือให้ตอบอะไรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังบอกว่า ให้นึกมาให้ได้ ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงให้ข้อมูลอะไรมากขึ้นไม่ได้อีกแล้ว

“ตลอดเวลาที่ต้องนอนอยู่ในค่ายทหาร ผมคิดว่า เขาไม่ได้ข้อมูลอะไรจากผมเพิ่มเติมเลย นอกจากจับผมมาไว้เพื่อให้หยุดการเคลื่อนไหว แล้วก็รอดู แต่ปรากฏว่า ตอนที่เขาจับผมมาแล้วการโจมตีเว็บไซต์ต่างๆ ก็ยังมีต่อเนื่อง ก็เลยเป็นเหตุผลที่ยืนยันได้ว่า ผมไม่ใช่คนทำเรื่องเหล่านั้น”


อีกหนึ่งราย ที่เรื่องเล่าคล้ายกัน


วันที่ 24 ธันวาคม 2559 ตำรวจบุกเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแฮกเกอร์ที่โจมตีเว็บไซค์ราชการอีกหนึ่งรายคือ “จิ๋ว” เป็นนักเรียน กศน. ซึ่งถูกจับขณะอายุ 20 ปี

“จิ๋ว” เล่าวว่า เวลาประมาณหกโมงเช้า ขณะที่เขากำลังทำงานบ้านอยู่ ก็เห็นรถตู้ เขียนว่า ไซเบอร์โพลิซ มาจอด แล้วก็มีคนเข้ามาที่บ้านทั้งทหารและตำรวจในเครื่องแบบอย่างละสิบกว่าคน เจ้าหน้าที่แจ้งว่า “จิ๋ว” เป็นผู้ทำลายเว็บไซต์ราชการเป็นการทำลายความมั่นคง เจ้าหน้าที่อ้างว่าการจับกุมและตรวจค้นครั้งนี้ทำโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถามหาคอมพิวเตอร์ และยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้านไป

“ตอนนั้นได้ข่าวว่า มีหลายคนถูกจับไปก่อนแล้วด้วย เขาพาตัวผมไปที่ บก.ปอท. ให้ผมเขียนว่า ผมได้ไปโจมตีเว็บไซต์อะไรบ้าง แล้วก็ให้สาวไปถึงคนอื่น ผมอยู่ที่บก.ปอท. จนถึงประมาณช่วงเที่ยง ก็ถูกพาไปที่ มทบ.11 แล้วอยู่ที่นั่น 7 วันเต็ม”

“เขาก็ไม่ได้ให้ทำอะไร เขาแค่ให้นอนอยู่อย่างนั้น กินข้าวแล้วก็นอน กินข้าวแล้วก็นอน เจอคนอื่นด้วย รู้ว่าใครนอนอยู่ตรงไหนบ้าง แต่เขาไม่ให้คุยกันเลย มีทหารนั่งเฝ้าประจำจุดเลย”

“จิ๋ว” เล่าด้วยไปว่า ระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในค่ายทหารก็มีคนมาสอบสวนที่เตียงนอนหลายครั้ง ถ้าเป็นตำรวจจะถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา แต่ถ้าเป็นทหารจะถามให้สาวไปถึงคนอื่น รวมถึงกลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway ซึ่งตัวเขาก็ได้ไม่รู้จักใครในนั้น ตลอด 7 วันการสอบสวนจะเป็นแบบวันเว้นวัน แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และคำถามในแต่ละวันก็จะเหมือนๆกัน

“ผมเคยมุดบอร์ดที่กั้นไปคุยกับเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ผมไม่ได้โดนทำโทษอะไร ทหารที่เป็นคนเฝ้าจะโดนซ่อมให้เห็นๆ เลยตรงนั้น เห็นว่า ลุกนั่งๆ กันอยู่”

“จิ๋ว” บอกว่า ตลอดเวลาที่นอนอยู่ในค่ายทหาร ไม่ได้รู้เลยว่า กำลังจะโดนดำเนินคดีในความผิดฐานอะไรบ้าง เมื่ออยู่ตรงนั้นก็ไม่กล้าถาม ไม่อยากจะทำตัวยุ่งมาก มารู้ข้อกล่าวหาของตัวเองก็ตอนที่ถูกพาตัวไปที่ปอท.รอบที่สอง ที่ตำรวจบอกว่าถูกตั้งข้อหาอะไรบ้าง

“บรรยากาศที่ต้องไปอยู่ตรงนั้น เหมือนเขาใช้ความเงียบเข้าสยบเรา เพราะเราไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรเลย ก็ทำให้เราได้แต่นอนคิดอยู่ในสมองวนไปวนมาอยู่แบบนั้น ไม่มีใครเข้ามาคุยอะไรด้วย เหมือนเป็นโรคจิตอย่างหนึ่ง ตรงส่วนการอยู่ไม่มีปัญหา แต่บรรยากาศมันกดดันมากกว่า เหมือนจะทำให้เราบ้า”

หลังจากถูกคุมตัวอยู่จนครบเจ็ดวันแล้ว ทหารก็พา "จิ๋ว" กลับมาที่ บก.ปอท. อีกครั้ง เพื่อลงชื่อในเอกสารต่างๆ สำหรับ 'เพื่อนร่วมชะตากรรม' ในมทบ.11คนอื่นๆ "จิ๋ว" เล่าว่าแต่ละคนถูกพาตัวจากมทบ.11 ไปฝากขังที่ศาลอาญาไม่พร้อมกัน เมื่อตัว"จิ๋ว"ถูกพามาที่ห้องขังไต้ถุนศาลอาญาก็ได้พบเพื่อนในคดีเดียวกันอีกสองคนซึ่งมาถึงศาลก่อนเขา เพื่อนทั้งสองคนได้รับการประกันตัวในวันนั้นเลยแต่ญาติของ “จิ๋ว” มายื่นประกันไม่ทัน และหลังจากวันนั้นก็เป็นช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่พอดี ทำให้ “จิ๋ว” ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 7 วัน

เบื้องต้นอัยการยื่นฟ้อง “นัท” ในข้อหาโจมตีเว็บไซต์ราชการอย่างน้อย 22 แห่ง เปลี่ยนแปลงหน้าเว็บไซต์หลายแห่ง รวมทั้งข้อหาอั้งยี่, ปลอมเอกสารราชการ, ครอบครองยาเสพติด, ครอบครองอาวุธปืน ฯลฯ รวมทั้งหมดเป็นการกระทำความผิด 45 กรรม และยื่นฟ้อง “จิ๋ว” พร้อมกับพวกอีกสองคน เป็นอีกคดีหนึ่งในข้อหาเดียวกัน ต่อมาศาลสั่งให้รวมคดีของทั้งสี่คนเข้าพิจารณารวมเป็นคดีเดียวกัน ส่วนผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับไปไว้ในห้องนอนใน มทบ.11 พร้อมกันอีก 5 คน ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ถูกตั้งข้อกล่าวหา ดูรายละเอียดคดีนี้ คลิกที่

ในชั้นศาล ทุกคนให้การปฏิเสธและขอต่อสู้คดี คดียังอยู่ระหว่างรอถึงวันนัดสืบพยาน ซึ่งอัยการขอสืบพยาน 40 ปาก


มารู้จัก "Lord of the Books" จากโคลัมเบีย




วันพฤหัสบดี, มีนาคม 01, 2561

กระบวนยุติธรรมไทยตอนนี้มีสองอย่าง ถ้าไม่ 'บิดเบี้ยว' ก็ 'ล้าหลัง'


กระบวนยุติธรรมไทยวันนี้ (จะสี่ปียุค คสช.) ถ้าไม่บิดเบี้ยวก็ล้าหลังเต็มทน ดูคดี เปรมชัย กรรณสูต เศรษฐีบริษัทก่อสร้างอิตาเลี่ยนไทย เข้าป่าล่าสัตว์สงวนในเขตหวงห้าม ยังไม่ทันได้พิจารณาคดี หลุดไปแล้ว ๒ กระทง

หลังจากรอง ผบ.ตร. คนดังของ คสช. แถลงว่าการสอบสวนคดีนายเปรมชัยคืบหน้าไปไกลทีเดียว ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วได้ความว่าผู้ต้องหา ไม่ผิด ในกรณี ทารุณกรรมสัตว์ เพราะไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พรบ.ป้องกันทารุณกรรมสัตว์ พ.ศ.๒๕๕๗

เนื่องจาก “ในมาตรา ๓ ที่ระบุว่าสัตว์ที่เลี้ยงไว้เป็นสัตว์บ้าน สัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน ใช้เป็นอาหาร เพื่อการแสดง และให้รวมถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ตามที่รัฐมนตรีประกาศ แต่ยังไม่ได้ประกาศถึงสัตว์ป่าคุ้มครอง

ซึ่งก็คือ กฎหมายค่อนข้างล้าหลัง ไล่ตามไม่ทันพัฒนาการสังคม แม้จะครอบคลุม สัตว์ป่าแต่มีข้อแม้ให้เป็นไปตามรายชื่อสัตว์ที่รัฐมนตรีประกาศ บังเอิญผ่านมาสามปีกว่ารัฐมนตรียังไม่มีเวลาประกาศ เจ้าสัวนักล่าเลยรอดตัวไป

นี่เป็นการบิดเบี้ยวกฎหมาย ในเมื่อเสือดำเป็นสัตว์ป่าสงวน แม้จะยังไม่ได้มีการประกาศชื่อใน พรบ.คุ้มครองสัตว์ป่า ก็น่าจะตีความได้ว่าเข้าข่ายอยู่แล้ว แต่นี่ตำรวจ คือเจ้าพนักงานสอบสวนรีบตีความยกประโยชน์แก่จำเลยเสียก่อนกระบวนพิจารณาความจะเริ่ม

