
กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ : สร้างจุดบอดทางรัฐธรรมนูญ
30 เมษายน 2568
ประชาไท
เปรม ซิงห์ กิล เขียน
112WATCH แปล
กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของประเทศไทยสะท้อนความย้อนแย้งทางประชาธิปไตยที่รุนแรง กฎหมายที่มีผลกระทบสูงสุดกลับถูกวางไว้นอกเหนือการศึกษาทางวิชาการโดยสิ้นเชิง การห้ามทางปัญญานี้ส่งผลให้ระบบกฎหมายที่สามารถทำลายชีวิตผู้คนได้ดำรงอยู่ใน “เขตแดนแห่งความเงียบเชิงวิชาการ” ซึ่งทำให้ระบบการศึกษากฎหมายของไทยทั้งระบบกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการธำรงไว้ซึ่งความเป็นไปไม่ได้ในทางรัฐธรรมนูญ
กรณีล่าสุดของการจับกุม พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกัน สะท้อนรูปแบบการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างแข็งกร้าวพอลวัย 58 ปี เป็นอาจารย์ผู้มีประสบการณ์สอนในประเทศไทยมายาวนาน ถูกควบคุมตัวในจังหวัดพิษณุโลก หลังจากที่ทหารไทยแจ้งความดำเนินคดีพอลจากข้อความเกริ่นนำถึงการเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS – Yusof Ishak Institute ประเทศสิงคโปร์ พอลปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นผู้เขียนข้อความดังกล่าว
แม้ว่าพอลจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 300,000 บาท แต่เขาก็ยังต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี สิ่งที่น่าวิตกเป็นพิเศษคือ เจ้าหน้าที่ทหารที่เริ่มต้นดำเนินคดีต่อพอลอาจไม่เข้าใจกฎหมายที่พวกเขาใช้อ้างด้วยซ้ำ สถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ซึ่งขาดความรู้ทางกฎหมายสามารถใช้มาตรา 112 โจมตีปัญญาชนได้เช่นนี้ เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนว่า ทหารกำลังเล่นเกมที่อันตรายกับการแสวงหาความรู้ โดยมุ่งเป้าโจมตีนักวิชาการที่ตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจ มากกว่าการปกป้องพระเกียรติอย่างแท้จริง
ความเป็นข้อยกเว้นของไทย (Exceptionalism)
แนวทางของประเทศไทยแตกต่างจากประเทศที่มีระบอบกษัตริย์คล้ายกันอย่างชัดเจน เช่น ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งแม้จะมีกฎหมายห้ามวิจารณ์ราชวงศ์อย่างเข้มงวด ไปจนถึงใช้วิธีการสังหารนักข่าวจามาล คาชอกกี แต่กระนั้น มหาวิทยาลัยในซาอุฯ ก็ยังสามารถอภิปรายถึงกฎหมายเหล่านี้ในเชิงทฤษฎีได้ — สิ่งที่ถูกหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิงในสถาบันการศึกษาของไทย ที่โมร็อกโก มาตรา 179 ซึ่งบัญญัติว่า “การบ่อนทำลาย” สถาบันกษัตริย์มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี แต่โรงเรียนกฎหมายของโมร็อกโกก็ยังศึกษาและวิเคราะห์พื้นฐานเชิงนิติศาสตร์และผลกระทบต่อรัฐธรรมนูญได้ อย่างเป็นปกติ แม้แต่จอร์แดน ที่มีกฎหมายเข้มงวดเพื่อคุ้มครองกษัตริย์ Abdullah II ก็ยังเปิดพื้นที่ให้ถกเถียงในเชิงวิชาการในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ กรณีของสเปนก็ให้บทเรียนสำคัญ: เมื่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปมีคำตัดสินในปี 2018 ว่า สเปนละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกของชาวกาตาลันที่เผาภาพถ่ายของราชวงศ์ด้วยการลงโทษจำคุก นำไปสู่การถกเถียงอย่างจริงจังในแวดวงกฎหมาย จนเกิดกระบวนการปฏิรูป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย
ความว่างเปล่าในระบบการศึกษา: ความสมรู้ร่วมคิดในทางกฎหมาย
