
กองทัพบกได้รับแจ้งเหตุจากกองกำลังสุรนารีเมื่อเวลา 9.30 น. ของวันจันทร์ที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา ว่าเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ไทยมีความชอบธรรมที่จะใช้กำลังทหารหรือยัง หลังความรุนแรงกับกัมพูชาปะทุอีกรอบ
วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ในเช้าวันที่ 10 พ.ย. 2568 ทำให้ทหารไทยเท้าขาดเป็นรายที่ 7 ข้อตกลงสันติภาพ หรือที่เรียกว่า ปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา ก็มีแนวโน้มสิ้นสุดลง
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) แถลงว่าเหตุดังกล่าว เป็นการลักลอบรื้อถอนลวดหนามเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาปฏิเสธพร้อมอ้างว่า ทุ่นระเบิดส่วนใหญ่ตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศเป็นมรดกหลงเหลือจากสงครามกลางเมืองของกัมพูชาเกือบ 30 ปี ในช่วงทศวรรษ 1970–1980 ซึ่งยังไม่สามารถเก็บกู้ได้ทั้งหมด เป็นเหตุให้กองทัพบกแถลงการเพื่อตอบโต้อีกครั้งยืนยันว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นทุ่นใหม่
ตลอดสามวันที่ผ่านมา ทางการไทยได้ลดระดับแนวทางสันติภาพอย่างต่อเนื่อง
ไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งเลื่อนการส่งมอบทหารชาวกัมพูชา 18 นายที่ถูกจับกุม ต่อมานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ประกาศหยุดการดำเนินการตามข้อตกลงทั้งหมดกับกัมพูชา ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพอากาศ ออกแถลงการณ์ประท้วงและยุติทุกข้อตกลง
จากนั้นวันที่ 11 พ.ย. ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติระงับปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา 4 ข้อ พร้อมอนุมัติปฏิบัติการทางทหาร พล.อ.ณัฐพล ยืนยันมาตรการยกระดับด้วยการชะลอโต๊ะเจรจาคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซี (GBC) ด้านกองทัพบกประกาศยุติทุกข้อตกลงเพื่อรักษาสิทธิในการป้องกันตนเอง
การตอบโต้ของรัฐบาลไทยสอดคล้องกับกระแสสังคมที่เห็นได้จากบุคคลผู้มีชื่อเสียงมากหน้าหลายตาแสดงความคิดเห็นให้ฝ่ายไทยเปิดปฏิบัติการทางการทหาร
รศ.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุผ่านรายการเปิดโต๊ะข่าว ช่องพีพีทีวี (PPTV) ว่าการประท้วงแม้จำเป็น แต่ไม่เพียงพอในการรักษาผลประโยชน์ชาติ
เขาระบุว่าเหตุการณ์ทหารไทยบาดเจ็บขาขาดครั้งนี้ ถือว่ามีความชอบธรรมเพียงพอที่จะเผชิญหน้าทางการทหารมากขึ้น และเข้า "ยึดปราสาทตาควายคืน"
ขณะที่ พล.อ.มนัส จันทร์ดี อดีตเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย โพสต์บนเฟซบุ๊กของเขา โดยย้ำว่าหลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดรายที่ 7 กองทัพควรตอบโต้ด้วยกำลังตั้งแต่ชั่วโมงแรก ไม่ควรใช้ข้ออ้างหรือการประท้วงอีกต่อไป หากไม่กล้าตัดสินใจใช้กำลังควรพิจารณาตนเอง โดยเขาระบุว่าเรื่องนี้หมายถึงทุกตำแหน่งในสายการบังคับบัญชาของกองทัพ
"ขาที่ 7 แล้ว หรือจะให้มีขาที่ 8,9, 10....ควรตอบโต้ด้วยกำลังทหารตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เกิดเหตุ ยิ่งช้ากองทัพยิ่งเสียหาย" อดีตเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว
ท่ามกลางข้อสงสัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำให้เกิดคำถามขึ้นในหมู่สาธารณชนว่า มาตรการตอบโต้ที่ประเทศไทยเริ่มดำเนินการไปแล้วนั้น "พอเพียง" หรือไม่ หรือยังมีกลไกอื่นที่ควรพิจารณาก่อนการเปิดปฏิบัติการ บีบีซีไทยพูดคุยกับนักนิติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ถึงความเป็นไปได้ของการดำเนินการทางการทหารของไทย หลังเหตุกำลังพลเหยียบทุนระเบิดครั้งล่าสุด
สิทธิป้องกันตนเองและการตอบโต้มีเกณฑ์อย่างไร
ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นพ้องว่าการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่ากัมพูชาเป็นผู้วางกับระเบิดหรือไม่ให้ไร้ข้อกังขาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เนื่องจากจะเป็นตัวชี้วัดว่ากัมพูชาได้ละเมิดถ้อยแถลงร่วม หรือปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ที่ได้ลงนามร่วมกัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา หรือไม่
"อาการที่ทหารไทยบาดเจ็บเสียหายมันเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว แต่กับดักระเบิดที่ไปเหยียบตรงไหน สมัยไหน ใครทำ อันนี้จะเป็นหลักฐานที่จะเอามาสร้างความชอบธรรมในการตอบโต้ในเวลาต่อไป" ศ.ดร.ฐิตินันท์ อธิบาย
สอดคล้องกับ ผศ.ดร.ธนภัทร ที่กล่าวว่าหากกองทัพไทยพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางใหม่หลังจากที่ไทยและกัมพูชาได้มีข้อตกลงร่วมกันแล้วนั้น ก็จะถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศสองส่วน ได้แก่ เป็นการการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2 วงเล็บ 4 ซึ่งห้ามประเทศสมาชิกใช้กำลังโจมตีดินแดนของรัฐอื่น
อาจารย์นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เสริมต่อว่าสำหรับกรณีที่พิสูจน์ได้ว่ากัมพูชาได้มีการวางกับระเบิดหลังมีข้อตกลงร่วมกันก็อาจก่อให้เกิดสิทธิกับประเทศไทยในการที่จะ "ใช้สิทธิในการป้องกันตนเอง" หรือ Self Defense ซึ่งบรรจุอยู่ในกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 51
"อย่างไรก็ดี ตามหลักแล้วข้อ 51 [ของกฎบัตรสหประชาชาติ] นั้นเขียนค่อนข้างกว้าง คือ มาตรการที่ดำเนินการอาจจะเป็นมาตรการที่เป็นปฏิบัติการทางทหารตามกฎการปะทะ (Rule of engagement) หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้" ผศ.ดร.ธนภัทร กล่าว

เจ้าหน้าที่เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณจุดเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดเมื่อ 10 พ.ย. 2568 ก่อนยืนยันว่าเป็นการ "วางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย"
เงื่อนไขของการป้องกันตนเอง ต้อง "จำเป็น" และ "ได้สัดส่วน"
ภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อวานนี้ (11 พ.ย.) พล.อ.ณัฐพล รมว.กลาโหม และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาแถลงผลการประชุมร่วมกัน
พล.อ.ณัฐพลระบุว่า ที่ประชุม สมช. เห็นชอบระงับปฏิญญาไทย-กัมพูชา 4 ข้อ แม้กัมพูชาจะปฏิเสธว่าเป็นทุ่นระเบิดเก่า แต่ท่าทีดังกล่าวยังไม่เพียงพอจนทำให้ไทยต้องระงับปฏิญญา และติดตามท่าทีต่อไป โดยยืนยันว่าไทยจะประณามการละเมิดและดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเข้มงวด