เสร็จแล้วไหนๆ ก็ไหนๆ สอบมาได้ตั้งเกือบร้อยแล้วอย่าให้ต้องคว้าน้ำเหลว หันไปเล่นงานเจ้าหน้าที่ซึ่งทำการจับกุม และแจ้งความเรื่องนี้ดีกว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล “ยังสั่งการให้พนักงานสอบสวน พิจารณาเจตนารมณ์ของผู้ที่แจ้งความในข้อหาทารุณกรรมสัตว์ว่ามีเจตนากลั่นแกล้ง หรือมีจุดประสงค์อื่นไหม”


ตานี้พวกเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต้องพากันหนาวละสิ “คดีกำลังพลิก คล้ายกับว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่ป่าไม้เรื่องของการละเว้นปฏิบัติหน้าที่นั้น” เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ที่เข้าเวรประจำคนหนึ่งให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวอมรินทร์ทีวี

“ตนขอยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุทุกคนต่างปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเต็มที่ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย แต่ทำไมถึงกลับถูกตั้งข้อหาว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่”
 
มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่ตำรวจทองผาภูมิที่รับแจ้งความจากหัวหน้าด่านกักกันสัตว์กาญจนบุรี กลับถูกหัวหน้าคือ ผู้กำกับฯ สภ.ทองผาภูมิสั่งภาคทัณฑ์ ฐานที่รับแจ้งความ “ให้ดำเนินคดีกับนายเปรมชัย กรรณสูต กับพวก ในความผิดฐานกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร” เสียอีก


สำหรับอีกกระทงที่หลุด เกี่ยวกับที่ปรากฏในคลิปเสียงต่อรองระหว่างคณะล่าสัตว์ของนายเปรมชัยกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการสนทนาหลังถูกจับกุมเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น

พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ รองผู้บังคับการ ปปป. “ยืนยันว่าจากการตรวจสอบนั้นไม่ใช่เสียงของนายเปรมชัย แต่เป็นของคนขับรถนายเปรมชัย คือนายยงค์ โดดเครือ ซึ่งพูดคุยในเรื่องทั่วไป

“ทั้งนี้ในวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ จะมีการเชิญตัวนายวิเชียร ชินวงศ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก กับพยานอีก ๕ คนมาให้ปากคำเพิ่มเติม ก่อนจะมีการประชุมสรุปว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ในวันที่ ๑๒ มีนาคมนี้


รูปการณ์จากท่าทีของรอง ผบ.ตร.ในตอนนี้ น่าจะยึดมั่นถือมั่นตามกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้กระทำความผิด ทำนองเดียวกับที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาด้วยกฎหมายล้าหลังมาแล้วเช่นกัน

มาตรฐานของผู้บังคับใช้กฎหมายไทยในประเด็นนี้จึงอยู่ที่ ฝ่ายผู้มีอำนาจต้องการจะ ละโทษหรืออยาก กลั่นแกล้งใครนั่นต่างหาก ดังเช่นกรณีไผ่ ดาวดิน ที่ถูกศาลขอนแก่นปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่าไม่ยอมให้ประกันปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยข้ออ้างหนึ่งว่าเขาโพสต์เฟชบุ๊คหยามเหยียดศาล

โดยที่กฎหมายว่าด้วยการละเมิดต่อศาลนี้เป็นกฎหมายล้าสมัย อยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ปี ๒๔๗๗ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง จึงยังมีบทลงโทษที่ไม่ได้คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน แม้สิบปีต่อมามีการระบุไว้ในกฎหมายจัดตั้งศาลปกครอง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงระวางโทษ จากจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน ปรับ ๕๐๐ บาท ไปเป็นจำคุกไม่เกิน ๑ เดือน ปรับ ๕ หมื่นบาท


และใน พรป. ใหม่ยุค คสช.นี้ ที่ผ่านอนุมัติโดย สนช.แล้ว ยังไม่ได้ประกาศใช้ มีเพิ่มเติมให้นำ ป.วิอาญาเข้ามาประกอบเพื่อการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาก็ตาม โดยเนื้อแท้ของกฎหมายยังคงไม่ได้มาตรฐานสากล ๓ กรณี
 
ดังที่ ผศ.ดร.เอื้ออารีย์ อิ้งจะนิล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้ในการเสวนาเรื่องกฎหมายละเมิดอำนาจศาล ที่ศูนย์นิติศาสตร์ มธ. เมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์

1) เป็นการลงโทษบุคคลหลายครั้งจากการกระทำกรรมเดียว ทั้งถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล และยังอาจถูกดำเนินคดีฐานดูหมิ่นศาลหรือฐานอื่นได้อีก
2) ขาดความชัดเจน เมื่อไปศาลแต่ละแห่งก็จะเห็นป้ายชั่วคราวแปะไว้ไม่เหมือนกัน
3) ไม่ได้พิจารณาคดีโดยตุลาการที่เป็นอิสระและเป็นกลาง แต่เป็นคู่กรณีที่มีส่วนได้เสียด้วย”

ฟันธง... พรรคมวลมหาประชาชนของสุเทพเทือกสุบรรณ ได้มากที่สุด ก็ 15 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ ต่ำ 100




ooo




ฟันธงเลยว่า พรรคมวลมหาประชาชนของสุเทพเทือกสุบรรณ ได้มากที่สุด ก็ 15 เสียง คือ 3% ของที่นั่งในสภา

ส่วน ส.ส.เขต ที่จะได้คือจังหวัดเดียวนั่นคือสุราษฎร์ธานี

แต่ก็ไม่แน่ถ้านายหัวชวน หลีกภัย ลงพื้นที่ขอคะแนนเอง ตระกูลเทือกสุบรรณ จะถูกลบออกไปจากสารบบการเมืองในสุราษฎร์ธานี

ส่วนในกรุงเทพนั้น ไม่มีทางที่จะได้ส.ส. เขตแน่นอน

ดีไม่ดีคุณตั๊น จิตภัสร์ กฤษดากร อาจจะไม่กล้าลง สสเขตเสียด้วยซ้ำในพรรคมวลมหาประชาชน ลงไปข้อสอบตก และอาจจะทิ้ง กปปส.อยู่ประชาธิปัตย์ตามเดิม
.......
"ธานี” ยัน กปปส.ตั้งพรรค “มวลมหาประชาชนฯ” - “สุเทพ” เป็นเพียงสมาชิกพรรคไม่รับตำแหน่งใดทั้งสิ้น
https://mgronline.com/politics/detail/9610000020280

...

ประชาธิปัตย์ ต่ำ 100
(แล้วพรรคไทยจะได้ที่นั่งที่หายไปของประชาธิปัตย์)




ในฐานะแฟนพรรคประชาธิปัตย์ ผมมีข้อสังเกตว่า พรรคประชาธิปัตย์มีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือเมื่อมีความขัดแย้งในพรรคแล้ว การเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็จะได้คะแนนเสียงลดลงอย่างมาก

พิชัย รัตตกุล หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่าเป็นการลงโทษจากประชาชนด้านหนึ่งก็สะท้อนว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมืองมากกว่าพรรคการเมืองอื่น

ลองมาดูการเลือกตั้งย้อนหลัง 42 ปี

การเลือกตั้ง 12 มกราคม 2519 จากส.ส.ทั้งหมด 279 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้มาถึง 114 เสียง หรือคิดเป็น 40.86 % ซึ่งถือว่าสูงมาก
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2519

อย่างที่ทราบกันดีกว่าหลังจากนั้นได้เกิดความแตกแยกกับระหว่างปีกขวาที่นำโดยสมัคร สุนทรเวช สมบุญ ศศิธร กับปีกซ้ายที่นำโดย ดำรง ลัทธิพิพัฒน์ สุรินทร์ มาศดิตถ์ ชวน หลีกภัย โดยหัวหน้าพรรคคือเสนีย์ ปราโมช ทำได้แต่เพียงเป็น ฤาษีเลี้ยงลิง และจบด้วยรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519

และความตำต่ำของพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อถึงการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 22 เมษายน 2522 พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เพียง 39 ที่นั่ง จาก 301 ที่นั่งหรือคิดเป็น 12.95 % เท่านั้น หรือลดลงถึง 27.91 %
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2522

นี่อาจจะเป็นการตกต่ำครั้งแรก

ต่อมาการเลือกตั้ง 2526 ตะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์กระเตื้องขึ้นมาเป็น 56 จาก 324 ที่นั่งหรือคิดเป็น 17.28 %
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2526

เมื่อวัฎจักรการเมืองย้อนมา พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมอย่างสูงอีกครั้งในการเลือกตั้ง 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 คือได้ 99 ที่นั่ง จาก ส.ส. 347 ที่นั่ง หรือคิดเป็น 28.53 %

https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2529

ซึ่งแม้จะห่างจากปี 2519 ที่ได้ 40.86 % แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เกิน 25 %

แต่อย่างที่ทราบหลังจากนั้นแม้พรรคประชาธิปัตย์จะร่วมจัดตั้งรัฐบาล แต่นายกรัฐมนตรีคือคนนอกชื่อเปรม ติณสุลานนท์ และตามมาด้วยการเกิดกลุ่ม 10 มกรา ซึงถือเป็นความขัดแย้งครั้งสำคัญ เฉลิมพันธุ์ ศรีวิกรณ์ และวีระ มุสิกพงษ์ คู่้หูที่แพ้เลือกตั้งในพรรคออกไปตั้งพรรคประชาชน

ดังนั้นในการเลือกตั้ง 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทั้งหมด 357 ที่นั่งในรัฐสภาไทยพรรคประชาธิปัตย์จึงได้เพียง 48 หรือคิดเป็น 13.44 % เท่านั้น หายไป 27.42 %
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2531

