วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 26, 2568

การปิดด่านเป็น “ดาบสองคม” ต้องระวังคมที่จะบาดมือเราเอง หรือหันกลับไปบาดมือทหารที่ประกาศปิดด่าน ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) ควรจะประกาศเอง แต่กลับ “โยน” ไปให้ฝ่ายทหารทำ เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ



เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่อง “ปิดด่าน”

25.06.2025
สุรชาติ บำรุงสุข
มติชนออนไลน์

ในสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากกรณีช่องบก แล้วตามมาด้วยกรณีการปล่อยคลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำของประเทศทั้งสอง และคู่ขนานด้วยการก่อตัวของกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศ อันส่งผลความตึงเครียดที่เกิดตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้มากขึ้น

ในสภาวะที่เกิดปัญหาตามแนวชายแดนเช่นนี้ มักจะมีข้อเสนอที่เกิดขึ้นเป็นประจำ คือ การเรียกร้องให้มีการปิดด่าน ที่เป็นจุดผ่านแดนของประเทศ โดยหวังว่า การปิดด่านของไทยจะทำให้เกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชา และในที่สุดแล้ว กัมพูชาจะต้องยอม ด้วยการหันกลับมาเจรจาแบบทวิภาคีกับไทย เพราะไม่สามารถทานแรงกดดันจากการปิดด่านได้

ทฤษฎีปิดด่าน

ความหวังเช่นนี้ เป็นทฤษฎีที่นักเรียนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกสอนมาเสนอถึง การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจของรัฐ ที่รัฐจะใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันรัฐเป้าหมาย ทฤษฎีนี้ยังสอนอีกด้วยว่า การกดดันทางเศรษฐกิจจะได้ผลจริง ก็ต่อเมื่อรัฐเป้าหมายไม่สามารถหาสิ่งของทดแทนที่เกิดจากความขาดแคลนดังกล่าวนั้นได้

ดังนั้น จึงอาจกล่าวเป็นข้อสรุปทางทฤษฎีได้ว่า จุดชี้ขาดที่เป็นปัจจัยของความสำเร็จในการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจคือ “ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้” แต่ในโลกสมัยใหม่ สภาวะที่จะเกิดความขาดแคลนที่ไม่สามารถทดแทนได้นั้น อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศที่มีมากขึ้น ทำให้การขนส่งสินค้า บริการ และสิ่งของต่างๆ เป็นไปได้อย่างกว้างขวาง จนทำให้ทฤษฎีการกดดันด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐเพื่อนบ้าน อาจจะไม่ได้ผลจริงตามที่คาดหวัง

ตัวอย่างที่ชัดเจนในสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะไม่ใช่เรื่องการปิดด่านโดยตรง คือ มาตรการ “แซงชั่น” ทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย อันเป็นผลจากสงครามยูเครนในต้นปี 2022 นั้น ต้องยอมรับว่าการแซงชั่นนั้น ไม่ได้ส่งผลในการกดดันรัสเซียให้ต้องยุติสงครามได้จริง แม้การออกมาตรการดังกล่าว จะสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจรัสเซียอย่างมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มากจนนำไปสู่ความล้มละลายทางเศรษฐกิจของประเทศ จนรัสเซียต้องยอมถอนกำลังรบออกจากยูเครนแต่อย่างใด และสงครามยูเครนยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่อาจจะใกล้ตัวพวกเรามากขึ้น คือ ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในยุคสงครามเย็น ในสมัยของรัฐบาลจอมพลสฤษฏ์ ธนะรัชต์ในช่วงวิกฤตการณ์ในลาว จอมพลสฤษฏ์มักจะใช้การปิดด่านของไทยเป็นแรงกดดันที่สำคัญ เพราะเนื่องจากลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล และต้องขนส่งสินค้าผ่านแดนไทย

รัฐบาลไทยในขณะนั้น เชื่ออย่างมากว่า การกดดันด้วยมาตรการปิดด่าน จะทำให้ลาวต้องหันกลับมาประนีประนอมกับไทย แต่ฝ่ายไทยดูจะลืมเงื่อนไขการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ คือ ลาวสามารถออกทะเล และขนส่งสินค้านำเข้า ได้ทั้งจากไทยและเวียดนาม ดังนั้น เมื่อไทยออกแรงกดดันมาก ลาวจึงหันไปพึ่งการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือไฮฟองของเวียดนาม แทนการพึ่งอยู่กับท่าเรือคลองเตยของไทยแต่เพียงอย่างเดียว