เกี่ยวกับจุดยืนของฝ่ายไทยข้างต้น ผศ.ดร.ธนภัทร นักกฎหมายระหว่างประเทศจาก ม.ธรรมศาสตร์ เห็นสอดคล้องกับท่าทีดังกล่าว โดยบอกว่าปฏิญญาร่วมเป็นข้อตกลงทางเมืองที่ไม่ได้มีสภาพบังคับทางกฎหมาย (non-binding) จึงสามารถระงับได้ทุกเมื่อ และการเหยียบทุ่นระเบิดถือเป็นเหตุผลที่เพียงพอมากในการยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว
ผศ.ดร.ธนภัทร ประเมินว่าประเทศไทยมีความชอบธรรมมากพอที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหาร ภายใต้เงื่อนไขในการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและภายใต้เกณฑ์ "ความจำเป็น (necessity)" และ "ได้สัดส่วน (proportionality)" โดยต้องจำกัดบริเวณและเป้าหมาย และมีเป้าหมายเพียงเพื่อการยับยั้งการกระทำละเมิดนั้นเท่านั้น
"ในการที่ประเทศไทยจะเลือกเป้าหมายในการที่จะดำเนินปฏิบัติการทางทหาร ประเทศไทยจะต้องปฏิบัติการใส่กลับไปในพื้นที่ที่เป็นฐานของการในการวางทุ่นระเบิดแบบจำกัดบริเวณ" ผศ.ดร.ธนภัทรอธิบาย พร้อมย้ำต่อว่าในการดำเนินการยังต้องแยกทหารกับพลเรือนออกจากกันโดยเด็ดขาดด้วย
อาจารย์กฎหมายจาก มธ. อธิบายขั้นตอนว่าหากไทยตัดสินใจใช้กฎการปะทะ ไทยควรต้องแจ้งทุกอย่างกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการแจ้งให้สหรัฐอเมริกาทราบ และการเชิญสักขีพยาน เช่น คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือเอโอที (ASEAN Observer Team: AOT) เข้าไปสังเกตการณ์
ความคิดเห็นนี้สอดคล้องกับทัศนะของเพจเฟซบุ๊ก thaiarmedforce.com ที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านอาวุธและกองทัพ ที่ชี้ว่าไทยต้องทำให้มาเลเซียและสหรัฐฯ เห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายแสดงท่าทีอันเป็นอันตรายต่อกระบวนการเสรีภาพและตั้งข้อสงวนว่าไทยสงวนสิทธิการใช้อาวุธได้ตามจำเป็นเพื่อป้องกันตัวเองโดยได้สัดส่วนเพื่อสร้างความชอบธรรม

เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ของไทยถือทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ระหว่างการตรวจสอบโดยคณะทูตจาก 33 ประเทศ ภายหลังการหยุดยิงระหว่างกัมพูชากับไทย ที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2568
การตอบโต้ทางการทหารควรเป็นทางเลือกสุดท้าย
นับตั้งแต่เกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อ 10 พ.ย. รัฐบาลไทยดำเนินการมาตรการทางการทูตไปแล้วหลายประการ
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทย แถลงในวันเกิดเหตุว่า รมว.ต่างประเทศ ได้ทำหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
การประท้วงอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชาเป็นไปเพื่อแจ้งว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ตามถ้อยแถลงระหว่างผู้นำทั้งสองชาติที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ขณะเดียวกันก็ดำเนินการประท้วงผ่านกรอบอนุสัญญาออตตาวาอีกทางหนึ่ง
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวอีกว่าจะมีการส่งหนังสือแจ้งการละเมิดไปยังสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ซึ่งเป็นสักขีพยานในการลงนามถ้อยแถลงยุติความขัดแย้งเมื่อ 26 ต.ค. ด้วย
เกี่ยวกับการดำเนินการทางการทูต ผศ.ดร.ธนภัทร ประเมินว่าขั้นตอนการส่งหนังสือประท้วงเมื่อพบการละเมิดถือเป็นขั้นตอนแรกที่เหมาะสมแล้ว และอธิบายว่าประเทศไทยกำลังดำเนินการขยับการตอบโต้ขึ้นมา พร้อมชี้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ไทยเริ่มชะลอและยุติการใช้บังคับชั่วคราวของปฏิญญาร่วม แม้จะไม่ใช่สนธิสัญญาก็ตาม