นี่อาจจะเป็นการตกต่ำครั้งที่สอง ต่อจากปี 2522

ส่วนพรรคประชาชนมี ส.ส.เพียง 19 คน หรือ 5.32 % เท่านั้น

เมื่อถึงการเลือกตั้ง 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 จากทั้งหมด 360 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่ฟื้นได้มาเพียง 44 ที่นั่ง 12.22 % โดยมาเป็นลำดับที่ 4 ตามหลังพรรคสามัคคีดธรรม ชาติไทย และความหวังใหม่

และมากกว่าพพรรคพลังธรรมที่ลงเลือกตั้งครั้งแรก ที่ได้ 41 ที่นั่งเพียง 3ีที่นั่ง เท่านั้น
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_มีนาคม_พ.ศ._2535

แต่เมื่อการเลือกตั้ง 13 กันยายน พ.ศ. 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 พรรคสามัคคีธรรมล่มสลาย พรรชาติไทยบางส่วน แตกออกมาเป็นพรรคชาติพัฒนา

พรรคประชาธิปัตย์อาศัยวาทกรรม "ผมเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา" เพื่อดิสเครดิตคู่แข่งอย่างพรรคพลังธรรม ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 คือ 79 ที่นั่งจาก 360 หรือคิดเป็น 13.44 %

https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_กันยายน_พ.ศ._2535

แต่คะแนนนั้นมากกว่าพรรคชาติไทยที่มีพลตำรวจเอก ประมาณ อดิเรกสารเป็นหัวหน้าที่เป็นอันดับ 2 เพียงแค่ 2 ที่นั่งคือพรรคชาติไทยได้ 76 ที่นั่ง

ขณะที่พรรคชาติพัฒนา ของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ 60 ที่นั่ง

น่าคิดว่าถ้าทั้ง 2 พรรคยังรวมกันอาจจะได้ส.ส. ถึง 136 ที่นั่งก็ได้

แต่รัฐนาวาชวน หลีกภัยก็ล่าด้วยปัญหา ส.ป.ก. 4-01

และเมื่อมาถึงการเลือกตั้ง 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538
พรรคชาติไทย ของบรรหาร ศิลปอาชา ชนะด้วย 92 ที่นั่ง จาก 391 หรือคิดเป็น 23.27 % โดยที่ พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายชวน หลีกภัย ได้ 86 ที่นั่ง หรือ 21.99 %
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2538

ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้แค่เป็นพรรคฝ่ายค้าน
และที่น่าสนใจคือนับตั้งแต่การเลือกตั้ง 2538 จนถึงปัจจุบัน 23 ปี พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่เคยชนะเลือกตั้งเลย

การเลือกตั้ง 17 พฤศจิกายน 2539 แม้พรรคประชาธปัตจย์จะก้าวกระโดยคือ ได้ ส.ส. 123 จาก 393 ที่นั่ง 31.29 % แต่ก็แพ้ให้กับ พรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธที่ได้ 125 เสียง 31.80 % ไปเพียง 2 ที่นั่ง
หรือคิดเป็น 0.51 %

https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2539

ต่อมามีการ "ปฏิรูปการเมือง" ในปี 2540 และตามมาด้วยการเลือกตั้ง 6 มกราคม 2544 ปรากฎว่าพรรคไทยรักไทย ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ 224 ที่นั่ง หรือ 44.8 % ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ได้ 121 ที่นั่ง หรือ 24.2 % หรือคะแนนห่างกัน เกือบ 20 %
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2544

หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคจากนายชวน หลีกภัยที่ครองตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2534 หรือร่วม 10 กว่าปี พรรคประชาธิปัตยฺได้พบกับความแตกแยกอีกครั้ง เมือ่มีการแข่งขันชิงหัวหน้าพรรคระหว่าง นายบัญญัติ หัวหน้ากลุ่มทศวรรษใหม่ โดยมี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ สนับสนุนกับกลุ่มผลัดใบ ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ กับสุเทพ

ผลปรากฎว่า กลุ่มทษวรรษใหม่ ที่นำโดยนายบัญญัติ ชนะได้เป็นหัวหนาพรรค แต่ก่อให้เกิดรบแยกในพรรค

ในการเลือตกั้ง 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ขณะที่พรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียง 375 ที่นั่ง หรือ 75 % พรรคประชาธิัปัตย์กลับได้เพียง 96 ที่นั่งหรือ 19.2 % เท่านั้น

https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2548
เป็นการชนะกันที่ห่างที่สุดในปรวัติศาสตร์การเมืองไทย

แน่อนนอนว่าคะแนนเลือกตั้ง คงจะมาจากคะแนนความนิยมอย่างสูงของพรรคไทยรักไทย แต่ขณะเดียวกันความสามัคคีในพรรคประชาธิปัตย์ก็มีผลไม่้น้อยที่ทำให้แพ้ขนาดนี้

(และเป็นเหตุให้พรรคประาธิปัตยเริ่มไม่เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา หันไปร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร มีการบอยคอตเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 เพื่อปูทางให้เกิดรัฐประหาร 19 กันยา 2549)

การเลือตตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ภายหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และรัฐธรรมนุญ 2550 ที่ออกแบบมาเอื้อให้พรรคประชาธิปัตย์ และการยุบพรรคไทนรักไทยไปก่อนหน้า

แต่ปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังแพ้พรรคพลังประชาชนที่แปลงร่างมาจากพรรคไทยรักไทยนั่นเอง

จาก ส.ส. 480 คนในสภา พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. 162 ที่นั่ง คิดเป็น 33 %็ แพ้พรรคพลังประชาชนที่ได้ 233 ที่นั่งคิดเป็น 48.54 %

https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2550

จำนวนนี่นั่งห่างกัน 13.54 % นี่คือระยะห่างที่แคบที่สุดนับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา

แต่การอาศัยการทรยศหักหลัง เพื่อตั้งรัฐบาลขึ้นในค่ายทหารในปี 2551 และการล้อมปราบเมษา พฤษภา 2553 ก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการปฏิเสธจากคนจำนวนหนึ่ง

ในการเลือตกั้ง 3 กรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทย ได้ 265 เก้าอี้หรือ 53%ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ 159 เก้าอี้หรือ 31.8%
https://th.wikipedia.org/wiki/การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป_พ.ศ._2554

ระยะห่างกลับมาเป็น 21.2 %

นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมกับบกปปส.ในปี 2556 แฃละบอยคอตเลือกตั้ง 2557 จนนำไปสู่รั,ประหาร 2557

แต่รัฐธรรมนูญ 2560 กลับเป็นโทษกับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เพราะแม้จะลงโทษพรรคใหญ่ แต่การที่พรรคประชาธิปัตย์มีความแตกแยกอีกครั้งคือการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาตั้งพรรคมวลมหาประชาชน

"ธานี” ยัน กปปส.ตั้งพรรค “มวลมหาประชาชนฯ” - “สุเทพ” เป็นเพียงสมาชิกพรรคไม่รับตำแหน่งใดทั้งสิ้น
https://mgronline.com/politics/detail/9610000020280

แน่นอนว่าจะทำให้คะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
เมื่อผนวกกับการออกแบบรัฐธรรมนุญ 2560 แล้วอาจจะมีผลอย่างมากที่จะทำให้พรรคประาธิปัตย์ได้คะแนนต่ำกว่า 100 เสียง หรือต่ำกว่า 20 %

คำถามคือถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต่ำ 100 แล้วจำนวนที่นั่งเดิมที่เคยได้จะไปอยู่ที่พรรคไหน

คงจะไม่ใช่พรรคเพื่อไทย แต่อาจจะเป็นพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ลงแข่งขัน


Thanapol Eawsakul


เสือดำ - น.ศ.ฝึกงาน - ขวานป้า 🔥 เปิดแผลเน่า “รัฐข้าราชการ”





เสือดำ - น.ศ.ฝึกงาน - ขวานป้า 🔥
เปิดแผลเน่า “รัฐข้าราชการ”

ผ่านมาร่วมเดือนแล้วคดีป่าทุ่งใหญ่นเรศวรยังไม่คืบหน้าถึงไหน ตำรวจไทยยังมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ แถมบางคดีก็ถูกยก มีข่าวลือว่าเจ้าสัวหมื่นล้าน “เปรมชัย กรรณสูต” ตอนนี้หนีไปกบดานชายแดนประเทศเพื่อนบ้านถิ่นที่เจ้าตัวคุ้นเคยมานาน

ความตายของเสือดำ กลายเป็นปฏิบัติการณ์ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” กำลังเป็นไฟลามทุ่งจากป่าทุ่งใหญ่ลามไปถึงไร่องุ่นที่ “ชาโตว์ เดอเลย” ของตระกูลกรรณสูต บุกเบิกตั้งแต่ในยุค “หมอชัยยุทธ์ กรรณสูต” พ่อของเปรมชัย ที่อ.ภูเรือ จ.เลย เมื่อมีการขยายผลพบว่า บริษัท ซีพีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจกงสีของครอบครัวนายเปรมชัย ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ที่ดินกว่า 6,215 ไร่ ปลูกไร่องุ่น และแมคคาดิเมีย มาตลอดตั้งแต่ปี 2547

ทั้งที่ นส 3 ก. ถูกยกเลิกไปแล้ว และยังไม่ได้รับสัมปทาน ที่ดินดังกล่าวจึงไม่มีเอกสารสิทธิ แต่บริษัทฯ ยังคงครอบครองและทำประโยชน์อยู่ จึงเข้าข่ายความผิดฐานบุกรุกป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่รัฐกว่า 600 ล้านบาท

ความตายของ “เสือดำ” ได้กระชากหน้ากากเศรษฐีที่ทำผิดกฎหมายหาประโยชน์ในที่ดินของรัฐและพฤติกรรมเจ้าหน้าที่รัฐละเลยไม่บังคับใช้กฎหมาย