ผลกระทบจากช่องว่างในการศึกษาของไทยนั้นลึกซึ้งเกินกว่างานวิชาการ เมื่อบัณฑิตกฎหมายกลายเป็นทนาย ผู้พิพากษา หรือสมาชิกสภานิติบัญญัติ โดยที่ไม่เคยถูกฝึกให้วิเคราะห์หรือวิจารณ์มาตรา 112 ได้เลย พวกเขาจึงสืบทอดระบบที่ยกกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาให้อยู่เหนือกฎหมายอื่น กลายเป็น "คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์" ที่ไม่สามารถตั้งคำถามเช่นเดียวกับบทบัญญัติอื่นได้
ผลก็คือ ประเทศไทยมีบุคลากรทางกฎหมายที่ไม่สามารถจัดการกับหนึ่งในกฎหมายที่ถกเถียงมากที่สุดของประเทศได้ ความย้อนแย้งนี้ยิ่งชัดขึ้นเมื่อตระหนักว่า แม้แต่การถือหรืออ้างถึงประมวลกฎหมายอาญาที่มีมาตรา 112 อยู่ ก็อาจกลายเป็นเรื่องอ่อนไหว สถานการณ์อันย้อนแย้งเสมือนหลุดเข้าไปในนิยายของคาฟกานี้ได้ทำลายทั้งการศึกษาและวิธีปฏิบัติทางกฎหมายอย่างถึงราก
นักวิชาการไทย: ผลกระทบแห่งความหวาดกลัว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นี้ ยังทำให้อาจารย์ในประเทศไทยเกิดความวิตกกังวลอย่างมหาศาล หลายคนเปิดเผยว่าตนเองถูกติดตามสอดส่องตลอดเวลา และต้องอยู่กับความไม่แน่นอนว่า คำพูดใด การสอนครั้งใด หรือบทความใด อาจทำให้ถูกดำเนินคดีได้ในทันที ผลของสิ่งนี้คือ การเซ็นเซอร์ตนเองที่แพร่กระจายออกไปไกลกว่าผู้ที่ถูกดำเนินคดีโดยตรง แทรกซึมเข้าไปในสถาบันที่ควรเป็นแหล่งของการคิดวิเคราะห์อย่างอิสระ อาจารย์ไทยจำนวนมากไม่สามารถพูดถึงหลักการรัฐธรรมนูญขั้นพื้นฐานกับนักศึกษาได้เลย ส่งผลให้เกิดบัณฑิตที่ไม่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตยได้อย่างตรงไปตรงมา
การบังคับใช้ที่ไม่สมส่วน
องค์กรระหว่างประเทศได้แสดงความกังวลต่อการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ของไทยอย่างต่อเนื่อง บทลงโทษที่เกินขนาดยิ่งเน้นให้เห็นถึงธรรมชาติพิเศษสุดของมาตรา 112 เช่น ชายคนหนึ่งในภาคเหนือถูกตัดสินจำคุกอย่างน้อย 50 ปี หรือกรณีหญิงที่ถูกตัดสินจำคุก 43 ปีในปี 2021 และอีกกรณีที่โด่งดังคือ ชายผู้จำหน่ายปฏิทินล้อเลียนที่มีรูปเป็ดเหลือง ถูกตัดสินว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และต้องโทษจำคุก 2 ปี หลังการจับกุมพอลกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ แสดงความกังวลทันที โดยกล่าวว่ามีข้อห่วงใยเกี่ยวกับการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ของไทยมาอย่างยาวนาน และเรียกร้องให้ไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงออก แต่แรงกดดันจากนานาชาติก็แทบไม่มีผลต่อการปฏิรูป ในความเป็นจริง เมื่อมีความพยายามปฏิรูปเกิดขึ้นในประเทศ ศาลไทยมักมีคำวินิจฉัยว่าความพยายามดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ กลายเป็นว่ามาตรา 112 ถูกวางอยู่นอกเหนือกระบวนการปฏิรูประบอบประชาธิปไตยไปโดยปริยาย
การข่มขู่เชิงยุทธศาสตร์ผ่านการเลือกใช้บังคับ
ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลซึ่งทำงานด้านการรณรงค์เพื่อปล่อยตัวนักโทษการเมือง วิเคราะห์ว่าการกระทำบางอย่าง เช่น การเพิกถอนวีซ่า มีจุดประสงค์เพื่อส่งสัญญาณเตือนถึงนักข่าวและนักวิชาการต่างชาติในไทยว่า “การพูดถึงสถาบันกษัตริย์อาจทำให้เกิดผลตามมา” สัญญาณนี้ไม่เพียงส่งถึงชาวต่างชาติเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงพลเมืองไทย โดยเฉพาะในภาควิชาการที่อาจเปิดพื้นที่ให้เกิดการถกเถียงในเรื่องเหล่านี้ได้ รูปแบบการบังคับใช้กฎหมายนี้ชี้ชัดว่ามาตรา 112 มีบทบาทเกินกว่าการคุ้มครองพระเกียรติ กลายเป็นเครื่องมือควบคุมการถกเถียงทางการเมืองโดยรวม วางกรอบว่าประเด็นใดสามารถอภิปรายได้ และประเด็นใดเป็น "เขตหวงห้าม" ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่คำวิจารณ์ตรงต่อสถาบัน ไปจนถึงการพูดคุยเรื่องโครงสร้างอำนาจ รูปแบบรัฐธรรมนูญ และการปฏิรูปประชาธิปไตย