นอกจากมาตรการทางการทูต นักกฎหมายระหว่างประเทศจาก ม.ธรรมศาสตร์ ยังเสนอว่าการกดดันทางเศรษฐกิจอาจเป็นมาตรการที่เหมาะสมมากกว่าการใช้กำลังทางการทหารโดยตรง โดยประเทศไทยอาจศึกษาข้อตกลงทางเศรษฐกิจทั้งหมดกับกัมพูชา เนื่องจากกัมพูชากำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจจะสามารถกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของกัมพูชาและส่งผลต่อประชากรได้อย่างชัดเจน
นักนิติศาสตร์ผู้นี้กล่าวต่อว่า "การกดดันทางเศรษฐกิจที่ชาญฉลาดคือการใช้ประเด็นระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชา เช่น เรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (scammer) โดยการเป็นผู้นำในการผลักดันประเด็นนี้และประสานงานกับประเทศที่มีบทบาทสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้" ซึ่งกัมพูชาจะถูกนานาชาติบีบให้โดดเดี่ยวมากขึ้น
ผศ.ดร.ธนภัทร ยกตัวอย่างผลลัพธ์ของการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจที่จะทำให้นานาชาติเข้าไปผูกความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของกัมพูชาได้ยากขึ้น เช่น ประเด็นการซื้อขายอาวุธกับสหรัฐอเมริกา
"ตอนนี้สหรัฐอเมริกาเขากลับมาขายอาวุธให้กับกัมพูชาแล้ว สมมติว่าถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง ๆ กัมพูชายังมีการละเมิดเรื่องทุ่นระเบิดอย่างต่อเนื่องแบบนี้ อเมริกาอาจจะกลับมาพิจารณาใหม่ว่ายังยินดีที่จะขายอาวุธให้กับกัมพูชาต่อไปไหม" ผศ.ดร.ธนภัทร ระบุ
ขณะที่ ศ.ดร.ฐิตินันท์ ชี้ว่าการตอบโต้ทางทหารควรเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการตอบโต้ที่ไล่เรียงจากระดับเบา แล้วค่อยขยับไปสู่มาตรการที่เข้มข้นขึ้นตามลำดับ และการทำสงครามเป็นเพียงทางออกสุดท้ายเมื่อทุกวิธีการอื่นไม่สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว
"ในการตอบโต้ทางทหาร กัมพูชาเป็นรองอยู่แล้วและไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว"ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกล่าว "ถ้าชนะกัมพูชา แต่แพ้โลก หรือว่าถ้าเรามีภาพลักษณ์ว่าเป็นฝ่ายที่ไปรังแกเขา ไปใช้กำลังเกินเหตุ มันก็จะเหมือนกับเราแพ้ตัวเอง"
มุมมองจากฝั่งกัมพูชา
สำหรับมุมมองและจุดยืนของกัมพูชาที่มีต่อเหตุการณเหยียบทุ่นระเบิดล่าสุดของทหารไทย โรธา ฮิม รองผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาภูมิภาคกัมพูชา (Cambodian Center for Regional Studies) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองอิสระ อธิบายว่า ฝั่งรัฐบาลกัมพูชายังคง "ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง" ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตนเข้าไปวางกับระเบิดใหม่ในพื้นที่ที่ฝั่งไทยได้รับผลกระทบ และย้ำว่ากับระเบิดเหล่านี้เป็นมรดกจากยุคศตวรรษ 80-90 และไม่สามารถเข้าไปเก็บกู้ได้เพราะเป็นพื้นที่พิพาทที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน
เมื่อบีบีซีไทยถามต่อว่า มิติของสาธารณชนกัมพูชาเป็นเช่นไร และพวกเขารับข่าวสารจากช่องทางไหนบ้าง รอง ผอ.ศูนย์ศึกษาภูมิภาคกัมพูชา ชี้ว่าชาวกัมพูชาส่วนใหญ่รับสารหรือข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการของกัมพูชา เช่น ผู้นำประเทศ กระทรวงกลาโหม หรือกระทรวงการต่างประเทศ