อีกกรณีที่เป็นผลจาก “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” นั่นคือกรณีของ “น.ส.ปณิตา ยศปัญญา” นักศึกษาจาก ม.มหาสารคาม และ “น.ส.ณัฐกานต์ หมื่นพล” อดีตลูกจ้างศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น ที่ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ศูนย์ที่บังคับให้ปลอมลายเซ็นของชาวบ้าน ทุจริตการเบิกจ่ายเงินศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือคนยากไร้และผู้ป่วยเอดส์ 6.9 ล้านบาท จนนำมาสู่การตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมขยายผลดังกล่าว ล่าสุด พบยังมีศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งส่อเค้าทุจริตอีก 11 แห่งส่งผลให้ปลัดและรองปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ต้องถูกเด้งจากเก้าอี้

นี่ยังไม่นับรวมอีกหลายแห่งทั่วประเทศที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ

ถ้าไม่มีน้องนักศึกษาหญิงที่ฝึกงานที่กล้าออกมาเปิดโปงเราก็คงไม่รู้ถึงพฤติกรรมการทุจริตข้าราชการในศูนย์คุ้มครองคนที่ไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น และอีก 11 จังหวัดที่เพิ่งตรวจพบ

สุดท้ายซึ่งเป็นที่ฮือฮา กรณี “ป้าทุบรถ” นางสาวบุญศรี และ นางสาวรัตนฉัตร แสงหยกตระการ ผลสะเทือนไม่เฉพาะรถปิกอัพจอดขวางประตูถูกทุบ แต่ได้ลามไปถึงตลาดทั้ง 5 แห่งที่อยู่รอบๆ มิหนำซ้ำแรงสั่นสะเทือนขยายวงกว้างถล่ม 300 ตลาดทั่วกรุงเทพฯ ที่พลอยโดนหางเลขต้องถูกเช็คบิลไปด้วย

แทบไม่น่าเชื่อว่า มีตลาดในกรุงเทพฯ เกือบครึ่งที่ไม่มีใบอนุญาต

นี่เป็นปรากฏการณ์ “เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว” อย่างแท้จริง จากเหตุการณ์เล็กๆขยายแผลให้เห็นความเน่าเฟะของระบบราชการ อย่างมิอาจปฏิเสธได้

จะว่าไปแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ ล้วนเป็น “อุบัติเหตุ” จากเหตุการณ์หนึ่งที่ได้เปิดลามไปถึงเรื่องอื่นๆ อย่างคาดไม่ถึง

ถ้าไม่มีอุบัติเหตุกรณีที่ “เปรมชัยซุ่มยิงเสือดำ” ก็ไม่รู้ว่าบริษัทกงสีตระกูลกรรณสูตรบุกรุกป่าทำไร่องุ่นและรีสอร์ตอย่างมโหฬาร

ถ้าไม่มี “นักศึกษาฝึกงาน” ก็ไม่มีวันรู้ว่ามีการโกงศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหลายแห่งทั่วประเทศแถมมีอดีตข้าราชการผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลัง

ถ้าไม่มี “ขวานป้า” ก็ไม่รู้ว่าบรรดาเศรษฐีเจ้าของตลาดทำผิดกฎหมายไม่มีใบอนุญาต

กรณีบุกรุกป่าที่ภูเรือ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 47 จนถึงวันนี้ผ่านมาถึง 14 ปี ผ่านรัฐบาลทั้งเลือกตั้งและรัฐบาลที่มารัฐประหารมาหลายรัฐบาลแต่กลับไม่เคยมีรัฐบาลไหนดำเนินการตามกฎหมาย

เหตุการณ์ทุจริตในศูนย์คุ้มครองขอนแก่นและอีก 11 แห่งทั่วประเทศ ไม่ใช่เพิ่งเกิดแน่ๆ ตลาดนัดที่ทำผิดกฎหมายเช่นกัน เปิดขายกันอย่างโจ๋งครึ่มมานานแล้ว แต่ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาตรวจสอบ

ไม่รู้ว่า เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องปล่อยให้เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ “หรี่ตา” หรือไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็ต้องมีผลประโยชน์มาปิดหูปิดตา

ที่ยกมาเป็นแค่น้ำจิ้ม ยังมีขยะที่ซุกอยู่ใต้พรมมากมาย ยังมีภูเขาน้ำแข็งอีกหลายลูกที่อยู่ข้างล่างยังไม่โผล่ขึ้นมาให้เห็น

ผลพลอยได้จนนำไปสู่การขยายผลในวงกว้าง อาจจะเรียกว่าเป็นผลมาจาก “อุบัติเหตุ” ล้วนๆ ไม่ได้เกิดจาก “น้ำยา” ของผู้รักษากฎหมายแต่อย่างใด

อุบัติเหตุครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าตลอด 4 ปีที่รัฐบาล คสช. ที่ประกาศเป็นนโยบายสำคัญว่าจะเอาจริงกับการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นนั้นก็เป็นแค่วาทะกรรมที่สวยหรู

อุบัติเหตุครั้งนี้ ได้กระชากหน้ากากให้เห็นความเน่าเฟะระบบราชการชัดแจ๋วแหว๋วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอรัปชั่น เจ้าหน้าที่รัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย สองมาตรฐานเข้มงวดกวดขันคนจนผ่อนปรนคนรวย

แต่ที่น่าเศร้าตลอดห้วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา “คสช.” กลับไม่เคยเอาจริงเอาจังกับการปฏิรูประบบราชการแต่อย่างใด

#ทวีมีเงิน



ทวี มีเงิน

เด็กฝึกงานไม่มีเงินเดือนคนเดียว มีประสิทธิภาพมากกว่า สตง. ปปช. รวมกัน...




ข่าว - โกงคนจน ลามปามหนัก ไปทุกภาค

ลิ๊งค์ - https://www.thairath.co.th/content/1210578


ooo


แฉ! ขบวนการโกงเงินคนจน นศ.ฝึกงานลากไส้ ผอ.ศูนย์และพวก สุดท้ายต้องกราบตีน!





เปิดใจนักศึกษาฝึกงาน ผู้เปิดโปงการปลอมแปลงเอกสารในที่ฝึกงานซึ่งเป็นศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น เล่าละเอียดยิบถึงต้นตอที่มาของเรื่องราว เผย..น้ำตาไหลพรากเมื่อถูกให้กราบเท้าขอโทษคนผิด!!

13 ก.พ. 2561
โดย: MGR Online

กลายเป็นเรื่องเป็นราวเป็นข่าวหน้าหนึ่งแทบทุกสำนัก สำหรับกรณีของนักศึกษามหาวิทยาสารคามซึ่งใช้ความกล้าระดับเกินร้อย แฉทุจริตในสำนักงานศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งฯ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนเองไปฝึกงาน น.ส.ปนิดา ยศปัญญา นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.สารคาม เปิดใจเล่ารายละเอียดผ่านรายการ “เป็นเรื่อง!” ทางช่อง News 1 ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ในศูนย์ดังกล่าว เขาให้เราไปทำอะไร และฝึกงานอะไรยังไง

หนูได้ไปฝึกงานตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2560 แล้ววันแรก เราก็ใส่ชุดนักศึกษาไปรายงานตัว ไปปฐมนิเทศกับ ผอ. และมีครูภาคสนาม คือ นางวราพร อบมา ซึ่งช่วงเช้าเป็นการแนะนำตัวของเจ้าหน้าที่ จากนั้นก็พาไปดูบ้านพักของผู้ให้บริการ ก็เลยพาไปแนะนำให้รู้จัก แล้วก็ครูภาคสนามให้จดชื่อไว้ทุกคน แล้วช่วงบ่าย ทาง ผอ. ก็ขับรถมารับแล้วบอกว่า ไปทำงานกัน เราก็รู้สึกดีใจก่อนเลย เพราะว่าจะได้ลงพื้นที่เลย แต่ปรากฏว่าผิดคาด ไปทำงานเอกสารที่บ้านของ ผอ.

คือเหมือนว่า ขาดคนที่จะทำเรื่องเอกสาร

น่าจะใช่ค่ะ พอเดินเข้าไปก็มีครูภาคสนามรออยู่ แล้วมีพี่เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง คือ น.ส. อรภา ก็นั่งรอ แล้วก็มีเสารกองเต็มเลย ทั้งในลังและนอกลัง แต่วันแรกเขาก็ยังไม่ให้ทำอะไรนะ ซึ่งครูภาคสนามของเราเป็นเจ้าหน้าที่ค่ะ เขาเรียกเป็นครูภาคสนาม คือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลน้องๆ ภาคสนาม

หน้าที่ที่เราไปฝึกงานคือทำอะไร และเพื่อนกี่คน

เพื่อน 3 คน รวม 4 คน ไปในฐานะนักพัฒนา ก็คือลงชุมชน ไปพูดพบปะชาวบ้าน แล้วส่วนที่เราทำ คือ ศูนย์ของคนไร้ที่พึ่ง เราก็จะทำในส่วนของคนไร้บ้าน รวมทั้งขอทานด้วย

แต่ได้ไปทำเอกสารที่บ้านด้วย เขาให้ทำอะไรบ้าง

คือวันแรกเหมือนทำให้เราตายใจว่ามีเอกสารที่เขียนไว้หมดแล้ว มีสำเนาบัตร มีใบสำคัญรับเงิน เรียงเย็บมุมวางให้เรียบร้อย สรุปวันแรกก็ให้เรียงเอกสารเฉยๆ แล้ว 2 คนนี้คือประกบเราเลย