ผลที่เกิดขึ้นเห็นชัดว่า ความคาดหวังว่าการปิดด่านจะเป็นแรงกดดันให้ผู้นำรัฐบาลลาว ต้องตอบรับข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยในขณะนั้น ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติจริงแต่อย่างใด เพราะลาวสามารถหันไปพึ่งพาการขนส่งสินค้าจากทางฝ่ายเวียดนามเหนือแทนได้เป็นอย่างดี

ปิดด่านยุคปัจจุบัน

ในบริบทของสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอาจไม่แตกต่างกันมากนัก ถ้าเราคาดหวังว่า การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจด้วยการปิดด่านจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย ก็อาจจะไม่เป็นจริงมากนัก

สิ่งที่ฝ่ายไทยอาจจะต้องยอมรับความเป็นจริงโดยพื้นฐานคือ กัมพูชาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และยังสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตามปกติ หรือกัมพูชาไม่ได้อยู่ในสถานะของการไม่มีรัฐคู่ค้าเหลืออยู่ อีกทั้งกัมพูชาเป็นประเทศที่มีทางออกทะเล จนทำให้การปิดด่าน จะนำมาซึ่งความคาดแคลนภายในประเทศอย่างมาก จนทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมปรับท่าทีใหม่ตามความต้องการของไทยนั้น ไม่ชัดเจนว่าจะเป็นจริงเท่าใดนัก

อีกทั้ง ต้องยอมรับอีกว่า กัมพูชาวันนี้ ไม่ใช่กัมพูชาในอดีตที่อ่อนแอมาก จนไทยสามารถเอาชนะด้วยการกดดันในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องถึงระดับของการใช้กำลังทหาร และความสำเร็จถ้าจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ดูจะเป็นไปตามทฤษฎีของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะในความเป็นจริง การกดดันของฝ่ายไทย ยังไม่ก่อให้เกิดสภาวะทางทฤษฎีคือ “ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้” จนต้องยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายไทย

การปิดด่านในยุคปัจจุบันยังมี “ผลกระทบด้านกลับ” เพราะจะทำให้การขนส่งสินค้าจากฝั่งไทยไปยังตลาดกัมพูชาต้องยุติไปด้วย ซึ่งอาจถูกเรียกร้องว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อความ “รักชาติ” แต่ผลในความเป็นจริง การปิดชายแดน ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจในพื้นที่ชายแดนยุติลง และทั้งส่งผลให้ชีวิตชายแดนจะหยุดตามไปด้วย หรือเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า “ชายแดนรบ-ชายแดนตาย-กรุงเทพฯ สุขสบาย” ซึ่งเงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจและภาคสังคมชายแดนไม่ตอบรับกับกระแสชาตินิยมในทิศทางเช่นนั้น

ท้ายบท

การปิดด่าน/ปิดชายแดนอาจจะส่งผลกระทบกับกัมพูชาในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ประเทศเป้าหมายจะต้องปรับตัวหาแหล่งสนับสนุนทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องยากในเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน และอาจส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยอาจจะถูกดันออกจากกัมพูชา

สภาวะเช่นนี้จะยิ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้ง 2 ในอนาคต จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น และอยู่ด้วยความหวาดระแวงมากขึ้น ซึ่งไม่น่าใช่ผลประโยชน์ของไทยในระยะยาว ทั้งต้องตระหนักเสมอว่า การปิดด่านเป็น “ดาบสองคม” แต่ต้องระวังคมที่มากกว่าจะบาดมือเราเอง หรือหันกลับไปบาดมือทหารที่ประกาศปิดด่าน

ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) ควรจะประกาศเอง แต่กลับ “โยน” ไปให้ฝ่ายทหารทำ เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ อย่างไรก็ตาม ในอีกด้าน จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดสภาวะที่ การปิดด่านเป็นการแสดงออกอย่าง “ขึงขัง” เพียงเพื่อสร้างภาพแก้ตัวหลังจากความเพลี่ยงพล้ำในกรณีคลิปเสียงเท่านั้นเอง

บางทีวันนี้ ผู้มีอำนาจในการเมืองไทยควรต้องหันกลับมาถกแถลงทางยุทธศาสตร์ว่า อำนาจการกดดันจากการปิดด่านยังเป็นเครื่องมือสำคัญในนโยบายต่างประเทศไทยเพียงใด ?


https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_848660