"ชาวกัมพูชาส่วนมากเชื่อว่าต้นตอของปัญหานี้มาจากฝ่ายไทย ตั้งแต่อุดมการณ์เรียกร้องดินแดนโดยอ้างอิงความเชื่อทางประวัติศาสตร์ (historical irredentism) ของกองทัพไทย ไปจนถึงการแย่งชิงอำนาจภายในทางการเมืองของไทยเอง"
เขาเสริมว่า สาธารณชนกัมพูชายังตั้งคำถามต่อความจริงใจของรัฐบาลไทยต่อกระบวนการสันติภาพ เมื่อนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ยังไม่ยอมปล่อยตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 นายกลับประเทศ
เมื่อเจาะลึกลงไปถึงความรู้สึกของประชาชนต่อความขัดแย้งที่มีมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านกระบวนการเจรจาหลายครั้งหลายหน และมีการยื่นมือจากนานาชาติเข้ามาร่วมด้วยแล้ว นายฮิมชี้ว่า แม้แต่ชาวกัมพูชาด้วยกันเองก็มีความเห็นที่หลากหลาย
เขายกตัวอย่างว่า ในขณะที่ชาวกัมพูชาในเมืองหลวงอย่างกรุงพนมเปญมีความรู้สึกเป็นชาตินิยมอย่างเข้มข้นและพุ่งความสนใจไปที่ความพยายามของกองทัพไทยในการ "ผนวกแผ่นดินกัมพูชา" ชาวบ้านตามแนวชายแดนกัมพูชากลับเป็นกังวลในประเด็นผลกระทบทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี นายฮิมชี้ว่าสิ่งที่ชาวกัมพูชาต้องการมากที่สุดตอนนี้คือสันติภาพ ทว่าเขาเสนอแนะว่า ทั้งสองฝ่ายอาจจำเป็นต้องแยกแยะและทำความเข้าใจกับปัญหาแยกกันไปตามแต่ละประเด็น แทนที่จะรวมกันเป็น
"มันเป็นปัญหาใหญ่เพียงก้อนเดียว ซึ่งมีรากมาจากความแตกต่างทางการเมือง การปักปันเขตแดน การบริหารจัดการชายแดน และทางตันอื่น ๆ ระหว่างสองประเทศ"
นักวิชาการจากกัมพูชาชี้ด้วยว่า การเปิดพรมแดนอีกครั้งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อบรรเทาความยากลำบากทางเศรษฐกิจและภาระของประชาชนตามแนวชายแดน รวมถึงลดผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อทั้งกัมพูชาและไทย ขณะที่การเจรจาทางการทูตอย่างสันติสามารถใช้เป็นช่องทางในการต่อรองประเด็นที่ยังเห็นไม่ตรงกัน "โดยมีนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นสักขีพยาน"

สถานะของปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา ตอนนี้เป็นอย่างไร
กระทรวงการต่างประเทศของไทยชี้แจงสถานะของปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ว่าเป็นการระงับชั่วคราวระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง แต่ไม่ได้ดำเนินการใดที่จะขัดต่อปฏิญญาหรือถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนระหว่างลงพื้นที่ภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยกล่าวถึงถ้อยแถลงร่วมว่า "สิ่งที่เราได้มีข้อตกลงกันไว้เพื่อจะเดินไปสู่การมีสันติภาพมันจบลงแล้ว"
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.ฐิตินันท์ แสดงความกังวลต่อท่าทีการตัดความนี้ โดยชี้ว่าหากมีการยกเลิกปฏิญญาดังกล่าวเกิดขึ้น ก็จะปิดหนทางในการพูดคุยและเสี่ยงนำไปสู่การตอบโต้อย่างรุนแรงขึ้น