เขามีบุคลิกยังไงบ้าง ดูร้าย ดูขี้โกงมั้ย

ครูภาคสนามเขาจะมีบุคลิคที่เคร่งขรึม พูดจากระโชกโฮกฮาก เป็นคนที่ตะคอก ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจคือด่า ซึ่งวันแรกเขาไม่ด่าเรานะ แต่จะเริ่มด่าในสัปดาห์ถัดไป ขึ้นกู-มึงเลย คือมันมีเหตุการณ์หนึ่ง เราไปซื้อของกับพี่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ครูภาคสนามเขาใช้ไป เขาใช้ไปซื้อกระดาษเอสี่เป็นลัง แล้วเขากำกับมาว่า เอาราคาที่ถูกที่สุด เราก็เข้าไปร้านกับพี่คนขับรถ แล้วเราไม่เห็นอันที่ถูกเลย มีแต่พวกที่แพงที่สุด เราสองคนตัดสินใจคุยกันว่า ไปซื้อที่อื่นมั้ย มันอาจจะได้ราคาถูกนะ แต่พี่คนขับรถเขาบอกว่า มันจะไม่นานเกินไปเหรอ เราก็บอกว่า เดี๋ยวรับผิดชอบเอง ก็เลยเข้าไปในเมือง ซึ่งเราพบว่า มันก็ถูกจริงๆ แต่เข้าไปนานไปหน่อยเพราะรถมันติด พอกลับมาถึง เราโดนด่าเลย เขาก็ว่าเราว่า ทำไมไปนานจัง รุ้มั้ยมันกี่ชั่วโมงแล้ว เราก็อธิบายกลับไปว่า ร้านที่ซื้อตอนแรกมันแพง ก็บอกว่าให้เอาที่ถูกที่สุดมาให้ เขาก็บอกกลับมาว่า รู้รึเปล่าว่ามันเปลืองน้ำมัน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ขึ้น แต่มาขึ้นตอนหลังที่ด่ากับเจ้าหน้าที่

แล้วมาขึ้นมึงกูกันตอนไหน

ตอนที่ถ่ายเอกสาร แล้วก็เอามาให้เขาเซ็น ด้วยการที่เราชอบเป็นคนที่ถามซ้ำๆ เพราะเอาให้ชัวร์ว่าถ่ายชุดไหนบ้าง เขาบอกว่าถ่ายมา 2 ชุด แต่เขายื่นมาให้เรา 3 ชุด ซึ่งชุดหลังเราถามว่า ถ่ายหรือเปล่า เขาก็ตอบกลับมาว่า ถ่ายสิ ทำไมมึงถึงโง่อย่างงี้ ถามทำไมซ้ำๆ ซากๆ ถ้าถามอีก กุทำเองดีกว่ามั้ย

หนูรู้สึกว่าไปเป็นขี้ข้าเขามั้ย

ใช้ได้เลยค่ะ

หลังจากนั้น เราทำงานยังไงต่อ

คือเขามารับมาส่งแค่ครั้งเดียว นอกนั้นเขาให้เราขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเอง 

เราเคยถามว่าทำไมต้องไปทำงานบ้าน ผอ. มั้ย

ไม่ได้ถามค่ะ ก็คิดแค่ว่า เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพราะว่ามันเป็นวันแรกๆ ไง เราไม่อยากขัดเขา

แล้วเราเริ่มเห็นพวกเอกสารแปลกๆ และบัตรประชาชนชาวบ้าน ตั้งแต่วันไหน

วันที่สองเลยค่ะ เขาให้เรากรอกเลย คือวันแรกเขาทำให้เราตายใจอย่างที่บอก แต่วันที่สองนี่คือมาเต็มเลย ใบผู้ประสบปัญหา ใบสำคัยรับเงินมีอยู่ตรงนั้นด้วย ซึ่งตรงนั้นมีเอกสารเป็นตั้งๆ 

คนที่มากำกับให้เราเขียนในแบบต่างๆ คือใคร

คือพี่อรภา เขาให้เรากรอกข้อมูลตามบัตรประชาชน แต่ว่ามีชื่อหนึ่ง ที่ให้กรอก 3-4 คำถาม ที่เราไม่รู้คำตอบ คือ สถานะของแต่ละคน เช่น โสด สมรส ม่าย หย่าร้าง แล้วก็สถานะภาพทางการเงิน ความต้องการสภาพที่อยู่อาศัย รายได้ วุฒิการศึกษา เราก็ถามเขาว่าต้องทำยังไง พี่เขาตอบว่า ก็ทำๆ ไปเถอะ ถ้าเป็นนางก็สมรส ถ้าเป็น น.ส. ก็โสด เราก็ถามกลับว่า แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ เขาก็ตอบกลับมาว่า ถ้ามีอายุนิดหน่อย ก็ติ๊กว่าโสด อายุเยอะก็ติ๊กว่าสมรส แล้วแต่เราเลย

คือสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นเลย

คือเราก็สงสัยนะคะ แต่ว่าต้องรอให้เขาพูดให้จบก่อน แล้วเขาก็ให้ติ๊กต่อเลยว่า มีปัญหายากจน สภาพที่อยู่บ้านไม้ ก็เขียนเลยว่า อยู่บ้านไม้ หรือ บ้านสังกะสี ในแต่ละชุด ก็ให้เขียนยังไงก็ได้ 

เริ่มชัดแล้วว่า มีกระบวนการว่าจะให้ไปทำอะไรสักอย่าง

ใช่ค่ะ เราก็มีความสงสัยตั้งแต่ที่เขาให้เขียนเรื่องสถานะแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดอะไรไง คือเราก็ทำตามเขาให้จบ แล้วเขาก็ให้เราเขียนรายได้ว่า ได้เดือนละ 3000 บาทต่อเดือน แต่ส่วนมากเขาก็ให้เขียนเดือนละ 1000 บ้าง 1500 บ้าง สูงสุดเดือนละ 2000 บาท แล้ววุฒิการศึกษา เขาก็บอกว่าให้เขียนว่าห้ามเกิน ม.ต้น แต่ส่วนใหญ่เขาจะให้เขียนว่า ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งจากทั้ง 4 คน เขาให้ติ๊กประมาณ 2000 คนได้ ใช้เวลาทำประมาณ 3 อาทิตย์ได้

วันไหนที่เราตัดสินใจถามเขา

คือเราก็ไม่ได้ถามเขาแบบนั้น แต่ถามในทำนองที่ว่า พี่จ่ายจริงมั้ย จ่ายครบหรือเปล่า เขาก็บอกว่าจ่ายจริง จ่ายครบหมดแล้ว เหลือแต่ทำเอกสารย้อนหลัง ส่งขึ้นกรมเท่านั้น ซึ่งเราก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ เราก็ถามเขาอีกว่า ทำไมไม่ให้ชาวบ้านเขาทำเอง เขาก็ตอบว่า ชาวบ้านที่มายื่น ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ แล้วเขาไม่รู้หนังสือ เราก็เป็นบริการอย่างหนึ่งที่ทำให้เขา ซึ่งการกรอกแบบนี้ก็เลิกประมาณ 2-3 ทุ่มด้วย แล้วขับมอเตอร์ไซค์กลับหอ ทางเปลี่ยวอีกต่างหาก

เรามีบอกพี่เขามั้ยว่า มาฝึกงาน ไม่ได้มาทำอย่างงี้

ไม่เคยบอกค่ะ เราแค่คิดว่า มาฝึกงานในสถานะนิสิต เราก็ทำตามหน้าที่ไป

แล้ววันไหนที่เราตัดสินใจว่า ไม่ทำแล้ว

วันที่ 2 เลยค่ะ คือเราเริ่มสงสัยในสัปดาห์ที่สอง ตอนนั้นคือเราก้โทรไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเลย ปรึกษา 3 ครั้ง ครั้งแรก อาจารย์ก็บอกว่า ให้ทำเอกสารไปก่อน เพราะว่าทางเรายังไม่ได้ลงพื้นที่ แต่ประเด็นแรกเราก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกว่าเป็นเอกสารอะไร พอครั้งที่ 2 เราก็ไปปรึกษาพี่เจ้าหน้าที่ เราก็ถ่ายรูปไป และถ่ายรูปเก็บหลักฐานทั้งหมด มีการเตรียมตัวเก็บหลักฐาน 

เจ้าหน้าที่ที่เด้งไปพร้อมเรามั้ย

ค่ะ

แล้วยังไงต่อ

แล้วก็ถ่ายรูปถ่ายอะไร แล้วก็ถามอาจารย์อีกรอบ อาจารย์ก็ถามว่า ได้คุยกับครูภาคสนามหรือยัง เราก็บอกว่า เราก็ยังไม่คุย ซึ่งเราก็คิดว่า ทำไมเรายังไม่คุยกับคนที่สั่งให้เราทำ คือเราคิดในใจว่า คนนี้สั่งให้เราทำ จะไปบอกเขาทำไม แล้วเราก็ปรึกษาเพื่อนอีก 3 คน ว่าจะยังไงต่อ ซึ่งตอนแรก เพื่อนก็เห็นด้วย แล้วเราก็ปรึกษากับอาจารย์คนหนึ่งที่สอนกฎหมายเราตั้งแต่มัธยม ซึ่งท่านก็ดูให้ แล้วปรากฏว่า มันเป็นเอกสารปลอมแปลง แต่ตอนหลังเพื่อนเหมือนกลัว ซึ่งเราก็ไม่ว่าเขาหรอกค่ะ

แล้วหลังจากนั้น เราเอาหลักฐานไปให้เขามั้ย

น้อง ก่อนหน้านั้น เรายังช่วยกันอยู่ หารือกัน แล้วเข้าไปหาอาจารย์ จนกระทั่งครั้งที่ 3 อาจารย์เลยนนัดประชุมกัน แล้วนัดไกล่เกลี่ย แล้วตอนนั้น ผอ.เขาไปราชการที่กรุงเทพฯ มีอาจารย์ภาคสนามอยู่แค่ท่านเดียว

ไกล่เกลี่ย?