ความเป็นไปไม่ได้ของรัฐธรรมนูญ
หากไม่มีเสรีภาพทางวิชาการในการอภิปราย วิเคราะห์ หรือวิจารณ์มาตรา 112 อย่างเปิดเผย การพัฒนารัฐธรรมนูญของไทยจะติดหล่มอยู่ตลอดไป คดีความที่ไร้มูลจะเกิดขึ้นซ้ำๆ เพราะระบบกฎหมายขาดรากฐานทางปัญญาในการแยกแยะระหว่างการศึกษาทางวิชาการกับการละเมิดอย่างแท้จริง ความเงียบทางวิชาการต่อกฎหมายหมิ่นฯ ทำให้การตีความผิดและการใช้กฎหมายเกินขอบเขตกลายเป็นเรื่องปกติ แทนที่จะเป็นข้อยกเว้น
ตรงข้ามกับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในประเทศอื่น เช่น สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ หรือสวีเดน ที่เปิดให้มีการอภิปรายขอบเขตอำนาจของราชวงศ์อย่างเสรี ระบบของไทยกลับสร้างช่องว่างทางความรู้ที่ทำลายพัฒนาการของนิติศาสตร์รัฐธรรมนูญ แม้แต่ญี่ปุ่นที่ยังมีจักรพรรดิ ก็ใช้การเคารพผ่านจารีตแทนการลงโทษ และเปิดให้มีการศึกษาเชิงวิชาการอย่างจริงจังในเรื่องนี้ — สิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ในมหาวิทยาลัยไทย
ความกล้าหาญทางวิชาการ คือสิ่งจำเป็น
หากประชาธิปไตยของไทยจะเติบโต ระบบการศึกษากฎหมายของประเทศต้องกล้าเปิดพื้นที่ให้มีการวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาทุกกฎหมาย รวมถึงกฎหมายที่คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ กฎหมายที่ไม่สามารถทนต่อการตรวจสอบทางวิชาการ ย่อมก่อให้เกิดคำถามพื้นฐานถึงความสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย การหายไปจากหลักสูตรกฎหมายไทยของมาตรา 112 ไม่ใช่เพียงช่องว่างทางความรู้ แต่เป็นช่องว่างทางจริยธรรมด้วย
เรากำลังผลิตนักกฎหมายรุ่นใหม่ที่ไม่สามารถจัดการกับหนึ่งในกฎหมายที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศ กรณีของพอลเป็นเครื่องเตือนใจว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพยังคงถูกใช้เป็นเครื่องมือควบคุมคำพูด และแม้ชาวต่างชาติจะไม่ค่อยถูกดำเนินคดี แต่เมื่อใดที่มาตรา 112 ถูกนำมาใช้ ก็กลายเป็นคำเตือนอันทรงพลังว่าไม่มีใครรอดพ้นได้ และเป็นสัญญาณที่ส่งถึงนักวิชาการและนักศึกษาไทยอย่างชัดเจนว่า “ความรู้บางเรื่องยังคงต้องห้าม คำถามบางคำถามยังคงไม่อาจถามได้ การวิเคราะห์บางเรื่องยังไม่อาจตีพิมพ์”
ตราบใดที่สถาบันการศึกษาของไทยยังไม่กล้าเปิดพื้นที่ให้นำมาตรา 112 มาศึกษาวิเคราะห์อย่างจริงจัง ประเทศก็จะยังคงผลิตนักกฎหมายที่ไม่พร้อมจัดการกับกฎหมายที่มีอำนาจมากที่สุดและมีปัญหามากที่สุดของตนเอง ความเงียบในห้องเรียนของไทยเกี่ยวกับมาตรา 112 นั้นบอกเล่าได้มากมาย ถึงอุปสรรคต่อประชาธิปไตยและเสรีภาพทางวิชาการ คำถามพื้นฐานจึงยังไม่ได้รับคำตอบ และอาจไม่มีวันได้รับคำตอบจากภายในประเทศไทยเอง
สังคมประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้อย่างไร หากนักกฎหมายของตนถูกห้ามไม่ให้วิเคราะห์ วิจารณ์ หรือปฏิรูปกฎหมายที่ส่งผลกระทบมหาศาลต่อเสรีภาพในการแสดงออก? การทดลองประชาธิปไตยของไทยไม่มีทางประสบความสำเร็จ ตราบใดที่ยังคงมีเขตหวงห้ามทางปัญญาที่ขัดแย้งกับหลักนิติธรรมรัฐธรรมนูญโดยสิ้นเชิง
เปรม ซิงห์ กิล (Prem Singh Gill) เป็นนักวิชาการเยือนที่คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Muhammadiyah Yogyakarta ประเทศอินโดนีเซีย
https://prachatai.com/journal/2025/04/112771