อ.ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากจุฬาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าปฏิญญาชุดนี้อยู่ในกรอบของการทูตในอาเซียน และมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน มาเกี่ยวข้องในฐานะผู้เสนอ ผู้ผลักดัน และผู้ประสาน ทำให้สถานะของปฏิญญาดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างสองประเทศ แต่มีมิติระหว่างประเทศที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้านเพจเฟซบุ๊กของเว็บไซต์ thaiarmedforce.com เสนอผ่านโพสต์เฟซบุ๊กว่าทางการไทยควรทำให้ปัญหานี้เป็นปัญหาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เป็นผู้ได้ความดีความชอบว่าเป็นผู้ทำให้เกิดสันติภาพ
เพจวิเคราะห์ด้านการทหารเพจนี้โพสต์ด้วยว่า "[รัฐบาลไทย] ควรชี้ให้เห็นว่า นี่คือการฉีกหน้าทรัมป์อย่างร้ายแรง การยุติสงคราม 8 สงครามที่ทรัมป์อ้างอาจไม่เกิดขึ้นแล้วถ้าทรัมป์ยังปล่อยให้กัมพูชาละเมิดข้อตกลงแบบนี้ และทรัมป์นั่นแหละจะกลายเป็นเสือกระดาษ เพื่อกระตุ้นให้ทรัมป์รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกดดันกัมพูชา จะขู่ขึ้นภาษี 40% หรือจะคว่ำบาตรการขายอาวุธอะไรอีกครั้งก็ทำไป"
"ทรัมป์ต้องเข้ามาจัดการอะไรสักอย่างไม่ใช่เอาเครดิตแล้วหายไป" เพจซึ่งก่อตั้งโดยนายอนาลโย กอสกุล ที่ปรึกษา กมธ. การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ระบุ

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ร่วมเป็นสักขพยานในพิธีลงนามในปฏิญญาร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อ 26 ต.ค. 2568
นอกจากนี้ ศ.ดร.ฐิตินันท์ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากจุฬาฯ อธิบายต่อว่าปฏิญญาฉบับนี้ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีด้วย เนื่องจากไทยและกัมพูชามีกรอบข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ต่อเนื่องจากประเด็นดังกล่าว
"ตอนนี้เราก็ต้องมาคิดในการคำนวณในภาพรวมว่าเราจะตอบโต้แบบสมน้ำสมเนื้อยังไงให้รักษาผลประโยชน์ของไทยเอาไว้ และผลประโยชน์ของไทยมีหลายรูปแบบ ทั้งเศรษฐกิจ ทั้งการเมือง การทหารและความมั่นคง ต้องดูในผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศไทยในทุกมิติ" เขาสรุป
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. สำนักข่าวเบอร์นามารายงานว่า รัฐบาลมาเลเซียยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุนกระบวนการสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชาต่อไป แม้ไทยประกาศระงับข้อตกลงทั้งหมดกับกัมพูชา
พล.อ. ตัน ศรี โมฮัมหมัด นิซาม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย กล่าวว่า แม้ปัญหานี้จะเป็นเรื่องทวิภาคีระหว่างไทยและกัมพูชา แต่ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความรับผิดชอบร่วมกันในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยขณะนี้ทีมคณะผู้สังเกตการณ์ AOT ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพื้นที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนราว 40 กิโลเมตร หากเกิดวิกฤตซ้ำเหมือนที่ผ่านมา คณะผู้สังเกตการณ์ AOT จะถูกส่งกลับไปยังพนมเปญและกรุงเทพฯ เพื่อดำเนินการต่อ
เขาระบุว่า หากกระบวนการถูกระงับ คณะผู้สังเกตการณ์ AOT จะปรับตำแหน่งและหารือกับทั้งสองฝ่ายเพื่อให้กิจกรรมต่าง ๆ กลับมาดำเนินต่อไป ขณะที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซียย้ำว่า มาเลเซียทำหน้าที่เพียงผู้ประสานงานในกระบวนการเจรจา โดยไม่กำหนดเงื่อนไขใด ๆ
https://www.bbc.com/thai/articles/cly20kgz3x7o