ก็คือไปคุยกับอาจารย์ภาคสนาม โดยมีอาจารย์ทางมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วย พวกท่านก็ประชุมกันอยู่ประมาณสิบนาที ก่อนจะเรียกพวกหนูเข้าไป เงียบกริบ แล้วอาจารย์ก็บอกว่า ลองเล่ารายละเอียดการปลอมแปลงมาให้ฟังหน่อย ประเด็นก็คือ คนที่ปลอมแปลงก็อยู่ต่อหน้า เราจะไปเล่าให้มันฟังทำไมล่ะ อาจารย์ภาคสนามอยู่หัวโต๊ะ ส่วนอาจารย์ของเราอยู่ตรงข้ามกับเรา

เราก็อ้ำๆ อึ้งๆ อาจารย์เราก็ถามว่า อ้าว ทำไมไม่พูดล่ะ มีอะไรก็พูดมาได้ เราก็คิดในใจว่า ใครจะไปพูด บรรยากาศตอนนั้นอึดอัดมากจนน้ำตาหนูจะไหล แล้วทีนี้ อาจารย์ภาคสนามก็พูดขึ้นมาว่า เอกสารนี้ เป็นการเข้าใจผิด แล้วก็ให้นิสิตฝึกงานคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของหนูออกไปเอาเอกสารจากพี่คนหนึ่ง แล้วอาจารย์ภาคสนามก็เอาเอกสารมากางๆ แล้วก็เขียนสำเนาถูกต้องเท่านั้น แล้วก็รีบเอาออกไป เหมือนกับว่ามีพิรุธน่ะค่ะ เพราะถ้าเขาบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมเขาไม่ให้อาจารย์ดูเลยว่ามีคำถามอะไรบ้าง

แล้วอาจารย์ของเราว่ายังไง ทำไมเราต้องขอโทษ?

ท่านก็บอกว่า อาจารย์ภาคสนามเขาชี้แจงแล้ว มันเป็นการเข้าใจผิดกัน แล้วก็ให้เราขอโทษ เพราะว่าเป็นการทำให้อาจารย์ภาคสนามเสียเครดิต แล้วให้เราคุกเข่ากราบขอขมา เพราะว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ใหญ่ ก้มลงกราบเลย เรานี่น้ำตาไหลเลย แล้วอาจารย์ภาคสนามก็ทำพูดดี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดดีเลย เป็นคนละคน

ถามจริงๆ ที่ทำมาทั้งหมด กลัวไหม?

กลัวค่ะ ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่...




ooo




แชร์! ไม่ให้เรื่องเงียบ... แฉ เปรมชัย พรานไฮโซ ตั้งใจไปกินจู๋เสือดำ!!




https://www.facebook.com/thairath/videos/10156641575742439/


คนดีไม่มีกระดาก (กำลัง)ต้มเด็กอมมือ - “ธานี” ยัน กปปส.ตั้งพรรค “มวลมหาประชาชนฯ” - “สุเทพ” เป็นเพียงสมาชิกพรรคไม่รับตำแหน่งใดทั้งสิ้น



...

“ธานี เทือกสุบรรณ” เผย กปปส. ตั้งพรรค “มวลมหาประชาชนฯ” ลงสมัครเลือกตั้ง เพื่อเข้าไปเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนในการผลักดันปฏิรูปประเทศ ยัน “สุเทพ” จะเป็นเพียงสมาชิกพรรคเท่านั้น ไม่รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ชัวร์หนุน “ประยุทธ์” ลั่นเปลี่ยนกันได้ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรค

วันนี้ (27 ก.พ.) นายธานี เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ “NEWS HOUR” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่อง “นิวส์วัน” โดยกล่าวว่า กปปส. ตั้งพรรคการเมืองใหม่มีชื่อว่า “พรรคมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งใจจะเป็นเพียงสมาชิกพรรคเท่านั้น ไม่รับตำแหน่งอื่นใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสนใจจะดูแลประเทศชาติ อยู่เฉยๆ ไม่ได้ จะไม่ลง ส.ส . ไม่เป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่มีตำแหน่งใน ครม. และรัฐบาลทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า นายสุเทพ สนับสนุนและอยู่เบื้องหลังพรรคนี้ใช่ไหม นายธานี กล่าวว่า พรรคมวลมหาประชาชนฯกับนายสุเทพต่อสู้ด้วยกันมาตลอด และเห็นตรงกันว่าต่อสู้กันมาเพื่อให้มีการปฏิรูปประเทศ ถ้ามีเลือกตั้งแล้วไม่ลงสู่สนามเลือกตั้งก็จะไม่มีปากเสียง จึงตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนตามที่ กปปส.ดำเนินการมาตลอด

นายธานี กล่าวต่ออีกว่า ไม่ยืนยันว่า พรรคมวลมหาประชาชนฯจะหนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่เราตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย ที่สำคัญสุด คือ ยืนยันว่า เราต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แม้นายสุเทพประกาศจะหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ประกาศได้ แต่ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรค ซึ่งเวลามันก็เปลี่ยนไปได้

นายธานี กล่าวอีกว่า หัวหน้าพรรคต้องให้คณะกรรมการพรรคไปเลือกกัน ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็ยังไม่ได้วางตัวว่าต้องเป็นแกนนำ กปปส. ซึ่งจะต้องเลือกกันอีกครั้ง เราทำให้เป็นพรรคของมวลมหาประชาชนอย่างแท้จริง

ส่วนจะส่ง ส.ส. ลงครบทุกจังหวัดหรือไม่ ภาคใต้คงส่งครบ แต่ภาคอื่นกรรมการต้องมาคุยกัน มีหลายคนที่ยื่นเสนอเข้ามาแต่ยังไม่ตั้งทีมและต้องมีการโหวตว่าจะเลือกใครลงสมัคร

ต่อข้อถามที่ว่าเสียงจะซ้ำซ้อนกับพรรคประชาธิปัตย์ทำให้เสียงแตก นายธานี กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา ไม่เป็นไร ประชาชนตัดสินใจเอง เดี๋ยวนี้ประชาชนรู้เรื่องเร็วตัดสินใจกันได้ แต่แน่นอนมีปัญหาตัดคะแนนกันเองแน่





ที่มา MGR Online
(https://mgronline.com/politics/detail/9610000020280)

ooo



,,,


ดูโครงการพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับ กอ.รมน. ซ่อนความมั่นคงในนามการพัฒนา - ประชาไท





ดูโครงการพระราชดำริที่เกี่ยวข้องกับ กอ.รมน. ซ่อนความมั่นคงในนามการพัฒนา


Published on Wed, 2018-02-28
ทีมข่าวการเมือง
ประชาไท


ชวนดูความสัมพันธ์ของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกับ กอ.รมน. และกองทัพในสมัยสงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน สะท้อนถึงพื้นที่นอกกรมกองของหน่วยงานความมั่นคงในวันที่ไม่ได้รบทัพจับศึกกับใคร แล้วจะมีพลเรือนไว้ทำไมถ้าทหารเป็นทุกอย่างให้หมดแล้ว

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นกองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอ.ปค.) ในสมัยสงครามเย็น ยุทธวิธีการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในระยะนั้น มีการใช้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อเอาชนะใจประชาชนไม่ให้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจและการเมือง หนึ่งในกลไกที่ทำงานสอดรับยุทธศาสตร์การพัฒนาคือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่กระจายตัวไปทั่วประเทศ

ชนิดา ชิตบัณฑิตย์ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เจ้าของงานวิจัย “โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การสถาปนาพระราชอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เขียนในงานวิจัยของเธอว่า ลักษณะของโครงการในพระราชดำริด้านการพัฒนาที่ประสานกับทหารและตำรวจเพื่อความมั่นคง เป็นลักษณะเฉพาะของโครงการที่เกิดขึ้นในยุคการพัฒนาเพื่อความมั่นคง โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือราษฎรในพื้นที่ที่เป็นฐานที่มั่นและมีการขยายตัวของขบวนการคอมมิวนิสต์ ทั้งยังช่วยบรรเทาภาระของรัฐในด้านงบประมาณและบุคลากร โดยมุ่งพัฒนาในพื้นที่ที่มีความล่อแหลมและห่างไกลความเจริญ และยังเป็นการอาศัย “พระบารมี” ในการระดมทุนสนับสนุนและช่วงชิงมวลชนอีกด้วย

ปัจจุบัน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลายพันโครงการทั่วประเทศยังมีอยู่และเดินหน้าต่อไป แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือ กอ.รมน. ยังคงมีบทบาทในการสานต่อแนวทางของโครงการในพระราชดำริอยู่ตามจังหวัดต่างๆ แม้ภัยจากลัทธิคอมมิวนิสต์จะหมดลงแล้วก็ตาม ดังที่เว็บไซต์ของ กอ.รมน. ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า

“อำนาจหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นองค์กรหลักในการบูรณาการ อำนวยการ และกำกับดูแลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือความมั่นคงของรัฐ พร้อมทั้งดำเนินการเสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักในหน้าที่ที่จะเทิดทูน พิทักษ์และรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งในการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ และสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วยการน้อมนำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”เป็นหลักในการดำเนินงาน”

การที่หน่วยงานความมั่นคง ผูกพันตัวเองอยู่กับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจนถึงทุกวันนี้ชวนให้ตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ประชาไทได้สืบค้นโครงการในพระราชดำริที่เกี่ยวพันกับยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงในสมัยสงครามเย็น รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง กอ.รมน. และกองทัพที่มีกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อแสดงให้เห็นถึงเส้นทางยาวไกลที่ตัวแสดงทั้งสามได้เดินทางมาบนยุทธศาสตร์เดียวกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวยังทอดยาวมาถึงวันนี้ที่ไม่ได้มีการสู้รบแล้วเมื่อ กอ.รมน. เข้ามาดูแลข่ายงานด้านการพัฒนาในภาคพลเรือนผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ


โครงการในพระราชดำริและพระราชกรณียกิจสมัยสงครามเย็น กับการสนับสนุนยุทธศาสตร์ช่วงชิงมวลชน

รศ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่าง กอ.รมน. กับโครงการในพระราชดำริว่า แม้เวลาพูดถึงจะพูดแยกกัน แต่ทหารคือหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการพระราชดำริ



พวงทอง ภวัครพันธุ์


“กอ.รมน. เป็นส่วนที่วางยุทธศาสตร์และแผนโดยใช้การเมืองและเศรษฐกิจในการต่อสู้ ข้อสำคัญคือโครงการพัฒนาเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นในพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์แทรกซึมเข้าไปมีอิทธิพลสูง หรือพื้นที่ที่กองกำลังคอมมิวนิสต์ยึดพื้นที่ได้ ดังนั้น พื้นที่เหล่านี้ต้องใช้กลไกกองทัพควบคู่กับการพัฒนา สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อกองทัพยึดพื้นที่จากคอมมิวนิสต์ได้ก็ตั้งหมู่บ้าน เอาประชาชนไปใส่ไว้ที่นั่น ซึ่งก็เป็นประชาชนจัดตั้งของ กอ.รมน. กลุ่มต่างๆ ให้ที่ดินกับประชาชนที่เข้าไปอยู่ ให้การอบรมศึกษาเกี่ยวกับความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกันประชาชนเหล่านี้ก็ช่วยเป็นหูเป็นตาว่า คอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวอย่างไร ใครเป็นสายให้คอมมิวนิสต์”


พวงทอง ภวัครพันธุ์: 10 ปี กม.ความมั่นคงภายใน ประชาธิปไตยคือภัยความมั่นคง


“เมื่อมองกลับไปจะเห็นว่าเขาพยายามรักษาอำนาจของทหารไว้ในกลไกทางการเมืองผ่าน กอ.รมน. เช่น การจัดตั้งมวลชนที่ยังดำเนินต่อไปในหลายส่วน รวมถึงการขยายบทบาทของทหารในมิติอื่นที่ไม่ใช่มิติการสู้รบ ถ้าดูยุทธศาสตร์ของกองทัพบกและของ กอ.รมน. จะเห็นว่าภารกิจและการนิยามปัญหาความมั่นคงของไทยขยายออกไปสู่ปัญหายาเสพติด สิ่งแวดล้อม การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย เรื่องการพัฒนาก็ยังอยู่ บทบาทไม่ได้ลดลงเลย โดยบอกว่าตัวเองสนับสนุนโครงการพระราชดำริ ซึ่งการพูดแบบนี้ไม่มีใครเถียงหรือคัดค้านได้” พวงทอง กล่าว

ผู้สื่อข่าวได้สืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และพบว่าในช่วงปี 2526-2527 โครงการในพระราชดำริที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อันเป็นภูมิภาคที่เป็นแหล่งซ่องสุมของกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) บางโครงการมีวัตถุประสงค์ระบุชัดเจนว่าเป็นการสนับสนุนปฏิบัติการในการเอาชนะพรรคคอมมิวนิสต์ ดังนี้

โครงการจัดสร้างและปรับปรุงเส้นทางเชื่อมโยงจากหมู่บ้านบ่อแก้ว - บ.ดงสามหมื่น - อ.วัดจันทร์ จ.เชียงใหม่ รับผิดชอบโดยสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท (รพช.) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ “พัฒนาให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รู้จักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสนับสนุนการปฏิบัติการด้านจิตวิทยาของรัฐจากการปลุกระดมของฝ่ายตรงข้าม”

โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ.ของต้น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชาวเขามูเซอร์ดำจำนวน 26 ครอบครัวเกี่ยวกับด้านอาชีพและการจัดระเบียบชุมชนตลอดจนก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างต่างๆ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว และเพื่อให้ชาวเขารักถิ่นฐานที่อยู่ของตน มีหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กองทัพภาคที่ 3 และ กอ.รมน. ภาค 3

ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในบริเวณพื้นที่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ มีวัตถุประสงค์โครงการเพื่อจัดตั้งโครงการผลิตอาหารสำเร็จรูปเพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษร และเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของราษฎรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีโดยดำเนินการทางปรับปรุงด้านการเกษตร การศึกษา ศาสนา และอนามัยไปพร้อมๆ กัน โดยมีพื้นที่ดำเนินการอยู่ที่โรงเรียนร่มเกล้า กองอำนวยการโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ และ 6 หมู่บ้านใน ต.โนนดินแดง อ.ละหานทราย โดย ต.โนนดินแดงในช่วงนั้นเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการปะทะระหว่างกองกำลังคอมมิวนิสต์กับทางกองทัพไทย (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์)

นอกจากนั้นยังมีโครงการสร้างความมั่นคงในชนบทที่หมู่บ้านในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ครอบคลุมหมู่บ้านจาก จ.กาฬสินธุ์ จ.ขอนแก่น จ.ชัยภูมิและ จ.อุบลราชธานี รวมกันทั้งสิ้นจำนวน 42 หมู่บ้าน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคมของราษฎรในหมู่บ้านที่อยู่ในเขตปฏิบัติการของตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ภาค 2 และเพื่อให้ความรู้แก่ราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวโดยการฝึกอบรมผู้นำหมู่บ้านและวิทยากรประจำหมู่บ้าน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการประสานงานสร้างความเข้าใจระหว่างทางราชการและราษฎรตามแผนการปฏิบัติการด้านจิตวิทยาการเข้าถึงประชาชนของรัฐบาล

ความสัมพันธ์ระหว่างโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กับยุทธศาสตร์การเอาชนะคอมมิวนิสต์ที่ดำเนินโดยกองทัพ ถูกพูดถึงในงานของชนิดา ระบุถึงเนื้อความในวารสารเศรษฐกิจและสังคม ฉบับพิเศษ ธ.ค. 2528 จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับกองทัพไทยในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และ กองทัพไทย ซึ่งจัดทำโดยกองทัพ ว่า ที่มาโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง หรือยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อความมั่นคง เริ่มต้นในปี 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมทหารที่กองพันพิเศษค่ายสฤษดิ์เสนา จ.พิษณุโลก ในระหว่างที่เครื่องบินโจมตี เอฟ-5 ของกองทัพบกถูกยิงตกบริเวณเขาค้อเมื่อ 11 มิ.ย. 2519 และการสู้รบกับ พคท. ได้ยืดเยื้อนานถึง 6 สัปดาห์ พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีได้ให้สัมภาษณ์เล่าถึงความเป็นมา ใจความว่า วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 เสด็จมาที่ค่ายฯ ตนได้กราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า ได้พยายามปราบปรามและทำให้ราบคาบมานานแล้ว ใช้วิธีสร้างถนนเข้าไปเพื่อสนับสนุนฝ่ายเราให้สามารถควบคุมพื้นที่ให้ได้ แต่ว่าพื้นที่ยากลำบาก และการสร้างทางมีอุปสรรค พระองค์จึงซักถามว่า ทำไมราษฎรไม่ใช้ถนนหรอกหรือ จึงได้กราบบังคมทูลว่า ไม่มีราษฎรอยู่อาศัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 จึงทรงแนะนำให้ตั้งหมู่บ้านใหม่ขึ้นสองข้างทางถนนที่สร้าง โดยเอาราษฎรอาสาสมัครที่ไม่มีที่ทำกินของตัวเอง จึงได้คัดเลือกราษฎรมาได้ 400 กว่าคน หัวหน้าครอบครัวอาสาสมัคร 400 กว่าคน แล้วนำมาฝึกและติดอาวุธ 3 สัปดาห์ที่ค่ายสฤษดิ์เสนา แต่ก็ยังนำราษฎรลงพื้นที่ไม่ได้ เพราะติดเรื่องการขออนุมัติจากกองทัพบกและ กอ.รมน. หลายเดือน

โครงการยุทธศาสตร์การพัฒนาจึงเริ่มต้นขึ้นที่พื้นที่เขาค้อ โดยมีการจัดตั้งหมู่บ้านยุทธศาสตร์พัฒนาขึ้นในพื้นที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่งสำหรับเป็นทุนในการดำเนินงานครั้งแรก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “กองอำนวยการโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก” โดยมีการจัดทำแผนงานโครงการพัฒนาทางยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “โครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก” ต่อมา กองทัพภาคที่3 กำหนดแผนยุทธศาสตร์ดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็กตั้งแต่ปี 2520 โดยมีกระบวนการ 4 ขั้นตอน ได้แก่

1. ใช้กำลังทหารเข้ากวาดล้างทำลายกำลังติดอาวุธของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่เขาค้อ สะเดาพง เขาย่า และหนองแม่นา

2. ก่อสร้างเส้นทางยุทธศาสตร์ เข้าสู่ขุมกำลังของฝ่ายผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่โครงการ

3. จัดตั้งหมู่บ้านยุทธศาสตร์ตามแนวสองข้างทาง โดยคัดเลือกราษฎรอาสาสมัครที่เคยรบ และทหารกองหนุน ซึ่งยังไม่มีที่ดินทำกินให้เข้าไปตั้งถิ่นฐาน โดยทางการจะดำเนินการจัดสรรที่ทำกินและที่อยู่อาศัย ตลอดจนจัดบริการขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมให้อย่างพร้อมมูล

4. ดำเนินการส่งมอบพื้นที่หมู่บ้านยุทธศาสตร์ ซึ่งมีความปลอดภัยและได้รับการพัฒนาจนสามารถช่วยเหลือตนเองได้แล้วให้แก่ฝ่ายปกครองเพื่อบริหารงานตามสายงานปกติต่อไป

นอกจากนั้นยังมีการก่อตั้งโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนกว่า 700 โรงเรียน อันเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่รับผิดชอบโดยกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งก่อตั้งครั้งแรกในปี 2499 เพื่อให้การศึกษากับประชาชนในถิ่นทุรกันดาร สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ระบุเพิ่มเติมว่า วัตถุประสงค์ของโรงเรียน ตชด. มีไว้เพื่อสอนให้การศึกษาประชาชนในถิ่นทุรกันดารได้เรียนรู้ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีของไทย เป็นสื่อกลางในการสร้างความคุ้นเคยและไว้วางใจให้เกิดขึ้นระหว่างชาวบ้านและตำรวจตระเวนชายแดน

พระราชกรณียกิจบางประการยังสะท้อนถึงการทำงานร่วมกันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อรักษาความมั่นคงในประเทศในสมัยสงครามเย็น ในบันทึกพระราชกรณียกิจที่อยู่ในห้องสมุด กปร. ระบุว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปยังโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงบริเวณห้วยปลาดุก บริเวณรอยต่อ อ.ปากชม กับ อ.เชียงคาน กิ่ง อ.นาด้วง และ อ.เมืองเลย ที่ จ.เลย โครงการฯ นี้ กองบัญชาการหน่วยผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร 21 เป็นฝ่ายริเริ่มดำเนินการตามพระราชดำริเพื่อจัดที่ดินทำกิน จัดสรรที่อยู่อาศัยในรูปหมู่บ้านป่าไม้ที่มีความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ราษฎรที่ยากจนซึึ่งถูกภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้าย และเพื่ออนุรักษ์ป่าไม้ต้นน้ำลำธารและปลูกสวนป่าทดแทน

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ไปยังพิธีรวมพลังประชาชน 16 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.สกลนคร และได้มีการปฏิญาณตนจากกองพลังประชาชนซึ่งประกอบด้วยนักเรียน นักศึกษา นักศึกษาวิชาการทหาร ยุวกาชาด เนตรนารี สตรีอาสารักษาดินแดน ลูกเสือชาวบ้าน ลูกเสือป่าภูพาน เยาวชนในค่ายทหาร สมาคมไลออนส์ หน่วยบรรเทาสาธารณะภัย สมาคมกรรมกรสามล้อ ไทยอาสาป้องกันชาติ อาสารักษาดินแดน พลเรือน ตำรวจและทหาร จากนั้นกองพลังประชาชนจึงได้เดินแถวผ่านพลับพลาที่ประทับ

เมื่อเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 พระราชทานพระบรมราโชวาท ความว่า “หน้าที่สำคัญของเหล่าอาสาสมัคร นอกเหนือจากหน้าที่พลเมืองที่ประชาชนทุกคนพึงปฏิบัติก็คือ ช่วยรักษาความปลอดภัยของท้องถิ่น และป้องกันมิให้มีผู้ประสงค์ร้ายมาเบียดเบียน ไม่ว่าจะเป็นพวกที่มาโจรกรรมเพียงทรัพย์สิน หรือพวกที่หวังจะมาโจรกรรมบ้านเมืองของเรา เพื่อให้เป็นที่อยู่ของคนอื่นที่ไม่ใช่คนไทย เพราะฉะนั้น อาสาสมัครจึงต้องมีความสามัคคีเข้มแข็ง เสียสละ มีระเบียบวินัย และซื่อสัตย์สุจริต นอกจากนั้น ยังต้องฝึกฝนให้มีความรู้ ทั้งในด้านการพัฒนาตนเอง ตลอดจนวิธีการป้องกันและต่อต้านการคุกคามจากผู้ประสงค์ร้ายต่อประเทศชาติ เพื่อช่วยกันรักษาบ้านเมืองของเราให้เป็นปึกแผ่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและดำรงอิสรภาพตลอดไป”


ทหารยังอยู่ในกิจการพลเรือนผ่านโครงการพระราชดำริ ชวนตั้งคำถาม พลเรือนมีไว้ทำไม

ปัจจุบัน กอ.รมน. ยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริอยู่หลายที่ จากการค้นหาข้อมูลพบว่า กอ.รมน. ได้ใช้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นหนึ่งในกลไกในการบรรลุซึ่งหน้าที่รับผิดชอบ ในการเสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเป็นแกนหลักในการจัดตั้งมวลชนในท้องที่ต่างๆ

3 พ.ย.2559 หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก รายงานว่า พล.ท.วิษณุ ไตรภูมิ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงแห่ง (ศปป.1 กอ.รมน.) จัดให้มีศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงใน 8 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ ศปป.1 กอ.รมน. ร่วมกับการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ในการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ กอ.รมน.4 กองทัพภาค จำนวน 34 โครงการ และจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเกษตรทฤษฎีใหม่ ประจำตำบล จำนวน 7,424 แห่งทั่วประเทศ

นอกจากนั้นยังมีศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กอ.รมน. ภาค 4 ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี จัดตั้งขึ้นเมื่อ ตุลาคม 2551 เป็นสถานที่ศึกษาดูงานด้านเกษตรกรรม ปศุสัตว์ ประมง และสิ่งแวดล้อมโดยใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน กองทัพภาคที่ 4 / กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ขับเคลื่อนและดำเนินการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ และในช่วงต้นปีนี้ กอ.รมน. ยังมีการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการปราชญ์เพื่อความมั่นคงสนับสนุนการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ จ.เชียงราย และ จ.สระบุรีอีกด้วย

แม้ภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ได้จมหายไปในกงล้อประวัติศาสตร์ แต่กลไกในการจัดตั้งมวลชน ปลูกฝังอุดมการณ์เรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ยังคงดำเนินต่อไป พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้สถาปนาอำนาจและหน้าที่ดังกล่าวไว้กับ กอ.รมน. อย่างเป็นทางการ

คำถามที่น่าถามในวันนี้คือ การมีส่วนร่วมของกองทัพเช่นว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นมากน้อยขนาดไหนในยามที่ไทยไม่ได้มีสมรภูมิสงครามอย่างในอดีต ถ้าหน่วยงานความมั่นคงตีความหน้าที่รับผิดชอบจนลามมาถึงเรื่องที่หน่วยงานพลเรือนหรือประชาชนสามารถดูแลได้ ประเทศไทยวันนี้จะต่างอะไรกับสมัยสงครามเย็นที่หน่วยงานความมั่นคงกลายเป็นตัวแสดงหลัก เรามีข้อปุจฉาได้หรือไม่ว่า ปฏิบัติการทางจิตวิทยาที่ใช้สู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ในวันนั้นถูกนำมาใช้กับประชาชนในวันนี้

คำถามที่นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการประวัติศาสตร์ชื่อดังตั้งว่า “ทหารมีไว้ทำไม” อาจต้องมีการถามอีกหนึ่งคำถามขนานกันไปว่า “พลเรือนมีไว้ทำไม” สังคมเราชินชา และยอมรับกับพื้นที่นอกกรมกองของทหารใช่หรือไม่

จริงอยู่ที่หลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยให้การยอมรับให้ทหารออกมาช่วยประชาชนในยามที่ประสบภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ เพราะด้วยกำลังคนและทรัพยากร กองทัพคือหน่วยงานที่มีความเหมาะสมในการรับมือกับภัยอันตรายนานาชนิด แต่การมีกฎหมายอนุญาตให้หน่วยงานที่มีทหารเป็นแกนหลักกระจายเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ ให้อำนาจในการสร้างมวลชนของตัวเองเพื่อทำงานด้านความมั่นคงที่นิยามกว้างขวางดั่งเกษียรสมุทรเป็นเรื่องที่ควรตั้งคำถามได้ เพราะข่ายงานที่กว้างย่อมหมายถึงงบประมาณที่ต้องใช้จำนวนมหาศาล และงบประมาณจะมาจากไหนถ้าไม่ใช่ภาษีของประชาชน ประชาชนต้องมีอำนาจที่จะถาม ตรวจสอบ และตัดสินใจได้ว่าปฏิบัติการทั้งหลายตอบสนองเจตนารมณ์ของประชาชนหรือไม่ กองทัพ ทหาร หน่วยงานความมั่นคงจะถูกใช้ในปริมณฑลใดบ้าง มีโครงสร้าง อำนาจ หน้าที่อย่างไร และพลเรือนควรตรวจสอบกองทัพได้ เพราะการให้คนกลุ่มหนึ่งพกอาวุธสงคราม กินเงินเดือนจากยศและตำแหน่งนั้นย่อมมีพันธสัญญากับประชาชนผู้ให้อาญาสิทธิ์ดังกล่าวตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย และแน่นอน ในตอนนี้ กลไกสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของ กอ.รมน. และการดำเนินงานของรัฐบาลทหารก็ยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ


เปิดแนวรบ"คนรุ่นใหม่"กับ"ผู้เฒ่าการเมือง"ใครจะอยู่ -ใครจะไป?




https://www.youtube.com/watch?v=SzOcEfQzNUw&feature=youtu.be

เปิดแนวรบ"คนรุ่นใหม่"กับ"ผู้เฒ่าการเมือง"ใครจะอยู่ -ใครจะไป?


jom voice
Published on Feb 27, 2018


นายปิยะรัฐ จงเทพ เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่รณรงค์จัดกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมือง "เลือกตั้งในปีนี้"หยุดคสช.สืบทอดอำนาจ"ให้สัมภาษณ์ Thai Voice เกี่ยวกับการประกาศต่อสู้กับคนวัยชราที่อยู่ในอำนาจเพื่อทวงคืนอนาคตของตัวเองและอนาคตประเทศว่า สังคมยุคใหม่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และพลังคนหนุ่มสาวจะเป็นพลังสำคัญที่จะนำความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม แต่สังคมไทยผู้ที่อยู่ในวัยชราเข้ามามีอำนาจและพยายามปิดกั้น ควบคุม ไม่ให้เยาวชนคนรุ่นใหม่มีพลังที่จะขับเคลื่อนหรือสร้างอนาคตของประเทศ ถึงเวลาที่เยาวชนคนรุ่นใหม่จะออกมาทวงอนาคตของตัวเองคืนจากผู้เฒ่าวัยชราที่ยังหลงอยู่ในอำนาจแล้ว

...